บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 966 บรรพบุรุษตระกูลชุย
บทที่ 966 บรรพบุรุษตระกูลชุย
บทที่ 966 บรรพบุรุษตระกูลชุย
ฉากที่เกิดจากแผ่นหยกเงากะพริบซ้ำ ๆ และเผยให้เห็นถึงฉากการโจมตีที่อันตรายอย่างยิ่งมากมาย
มีบางส่วนที่เฉินซีไม่เคยเห็น และมีบางส่วนที่เขาเคยเห็น เช่น การลอบโจมตีของมือสังหารชิงเซียวที่ดินแดนอ่างโลหิต การมาถึงอย่างกะทันหันของหวังฉง หลิ่วจวิ้น และรุ่ยฉิงที่เมืองผาทมิฬ การตามล่าของชุยหรูอิ๋น เด็กชายผมขาว…
เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเหมือนจริง และถูกเปิดเผยอย่างเต็มที่จนถึงรายละเอียดเล็กน้อยต่อหน้าทุกคน
แม้แต่เสียงและคำพูดในฉากเหล่านี้ยังถูกบันทึกโดยแผ่นหยกอย่างสมบูรณ์
แม้แต่เฉินซีก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ชุยชิงหนิงจะบันทึกทุกอย่างไว้ตลอดทาง และดูเหมือนนางจะคาดไว้แล้วว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาตั้งแต่ต้น
สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย และความรู้สึกอันน่าสะพรึงกลัวที่บรรยายไม่ได้ก็ได้ผุดขึ้นในใจของชายหนุ่ม ขณะที่เหลือบมองเด็กสาวซึ่งอยู่เคียงข้างเขา ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุผล และมันก็วูบเข้ามาก่อนจากหายไปในชั่วพริบตานั้น
เพล้ง!
ราวหนึ่งถ้วยชาต่อมา แผ่นหยกได้แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นฝุ่นผงไป
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เผยความซับซ้อนออกมา มีทั้งประหลาดใจ ตกใจ โกรธแค้น และงุนงง…
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าชุยชิงหนิงจะประสบกับการโจมตีอย่างต่อเนื่องมากมายตลอดทาง และพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า การโจมตีทั้งหมดนี้มาจากคนในตระกูลของพวกเขาเอง!
สิ่งนี้ทำให้พวกเขายอมรับได้ยาก และเป็นเพราะมันยากที่จะยอมรับ จึงทำให้พวกเขารู้สึกโกรธจัด! สายตาที่พวกเขาจ้องมองมายังชุยฟางจวินได้เปลี่ยนไปแล้ว และใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวของทุกคนก็แสดงออกชัดถึงความรู้สึกผิดหวัง!
แม้แต่คนอื่น ๆ ที่เคยกล่าวสนับสนุนชุยฟางจวินก็เงียบไปในขณะนี้
“พี่รอง เจ้าจะแก้ตัวอะไรอีก!” ชุยฟางหู่หายใจเข้าลึก ๆ และถามด้วยเสียงคาดคั้น
“ไร้สาระ!” สีหน้าของชุยฟางจวินซีดเผือด เขาขมวดคิ้วขณะที่กล่าวว่า “ข้าก็โกรธเช่นกันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเจ้าบอกว่าทั้งหมดนี้ข้าเป็นคนสั่ง เจ้าก็ใส่ร้ายข้ามากเกินไปแล้ว! บางทีอาจมีคนตั้งใจใส่ร้ายข้า!”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะแก้ตัวอีกหรือ!?” ชุยฟางหู่โกรธจัด เส้นผมของเขาปลิวไสว ในขณะที่กัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง ดังคำกล่าวที่ว่า แม้แต่เสือร้ายก็ไม่ยอมกินลูกของมัน การกระทำที่น่ารังเกียจของชุยฟางจวินได้ล้ำเส้นที่เขาจะยอมรับได้แล้ว จึงทำให้เขาโกรธแค้นยิ่ง!
