บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 968 สมบัติของบรรพบุรุษอันลึกลับ
บทที่ 968 สมบัติของบรรพบุรุษอันลึกลับ
บทที่ 968 สมบัติของบรรพบุรุษอันลึกลับ
กู่เทียน!
หัวหน้าองค์รักษ์ผู้นี้ที่คอยเฝ้าคุ้มกันชุยชิงหนิงมาตลอดเส้นทาง ได้จากไปเพียงลำพังในเมืองราหูเป็นเวลานานแล้ว และเขาได้ทิ้งแผ่นหยกไว้ …ในเวลานั้น เฉินซีถึงกับรู้สึกโกรธเพราะการตายของกู่เทียน
แต่ตอนนี้กู่เทียนกลับยืนอยู่ตัวเป็น ๆ ตรงหน้า!
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลงทันที เขาจ้องมองกู่เทียนเป็นเวลานาน ก่อนที่จะกล่าวว่า “เจ้ามีปัญหาของตัวเอง และข้ามีหลักการของข้าเอง ขอให้โชคดี”
น้ำเสียงของชายหนุ่มสงบและปราศจากอารมณ์ใด ซึ่งทันทีที่เขากล่าวจบ เฉินซีก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เป้ยหลิงไม่แม้แต่จะเหลือบมองกู่เทียน ก่อนที่นางจะเดินตามหลังเฉินซีอย่างใกล้ชิดและจากไป
ร่างกายของกู่เทียนแข็งทื่อ ในขณะที่เขาหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นพลันนึกถึงคำแนะนำของบรรพบุรุษขึ้นได้ จึงรีบเดินตามคนทั้งคู่ไป ก่อนจะกล่าวว่า “น้องเฉินซี แม่นางเป้ยหลิง ท่านบรรพบุรุษของตระกูลข้าได้เชิญเจ้า…”
เสียงของเขายังคงดังก้องอยู่ในอากาศไม่ทันเลือนหาย แต่เฉินซีกับเป้ยหลิงได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
กู่เทียนถอนหายใจอย่างหดหู่เมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาพึมพำ “ข้าจะทำอะไรตามใจได้ เมื่อข้ามาอยู่ในจุดนี้แล้ว!”
เขารู้ดีว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนไม่มีทางได้รับการให้อภัยจากเฉินซีและเป้ยหลิง
…
ด้านนอกจวนตระกูลชุย เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเสียงยาว ในขณะที่เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เจตนาดีของเขากลับได้รับการตอบแทนด้วยกลอุบายและการหลอกลวง แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้โกรธมากมายเท่าใด แต่มันทำให้เฉินซีคงระแวดระวังมากขึ้นในอนาคต
“ข้ากังวลจริง ๆ ว่าเจ้าจะพลั้งมือฆ่าเขาก่อนหน้านี้” เป้ยหลิงกล่าวจากทางด้านข้าง
“เหตุใดข้าต้องฆ่าเขา? ข้าได้แต่โทษตัวเองว่าไม่แข็งแกร่งพอ หากข้าเป็นคนอย่างจักรพรรดิยมโลก จะมีผู้ใดกล้าใช้ข้าเป็นหมากในแผนการของพวกเขาหรือไม่?” เฉินซีส่ายศีรษะและถอนหายใจ “ไม่ว่าข้าจะถูกใช้โดยบรรพบุรุษของตระกูลชุยหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายก็เป็นเพราะข้าไม่แข็งแกร่งพออยู่ดี”
“ไปกันเถอะ”
“เราจะไปที่ใดกัน?”
“ภูมิภาคราชานรก เราจะไปพบกับราชานรกองค์ที่สอง ราชาชูเจียง ซึ่งมีฐานะและความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าบรรพบุรุษของตระกูลชุย”
“ตกลง”
…
แต่เมื่อเฉินซีและเป้ยหลิงตั้งใจจะจากไป อากาศตรงหน้ากลับเกิดความแปรปรวน แล้วจู่ ๆ ร่างที่ทรงพลังพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
เป็นชายชราร่างท้วมที่มีแก้มสีแดงระเรื่อและท่าทางใจดี เขายิ้มแย้ม ในขณะที่ร่างแผ่อำนาจกฎอันชวนสยดสยองออกมา
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งอย่างน้อยก็มีการบ่มเพาะที่ขอบเขตเซียนสวรรค์!
