บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 961 เพลงหมัดเทพอัคคี
บทที่ 961 เพลงหมัดเทพอัคคี
บทที่ 961 เพลงหมัดเทพอัคคี
สิบวันต่อมา
เฉินซีตื่นจากการทำสมาธิ และในขณะที่เขากะพริบตา เปลวไฟลุกโชนสองสายได้พุ่งออกมา หากลองสังเกตอย่างระมัดระวัง จะเห็นเส้นทางสองสายที่สว่างไสวด้วยไฟ ซึ่งทอดยาวอยู่ภายในดวงตาของเขา โดยพวกมันเชื่อมต่อกับฟ้าดินเข้าด้วยกัน และเผยความตั้งใจที่จะเผาผลาญสวรรค์ให้เป็นจุณออกมา!
ฟิ้ว!
เขาลุกยืนขึ้นยืดเส้นยืดสาย ก่อนที่กระดูกสันหลังของชายหนุ่มจะกลายเป็นดั่งมังกรเหวี่ยงหาง ศอกตั้งงอคล้ายเต่าชราที่ขดตัวอยู่ในกระดอง ก่อนที่เฉินซีจะชกด้วยท่าทางที่เรียบง่ายเป็นอย่างมาก แม้ว่ามันจะไม่มีเศษเสี้ยวของปราณเซียน แต่มันกลับสามารถสั่นคลอนท้องฟ้าจนเกิดระลอกคลื่นเป็นวงกลม แล้วแผ่กระจายออกมาราวกับกระแสน้ำ
มันคืออานุภาพของพลังหมัดของเขา ซึ่งมีกลิ่นอายของเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา ทำให้มันทั้งลึกล้ำ กว้างใหญ่ และน่าเกรงขาม!
โครม!
แผ่นหลังของชายหนุ่มเหยียดตรงดุจทวนหอก ในขณะที่เฉินซีกำนิ้วเข้าด้วยกัน จากนั้นเขาก็ชกหมัดออกไปเหมือนหอก ทำให้เกิดภาพที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของท้องฟ้าที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ดุจเศษแก้ว
เฉินซีไม่ได้ใช้ปราณเซียน เมื่อเขาชกหมัดนี้เช่นกัน และเพียงแค่ใช้เจตนจำนงหมัดที่ปล่อยออกมา ก็สามารถทำให้ความว่างเปล่าแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้อย่างง่ายดายแล้ว!
ชายหนุ่มดูเหมือนกับจะไม่ได้สังเกตเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ร่างของเขาเคลื่อนไหวไปมาในห้องเล็ก ๆ ในขณะที่สำแดงเคล็ดวิชาหมัดที่ล้ำลึกและยากหยั่งถึงนี้ออกมา
ความว่างเปล่าพังทลาย แต่ทั้งห้องกลับไม่ได้รับความเสียหาย
เจตจำนงหมัดพลุ่งพล่าน แต่กลับไม่เปิดเผยออกมาแม้แต่น้อย
เมื่อมองจากระยะไกล เพลงหมัดที่ใช้ออกมานั้น เหมือนกับเส้นทางมากมายที่นำไปสู่นรก และพวกมันก็มีความล้ำลึกที่สั่นคลอนไปถึงจิตวิญญาณ
นี่คือเพลงหมัดเทพอัคคี!
ศาสตร์เต๋าสูงสุดที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าที่สองของระเบียนแดนมรณะ!
เคล็ดวิชาหมัดนี้เป็นดั่งชะตาฟ้าดิน มันได้หลอมรวมมหาเต๋าแห่งปารมิตาเข้ากับเจตจำนงหมัด ทำให้อานุภาพของมันอาจน่าสะพรึงกลัวเมื่อถูกใช้พร้อมกับเคล็ดมหาจุติ
เมื่อบ่มเพาะจนถึงระดับสูงสุด เพียงหมัดเดียวก็สามารถสร้างเส้นทางที่สว่างไสวด้วยเปลวไฟที่เชื่อมต่อกับฟ้าดิน และทุกที่ที่พลังหมัดไปถึง วิญญาณของสรรพชีวิตทั้งหมดจะถูกพรากไป!