“ท่านอาสาม โปรดสงบความโกรธของท่านด้วยเจ้าค่ะ” ในขณะนี้ ชุยชิงหนิงดูจะสงบเป็นพิเศษ และสีหน้าของนางก็สงบราวกับพระจันทร์สะท้อนในบ่อ ราวกับเด็กสาวไร้ซึ่งความรู้สึกใด ในขณะที่นางจ้องมองชุยฟางจวิน และกล่าวว่า “ท่านอารองกล่าวถูกแล้ว ข้าไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าทั้งหมดนี้ได้รับคำสั่งจากท่าน”
ชุยฟางจวินแค่นเสียงเย็นชา “ก็มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ นี่!”
สีหน้าของเด็กน้อยยังคงสงบ ในช่วงเวลาต่อมา นางก็กล่าวคำ “แต่ข้ามีหลักฐานที่พิสูจน์ว่า สมบัติเทวะเข็มทิศปรโลกของตระกูลชุยข้าไม่ได้ถูกขโมยโดยผู้ใด และเป็นท่านที่ได้มอบให้ด้วยตัวเองแทน!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป ทุกคนต่างตกใจระคนประหลาดใจอย่างมาก!
“เขาเป็นคนให้ไปหรือ?”
“หากเป็นเรื่องจริง มันก็เป็นเรื่องที่อภัยให้ไม่ได้!”
เข็มทิศปรโลกคือ กุญแจสำคัญในการควบคุมกรมราชทัณฑ์ และเป็นสุดยอดสมบัติเทวะที่ได้รับสืบทอดมาในตระกูลชุย ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในยมโลก
สำหรับตระกูลชุยแล้ว การสูญเสียเข็มทิศปรโลกก็ไม่ต่างอะไรกับการทำลายรากฐานของตระกูล!
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนที่จดจ้องชุยฟางจวินต่างเต็มไปด้วยความโกรธและความสงสัยที่ไม่อาจปกปิดได้ และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจ้องมองไปยังคนบาปหนาผู้สมควรถูกลงทัณฑ์!
ในทางกลับกัน สีหน้าของชุยฟางจวินกลายเป็นไม่น่าดูและมืดมนยิ่ง เขาหายใจเข้าลึก ๆ พยายามอย่างหนักเพื่อระงับคลื่นลูกใหญ่ในใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ชิงหนิง การจะใส่ร้ายผู้อื่นก็ควรมีขีดจำกัดบ้าง! ถ้าเจ้าสร้างปัญหาต่อไปโดยไม่มีเหตุผล ก็อย่าโทษอารองที่ไร้ความปรานี!”
ตุบ!
เสียงของชุยฟางจวินยังไม่ทันเลือนหายไปจากอากาศ เมื่อเฉินซีสะบัดแขนเสื้อของเขา ร่างหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นบนพื้น
คนผู้นี้ท่าทีที่ชั่วร้าย ใบหน้าของเขาแบนราบ และทั้งตัวถูกปกคลุมไปด้วยดวงตาแปลกประหลาด คนผู้นี้คือโหวจ่าน วานรผีพันเนตรตนนั้น!
ชุยฟางจวินควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไปเมื่อเห็นโหวจ่าน และใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่ร้องออกมาอย่างไร้การควบคุม “เป็นไปได้อย่างไรกัน?!”
ทุกคนตกตะลึงและงงงวยเล็กน้อย เพราะเผ่าวานรผีพันเนตรถูกทำลายล้างไปจากประวัติศาสตร์นานแล้ว ใครจะคาดคิดว่าชายที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา จะเป็นคนของเผ่าวานรผีพันเนตรกัน?
แต่การเปลี่ยนแปลงในท่าทีของชุยฟางจวิน ทำให้ทุกคนตระหนักได้ทันทีว่า บุคคลนี้น่าจะเป็น ‘หลักฐาน’ ที่ชุยชิงหนิงกล่าวถึง!