ในทำนองเดียวกัน เพลงหมัดนี้เป็นเคล็ดวิชาชั้นยอดที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม และครั้งหนึ่งมันเคยทิ้งร่องรอยฝังลึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของยมโลก
“หากข้ามีเวลาอีกสักนิด เพื่อหลอมรวมเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาเข้ากับเต๋าแห่งยันต์อักขระ อานุภาพของเพลงหมัดเทพอัคคีคงจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น…”
เฉินซีหยุดร่ายรำเพลงหมัด และยืนอยู่บนจุดนั้น ในขณะที่เขาสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของชายหนุ่มก็กลับมาสงบอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ผลักประตูออกไป
พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษของตระกูลชุยจะจัดขึ้นในวันนี้ และตามที่ชุยชิงหนิงได้กล่าวไว้ พิธีจะจัดขึ้นในช่วงสายของวัน ซึ่งตอนนี้เหลือเวลาไม่ถึงสองชั่วยาม ก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มพิธี
ในลานบ้าน เป้ยหลิงกับชุยชิงหนิงได้เตรียมพร้อมมานานแล้ว
เป้ยหลิงสวมเสื้อผ้ารัดรูปสีดำที่ขับเน้นเรือนร่างอันสง่างามของนางออกมาอย่างชัดเจน ทำให้หญิงสาวดูห้าวหาญและดูแกร่งกล้าเยี่ยงวีรบุรุษ เมื่อรวมกับโฉมหน้าที่งดงามไร้ที่เปรียบของเจ้าตัวที่เย็นชาดุจน้ำแข็ง หญิงสาวผู้นี้ได้เผยให้เห็นถึงความงามอันน่าตื่นตะลึงซึ่งเป็นเอกลักษ์ของนาง!
ในขณะที่ชุยชิงหนิงกลับแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนนี้ที่อายุประมาณสิบสองปี จะยังคงซีดเซียวเหมือนเช่นเคย สีหน้าของนางกลับสงบนิ่ง ในขณะที่นางเผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่น และทำให้คนอื่นไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่ในใจได้
การเปลี่ยนแปลงเยี่ยงนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ที่นางทราบข่าวการจากไปของกู่เทียน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ บางครั้งเฉินซีก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเขาไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับเด็กสาวอายุประมาณสิบสองปี แต่เป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดเป็นกรด
ยิ่งกว่านั้น ชุยชิงหนิงเผยเพียงรอยยิ้มเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับเขาและเป้ยหลิง ทว่านางกลับเหมือนรูปปั้นหินที่ไร้อารมณ์และความรู้สึกในเวลาอื่น
“ไปกันเถอะ” เฉินซีชำเลืองมองไปทางเป้ยหลิงและชุยชิงหนิง แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพราะถ้อยคำง่าย ๆ เหล่านั้นได้สื่อถึงทุกอย่างแล้ว
ฟิ้ว!
ในช่วงเวลาต่อมา เฉินซีก็ทะลุเข้าห้วงมิติและหายไปทันทีพร้อมกับทั้งสองคน
…
ณ เมืองภูษาไหมม่วง
ถนนที่แต่เดิมพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมาย ตอนนี้กลับรกร้างว่างเปล่าเป็นอย่างมาก ร้านรวง โรงเตี๊ยม และภัตตาคารต่างก็ปิดประตู ขณะที่วิญญาณยมโลกที่มักจะเตร็ดเตร่ไปทั่วก็ดูจะมลายหายไปกับอากาศ
ประตูทางเข้าเมืองทั้งสี่ทิศได้รับการคุ้มกันโดยองครักษ์ชั้นยอดแถวแล้วแถวเล่า และทุก ๆ ประตูทางเข้าจะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอย่างน้อยห้าคนประจำการอยู่ที่นั่น
ซึ่งทุกประตูนั้นห้ามเข้าและห้ามออกเช่นกัน
สรุปแล้วก็คือเมืองกำลังถูกปิดตาย!
มีเงาร่างมากมายสามารถมองเห็นได้ที่ด้านนอกเมืองเท่านั้น แต่ดูเหมือนพวกเขาจะคุ้นเคยกับสิ่งนี้มานานแล้ว คนเหล่านี้จึงไม่ได้แสดงความประหลาดใจหรือหงุดหงิดออกมา
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก วันนี้เป็นวันงานพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษประจำปีของตระกูลชุย!
ตระกูลชุยมีอำนาจสูงสุดในยมโลกแห่งนี้ และควบคุมกรมราชทัณฑ์ ทำให้ฐานะของพวกเขาสูงกว่าหกวิถีสังสารวัฏเสียอีก
อีกทั้งเมืองภูษาไหมม่วงยังเป็นสถานที่ซึ่งตระกูลชุยก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนถึงปัจจุบัน โดยถูกควบคุมอยู่ในมือของตระกูลชุยมาตลอด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ตระกูลชุยจะปิดเมืองเพื่อให้พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษเป็นไปอย่างราบรื่น
พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษในปีนี้ไม่เหมือนกับปีก่อน ๆ และเกี่ยวข้องกับการสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลชุย จึงอาจทำให้เกิดความขัดแย้งนองเลือดปะทุขึ้นได้ ดังนั้นองครักษ์ที่ตระกูลชุยได้วางกำลังไว้ในเมืองภูษาไหมม่วงในครั้งนี้ มีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเกือบเที่ยงวัน ดวงอาทิตย์สีม่วงลอยสูงตรงขอบฟ้าและเปล่งแสงสลัวมัว
ณ หน้าทางเข้าประตูเมืองภูษาไหมม่วงทางทิศตะวันออก ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ผู้อาวุโสที่ถูกเชิญโดยตระกูลชุย ตงอวิ๋นไห่ และผู้อาวุโสอีกสี่คนได้ประจำการอยู่ที่นี่ ซึ่งพลังของพวกเขาก็อยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า
ในบริเวณใกล้เคียง มีกองกำลังองครักษ์ชั้นยอดที่แข็งแกร่งถึงห้าร้อยคน และพวกเขาผลัดกันเฝ้าทางเข้าประตูเมือง
นับประสาอะไรกับผู้บุกรุก แม้แต่แมลงวันก็ไม่สามารถผ่านกองกำลังที่น่าเกรงขามเช่นนี้ได้
“ดูเหมือนจะไม่มีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น และผู้อาวุโสลำดับที่สองจะสามารถรับตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อย่างราบรื่น” ตงอวิ๋นไห่นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้โยกที่ด้านหน้าทางเข้าประตูเมือง หรี่ตาขณะกล่าวช้า ๆ เขามีรูปร่างผอมบาง จมูกโด่งเป็นสัน และมีดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยว ทว่าแม้ภายนอกจะดูเหมือนไร้กังวล แต่ก็เผยให้เห็นถึงท่าทางพร้อมจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเช่นกัน
“หึ ๆ! แน่นอน! มีใครบ้างในยมโลกที่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษตระกูลชุยของเรา? ตราบใดที่ไม่ใช่ตัวโง่งม ย่อมไม่มีผู้ใดกล้ามาสร้างปัญหาให้แก่เรา” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกคนคำรามด้วยเสียงหัวเราะ
“เป็นการดีกว่าที่จะตื่นตัวและระแวดระวัง ไม่ว่าเราคนใดก็ไม่สามารถรับผลที่ตามมาได้ หากเกิดความผิดพลาดขึ้น” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกคนหนึ่งกล่าวเตือน
“จริงสิพี่ใหญ่ตง ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสรองจะจัดการกับผู้อาวุโสสามในระหว่างพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษในครั้งนี้ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และเขาจะบดขยี้คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับผู้อาวุโสสามทั้งหมด ข้าสงสัยว่ามันเป็นความจริงหรือไม่?” มีคนถามขึ้นมาทันที
ดวงตาของตงอวิ๋นไห่หรี่ลง เขาครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก่อนจะกล่าวว่า “ถึงอย่างไร ก็เป็นที่ทราบกันว่าผู้อาวุโสสามมักจะขัดแย้งกับผู้อาวุโสรองอยู่เสมอ และเขามักสนับสนุนบุตรสาวของผู้นำตระกูลคนก่อนเพื่อสืบทอดตำแหน่งผู้นำ ซึ่งสิ่งนี้ละเมิดกฎข้อห้ามสำหรับคนของตระกูลชุย”
“ข้อห้ามอันใดหรือ?”