“ดูเหมือนท่านอารองจะจำเขาได้เหมือนกันสินะเจ้าคะ” ชุยชิงหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
“ไร้สาระ!” ชุยฟางจวินส่ายศีรษะทันที “ข้าจะรู้จักเขาได้อย่างไร”
“ผู้อาวุโสชุย ข้าหวังว่าท่านจะช่วยชีวิตข้าด้วย! หรือท่านไม่เต็มใจที่จะยอมรับสิ่งที่ท่านทำลงไป” ทันใดนั้น โหวจ่านก็ตะโกนด้วยเสียงแหลมสูง
“ข้าแน่ใจว่าทุกคนสังเกตเห็นว่าคนผู้นี้เป็นคนของเผ่าวานรผีพันเนตร และเคล็ดวิชาภาพลวงตาของเขาก็ไม่มีใครเทียบได้ในใต้หล้า เขาจะต้องเป็นคนส่งเข็มทิศปรโลกออกไปจากตระกูลอย่างแน่นอน” ชุยชิงหนิงก้มหน้ามองไปยังโหวจ่าน ก่อนที่นางจะกล่าวว่า “เมื่อหลายปีก่อน เจ้าปลอมตัวเป็นใครในตระกูลชุย? แปลงร่างเป็นมันเพื่อให้ทุกคนจำเจ้าได้”
โหวจ่านลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็มองไปที่ชุยฟางจวินแทน
สถานการณ์ที่ดำเนินมาถึงขั้นนี้ ทำให้จิตใจของชุยฟางจวินตกอยู่ในความโกลาหล เขาทั้งตื่นกลัวและโกรธจัด ดังนั้น เมื่อเห็นว่าโหวจ่านมองมาที่ตนจริง ๆ และแสดงเจตจำนงที่จะขอความช่วยเหลือ เขาก็อดไม่ได้ที่จะสบถด่าทันที “ไอ้สารเลว เจ้ามองข้าเพื่ออันใด? เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
ขณะที่กล่าว เจ้าตัวก็ได้ยกมือขึ้นและพุ่งตัวเข้าใส่ เพื่อหวังฆ่าปิดปากโหวจ่าน
โครม!
ทว่าน่าเสียดาย การโจมตีครั้งนี้กลับถูกขัดขวางโดยเฉินซีที่เตรียมพร้อมมาตั้งแต่ต้น จากนั้นชายหนุ่มก็ออกแรงผ่านปลายนิ้ว ทำให้ร่างของชุยฟางจวินสั่นสะท้านจนถอยร่นกลับไปสองสามก้าว
“ไอ้หนู! รนหาที่ตายแล้ว!” ชุยฟางจวินโกรธมากและกำลังจะลงมือ ทว่ามีบางสิ่งแวบผ่านหางตา จากนั้นได้มีร่างหนึ่งขวางเส้นทางเอาไว้ และร่างนั้นก็คือชุยฟางหู่!
“พี่รอง เจ้าจะลงมือก็ยังไม่สายไปหรอก หลังจากเขากล่าวจบแล้วน่ะนะ” ชุยฟางหู่กล่าวอย่างเย็นชา
สีหน้าของชุยฟางจวินเปลี่ยนไปมา เขาจ้องเขม็งไปยังชุยฟางหู่ และพยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดกำลัง เขาตระหนักดีว่า แม้ความสามารถด้านกลยุทธ์ของตนจะเหนือกว่าเฉินซี แต่หากเป็นในแง่ของพลังแล้ว ตนยังด้อยกว่า และหากลงไม้ลงมือเต็มกำลังขึ้นมา …ตัวเขาก็จะไม่มีทางถอยกลับไปได้อีก!
“ชุยฟางจวิน เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้!?! เจ้าคิดจะปิดปากข้าจริง ๆ ด้วย! …ทว่าต่อให้ข้าต้องตาย ข้าจะลากเจ้าลงไปด้วย!” โหวจ่านระเบิดความโกรธเมื่อเห็นเช่นนี้ จากนั้นร่างของเขาก็สว่างวาบ ก่อนจะแปลงร่างเป็นอีกคนหนึ่ง รูปลักษณ์ของบุคคลนี้ดูธรรมดา เขามีรูปร่างที่แข็งแกร่งและดูซื่อสัตย์
เขาชี้ที่ตัวเองแล้วกล่าวว่า “ทุกคนดูสิ พวกเจ้ายังจำใบหน้านี้ได้หรือไม่?”
ในขณะที่กล่าว น้ำเสียงของโหวจ่านก็ได้กลายเป็นหยาบกระด้าง ราวกับเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าคือ… เหวยหู่!?” มีคนอุทานด้วยความตกใจ
“ใช่แล้ว! ข้าจำได้แล้ว! เขาเป็นทาสที่ติดตามเคียงข้างผู้อาวุโสรอง!”