“เจ้าลองคิดดู หากว่าสตรีเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูล แล้วนางจะสามารถควบคุมกรมราชทัณฑ์ได้หรือไม่?” ตงอวิ๋นไห่ตอบคำถาม จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวว่า “ความขัดแย้งในตระกูลเกิดขึ้นเพราะเรื่องนี้ ข้าจำได้ว่านางมีอายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปี แต่นางบังเอิญมีสายเลือดที่พิเศษและเกิดมาพร้อมกับเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษา ด้วยเหตุนี้เองที่นางได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสทุกคน”
“ฮ่า ๆ! เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไม่ว่าพรสวรรค์ของนางจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพียงใด นางจะเทียบกับความสามารถที่โดดเด่นของผู้อาวุโสรองได้อย่างไร” คนอื่น ๆ หัวเราะเบา ๆ และเห็นด้วยอย่างยิ่ง
ตงอวิ๋นไห่อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะเมื่อได้ยินบทสนทนาของทุกคน เพราะเขารู้ว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อาจจะไม่สามารถกลับมาได้อีกต่อไป ดังนั้นการเปรียบเทียบนางกับผู้อาวุโสรองต่อไปจึงไร้ความหมาย
โอม!
ในขณะนี้ อากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนที่ร่างสามร่างจะปรากฏขึ้นที่ด้านนอกประตูทางเข้าเมืองทิศตะวันออก
มันเป็นชายหนุ่มรูปงาม เย็นชา และหญิงสาวกับเด็กสาว หากเป็นเมื่อก่อน สามคนนี้คงจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก
แต่บริเวณด้านนอกของประตูทางเข้าทิศตะวันออกในขณะนี้นั้นกลับว่างเปล่าไร้ผู้คน ดังนั้นรูปลักษณ์ของทั้งสามคนนี้จึงดูโดดเด่นอย่างมาก และทำให้ทุกคนที่เฝ้าอยู่ที่ประตูทางเข้าตื่นตระหนักทันที
ทั้งสามคนนี้ย่อมคือเฉินซี เป้ยหลิง และชุยชิงหนิง!
“พวกเจ้าทั้งสามจงฟัง! วันนี้ปิดเมือง ฉะนั้นจงรีบจากไปซะ ไม่อย่างนั้นตาย!” องครักษ์บนกำแพงเมืองตะโกนเสียงดัง แม้เขาจะทราบว่ามีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติได้ แต่ในฐานะองครักษ์ของตระกูลชุย พวกเขาหาได้เกรงกลัวไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้อาวุโสที่ได้รับเชิญห้าคนของตระกูลชุยอยู่ที่ประตูทางเข้า และเพียงแค่ตัวตนของพวกเขาก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้คนอื่นตกตะลึงจนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องหวาดกลัว
เพราะพวกเขาเป็นคนของตระกูลชุย!
มันจึงง่ายมาก
“เมืองถูกปิดหรือ? ผู้อาวุโสรองนั้นเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ เขายังคงต่อสู้และเตรียมการโดยไม่ย่อท้อ หลังจากประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า” เฉินซีส่ายศีรษะก่อนจะมุ่งหน้าไปยังประตูทางเข้าเมืองพร้อมกับเป้ยหลิงและชุยชิงหนิง
“สารเลว! หรือว่าเจ้าหูหนวก!? รีบไสหัวไปซะ!” องครักษ์ของตระกูลชุยเริ่มกระสับกระส่ายและตวาดออกมา
ทว่าเฉินซีหาได้สนใจสิ่งเหล่านี้ไม่ เขายังคงมุ่งหน้าไปที่ประตูทางเข้าเมือง
“สุราคารวะไม่ดื่ม พานดื่มสุราลงทัณฑ์ รนหาที่ตาย! ฆ่ามัน!” องครักษ์คำรามลั่น ทำให้องครักษ์สองสามร้อยคนที่สวมชุดเกราะชั้นดีปรากฏตัวบนกำแพงเมืองอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาทั้งหมดดึงคันธนูและง้างลูกธนูก่อนที่จะยิงออกไป ทำให้ลูกธนูจำนวนมากพุ่งออกไป
ลูกธนูพุ่งทะลุผ่านท้องฟ้าและเปล่งเสียงหวีดหวิวพร้อมกับสายลมที่รุนแรง พวกมันมีอานุภาพที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ขณะที่ถาโถมเข้าไปราวกับเมฆมรสุมอันดำมืด
ปัง!
จู่ ๆ ร่างกายของเฉินซีก็พวยพุ่งพร้อมกับสนามพลังไร้รูปร่างที่แผ่ขยายออกไป ทำให้ลูกธนูเหล่านั้นระเบิดออก
พรวด! พรวด! พรวด! พรวด!
สายฝนเลือดสีแดงสดโปรยปรายลงมาบนกำแพงเมือง องครักษ์เหล่านั้นไม่ทันได้ตั้งตัว ศีรษะของพวกมันจึงถูกลูกธนูเจาะเข้า ทำให้พวกมันส่งเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช ก่อนที่จะสิ้นชีวีไป
ในช่วงเวลาเพียงอึดลมหายใจเดียว กำแพงเมืองก็ถูกย้อมด้วยสีแดงสดของเลือดและถูกปกคลุมไปด้วยซากศพ ซึ่งมีอย่างน้อยสองสามร้อยคนที่เสียชีวิต
เหตุการณ์นี้ทำให้องครักษ์ที่ไม่ได้ดึงคันธนูหวาดกลัวในทันที พวกเขาต่างร้องเสียงแหลมออกมา และขาของพวกเขาก็สั่นสะท้าน ในขณะที่ทุกคนหวาดกลัวจนปัสสาวะรดตัวเอง
“ไอ้หนู เจ้ากล้าดียังไง!?” เมฆสีม่วงที่ส่องประกายแวววับของสายฟ้าถาโถมลงมา สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์พุ่งตัวออกมาจากมันมากมายมหาศาล ราวกับว่าหมายมั่นจะห่อหุ้มเฉินซีเอาไว้
ผู้โจมตีคือชายชราเกียจคร้านที่มีรูปร่างผอมแห้ง ซึ่งถือสมบัติวิเศษรูปทรงภูเขาไว้ในมือ สายฟ้าสีม่วงพุ่งออกไป ในขณะที่ปราณเซียนขดตัวอยู่โดยรอบมัน และเมฆสีม่วงทั้งหมดก็ถูกเขาสร้างขึ้น
“เจ้ามีตาหามีแววไม่!” เป้ยหลิงใช้นิ้วของนางวาดปราณดาบเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ จากนั้นนางก็ฟาดฟันปราณดาบสีน้ำเงินออกไป
ฉัวะ!
มันฟันกลุ่มเมฆสีม่วงที่แผ่ขยายตัวออกเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่คมดาบอันแหลมคมอย่างไม่มีใครเทียบได้จะฟาดฟันลงมาที่ศีรษะของชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนคนนั้นรู้สึกตกใจมาก เขาจึงรีบใช้สมบัติวิเศษรูปภูเขาในมือ ทุบมันที่ปราณดาบซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง
โครม!
พลังทั้งสองเข้าปะทะกันราวกับภูเขาสองลูกที่ชนกัน การปะทะกันนั้นเปล่งแสงแวววาวและเสียงดังก้องกังวานออกมา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมแห้งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาก็ตระหนักได้ว่า ปราณดาบสีน้ำเงินเข้มที่ทำลายจนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แท้จริงแล้วมันกลับแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีน้ำเงินเข้มที่ปกคลุมตนไว้ราวกับกลุ่มดาวปกคลุมท้องฟ้า
ตู้ม!
ในช่วงเวลาต่อมา ร่างของเขาก็ระเบิดออกจากกัน เสียชีวิตในทันที!
เหตุการณ์นี้ทำให้นัยน์ตาของตงอวิ๋นไห่และผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่นหดตัวลง พวกเขาต่างตระหนักได้ว่าคนเหล่านี้มาด้วยเจตนาร้าย นอกจากนี้ คนเหล่านี้ยังมีพลังที่กล้าแกร่งเป็นอย่างมาก
“สหายนักพรตเต๋า โปรดยั้งมือก่อน! ข้าขอทราบถึงจุดประสงค์ได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงมาที่เมืองภูษาไหมม่วงของข้า” ตงอวิ๋นไห่ไม่กล้าละเลยและพุ่งตัวไปข้างหน้า ในขณะที่กล่าวด้วยเสียงอันดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่าที่ดังกระจายตัวออกไปรอบ ๆ