“เหวยหู่! เป็นเขาจริง ๆ!”
ทุกคนจำได้ว่าบุคคลนี้มักติดตามอยู่ข้างกายผู้อาวุโสรอง ชุยฟางจวินเหมือนเงาตามตัว
“ใช่แล้ว ข้าเอง! หนึ่งปีที่แล้ว เป็นไอ้เฒ่าชุยฟางจวินคนนี้ที่ขโมยเข็มทิศปรโลก ซึ่งเป็นสมบัติเทวะของตระกูลเจ้าไป จากนั้นเขาขอให้ข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์และลอบส่งมันออกไป!” โหวจ่านจ้องมองชุยฟางจวินด้วยความขุ่นเคือง เขากัดฟันและกล่าวว่า “น่าเสียดายที่ข้าอุตส่าห์ภักดีและซื่อสัตย์ แต่ข้ากลับได้รับผลเช่นนั้นเป็นการตอบแทน ข้านี่ตาบอดจริง ๆ!”
ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ทุกคนก็มั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชุยฟางจวินแน่นอน
ทันใดนั้น สายตาที่พวกเขาจดจ้องไปยังชุยฟางจวินก็เต็มไปความโกรธแค้นอย่างมาก
เขาขโมยสมบัติเทวะของตระกูลและมอบมันให้กับคนอื่น จากนั้นเขาก็ลอบสังหารบุตรสาวของอดีตผู้นำตระกูลคราแล้วคราเล่า นี่เป็นเรื่องน่ารังเกียจและไร้ยางอายยิ่ง ซึ่งความผิดเช่นนี้…โทษของมันก็คือความตาย!
“ท่านอารอง ตอนนี้ท่านยังมีอะไรจะกล่าวอีกหรือไม่?” ชุยชิงหนิงกล่าวอย่างเย็นชา
ชุยฟางจวินนิ่งเงียบไม่กล่าวอะไรสักคำ สีหน้าของเขาก็ซีดเผือดจนแทบโปร่งใส แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้น ในขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง “ฮ่า ๆ! ใครจะสนใจหลักฐานกัน!? เพียงเพราะเห็นแก่ตำแหน่งผู้นำตระกูลมิใช่หรือ? ผู้แพ้ย่อมเป็นฝ่ายผิดเสมอ ดังนั้นข้าชุยฟางจวินจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้เด็ดขาด!”
ขณะที่กล่าว ร่างของเขาก็สว่างวาบ เผยความคิดที่จะหลบหนีออกมา
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง และกำลังจะเคลื่อนไหวเพื่อหยุดชุยฟางจวิน อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เอง เหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น…
มือขนาดใหญ่ที่ใสดุจหยกได้ทะยานลงมาจากนภา และคว้าเบา ๆ ราวกับกำลังจับปลาจากแม่น้ำ มันจับร่างของชุยฟางจวินได้อย่างง่ายดาย
ปัง!
ในช่วงเวลาต่อมา ชุยฟางจวินถูกกดให้คุกเข่าลงบนพื้น ไม่ว่าเขาจะดิ้นรนและคำรามอย่างเกรี้ยวกราดอย่างไร เขาก็ไม่สามารถลุกยืนขึ้นได้อีก ราวกับมีภูเขาจำนวนมากกำลังกดทับตัวเขาอยู่
“ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”
เฉินซีตกตะลึง ชุยฟางจวินเป็นยอดราชันขอบเขตเซียนปฐพี แต่กลับถูกสยบอย่างง่ายดาย โดยที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสแม้แต่จะต่อต้านเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการบ่มเพาะของคนที่ทำสิ่งนี้จะสูงปานใด?
โอม!
ทันใดนั้น ประตูสีทองได้ลอยปรากฏขึ้นกลางอากาศ ทันทีที่มันปรากฏขึ้น มันได้เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งออกไปในระยะไกลกว่าสิบห้าลี้ จากนั้นปราณมงคลก็พวยพุ่งออกมา ขณะที่มันเผยให้เห็นฉากที่งดงามและกว้างใหญ่
หลังจากนั้น ร่างที่ทรงพลังจำนวนมากได้ก้าวออกมาจากภายในประตูสีทอง พวกมันเป็นเหมือนกับพระอาทิตย์ที่เจิดจรัสหลายดวงปรากฏขึ้น ในขณะที่สร้างแสงจ้าส่องประกายไปทั่วท้องฟ้า
คนที่เป็นผู้นำคือชายชราผมขาวที่มีรูปร่างสูงใหญ่และมีท่าทางเย็นชา ทั่วทั้งร่างของเขาปลดปล่อยสายฝนสีทองออกมา ทว่าทุกสิ่งนี้กลับดูกลมกลืนไปกับฟ้าดิน ทำให้ตัวคนดูเหมือนเป็นเทพเจ้าผู้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง!
เขาดูเหมือนนักปราชญ์ในตำนานที่ลงมายังโลก
“คารวะ ท่านบรรพบุรุษ!” เมื่อเห็นร่างของชายชราที่เป็นผู้นำ คนตระกูลชุยทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ก็คุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว และใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพ
เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้เป็นบรรพบุรุษของตระกูลชุย ชุยเจิ้นคง!
การดำรงอยู่สูงสุดที่เทียบได้กับมหาจักรพรรดิน้ำพุยมโลก เจ้าโถงยายเฒ่าเมิ่ง และมหาเสนาบดีแห่งหกวิถีสังสารวัฏ!
สำหรับผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ทางด้านหลังของชุยเจิ้นคง พวกเขาอาจเป็นผู้อาวุโสของตระกูลชุยที่เก็บตัวบ่มเพาะอย่างสันโดษ และนี่คือกองกำลังที่แท้จริงของตระกูลชุย มันทั้งน่าสะพรึงกลัว อัศจรรย์ และทำให้ผู้คนทั้งโลกต้องตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
ในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงเฉินซีและเป้ยหลิงเท่านั้นที่ไม่ได้คุกเข่าลง ดังนั้นพวกเขาจึงดูโดดเด่นมาก
“วันนี้เป็นวันที่ตระกูลชุยของข้าบูชาเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เหล่าแขกผู้มีเกียรติเอ๋ย โปรดไปพักผ่อนที่ศาลารับรองแขกเถิด” สายตาของชุยเจิ้นคงเป็นเหมือนกระบี่สีทองคมกริบที่สามารถฉีกฟ้าดินให้แยกออกจากกันได้ มันกวาดลงมายังเฉินซีกับเป้ยหลิง ทำให้คนทั้งคู่รู้สึกถึงกระแสความพรั่นพรึงในใจ
“ฟางหู่ เจ้าช่วยนำทางแขกของเราที”
“ขอรับ!” ชุยฟางหู่ลุกขึ้นและมาถึงด้านข้างของเฉินซีกับเป้ยหลิง ก่อนที่เขาจะกล่าวผ่านกระแสปราณว่า “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ เมื่อท่านบรรพบุรุษอยู่ที่นี่แล้ว จะไม่มีเหตุร้ายใดเกิดขึ้นกับชิงหนิงอีกต่อไป”
เฉินซีกับเป้ยหลิงต่างมองไปที่ชุยชิงหนิง เมื่อพวกเขาเห็นนางพยักหน้ากลับมา คนทั้งสองจึงจากไปพร้อมกับชุยฟางหู่
“แล้วข้าล่ะ!?” โหวจ่านลุกพรวด ตั้งใจจะจากไปพร้อมกับพวกเขาเช่นกัน
ปัง!
ผู้อาวุโสที่อยู่เคียงข้างชุยเจิ้นคงลงมืออย่างฉับพลัน เขากดเบาด้วยนิ้วเดียว จากนั้นกระแสกฎพลังก็ถักทอเข้าด้วยกัน ก่อนที่มันจะฉีกผ่านอากาศไปยังโหวจ่าน บดขยี้โหวจ่านจนแหลกสลายในพริบตาเดียว
เฉินซีตกตะลึงอีกครั้งในใจเมื่อเห็นฉากนี้ และมันก็ทำให้เขาเข้าใจถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตระกูลชุยอย่างถ่องแท้
แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญก็คือ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะถูกสังเกตเห็นโดยเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลชุยที่บ่มเพาะอย่างสันโดษกลุ่มนี้!