“เด็ก ๆ ในตระกูลชุยของข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดีหรือไม่” ชายชรายิ้มขณะที่กล่าว
เฉินซีตกตะลึง และเขารู้อย่างชัดเจนในใจว่า ตนคงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องพบกับบรรพบุรุษของตระกูลชุยในครั้งนี้
“ผู้อาวุโส โปรดนำทาง” เฉินซีกล่าวตัดบท
ชายชราร่างท้วมดูจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะตรงไปตรงมาขนาดนี้ เขาตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมาดังลั่น “ประเสริฐ! คนหนุ่มสาวสมัยนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริง ไม่เลว ไม่เลวเลย”
ขณะที่กล่าว เขาได้พาเฉินซีกับเป้ยหลิงไปด้วยขณะที่ใช้เคล็ดวิชาการเคลื่อนย้ายห้วงมิติ แล้วคนทั้งสามก็ได้หายตัวไปทันที
แท่นบวงสรวงโบราณที่สร้างจากหินปูนซึ่งมีรอยกะดำกะด่างไปตามอายุ และถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลาอันหนักหน่วง
ปัจจุบัน ลานจัตุรัสที่หน้าแท่นบวงสรวงว่างเปล่าไร้ผู้คน และเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่า คนในตระกูลชุยทั้งหมดได้มารวมตัวกันที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้ การเผชิญหน้าและการต่อสู้ที่รุนแรงก็ได้อุบัติขึ้นที่นี่
ในขณะนี้ มีเพียงร่างหนึ่งที่สูงผอมและทรงพลังกำลังยืนอยู่บนแท่นบวงสรวงอย่างภาคภูมิ ผมของเขาเป็นสีเทาที่ดูเหมือนสีเงิน ในขณะที่มีกระแสพลังสีทองของกฎสว่างไสวอยู่รอบตัวคนผู้นั้น ทำให้เกิดสายฝนแสงโปรยปรายลงมา ดูราวกับปราชญ์ที่จุติลงมายังโลก
คนผู้นี้คือบรรพบุรุษของตระกูลชุย… ชุยเจิ้นคง!
ตัวตนสูงสุดที่มากด้วยอำนาจและทำให้โลกหล้าต้องตกตะลึง
เมื่อเฉินซีกับเป้ยหลิงมาถึงที่นี่ ชายชราอ้วนก็จากไปโดยไร้เสียง และมีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ในบริเวณหน้าแท่นบวงสรวง
ขณะมองไปยังร่างที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังบนแท่นบวงสรวง ในใจของเฉินซีกับเป้ยหลิงหาได้มีความรู้สึกเคารพไม่ จะมีก็เพียงความรู้สึกซับซ้อนอยู่ภายในใจของพวกเขาเท่านั้น
“ดูสิ ชิงหนิงได้เข้าสู่ดินแดนเร้นลับภายในสุสานบรรพบุรุษแล้ว และนางกำลังเริ่มทำความเข้าใจในมรดกที่ท่านบรรพบุรุษคนแรกได้ทิ้งไว้” ชุยเจิ้นคงกล่าวในขณะที่ไม่ได้หันหลังกลับมา เขาสะบัดแขนเสื้อ ทำให้ทางเดินปรากฏจาง ๆ ในอากาศเหนือแท่นบวงสรวง ซึ่งภายในนั้นมีร่างที่บอบบางและงดงามเดินอยู่
ภายในทางเดินที่มืดสลัว ร่างเล็กที่บอบบางซึ่งดูจะถูกความมืดมิดรอบข้างกลืนกินไปได้ทุกเมื่อกำลังก้าวเดิน ทว่านางคล้ายไม่ได้สังเกตถึงความน่ากลัวรอบข้างแม้แต่น้อย ฝีเท้าของเด็กสาวยังคงมั่นคงและสงบ ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังเดินอยู่บนเส้นทางอันราบเรียบไร้อันตราย
ร่างที่บอบบางนี้ย่อมคือชุยชิงหนิง!
“สายเลือดที่ชิงหนิงครอบครองอยู่นั้นหายากมาก และมันเข้ากับเต๋ารู้แจ้งแห่งการพิพากษาได้มากที่สุด ซึ่งในประวัติศาสตร์ของตระกูลของข้าที่ผ่านมา มีคนไม่ถึงเจ็ดหรือแปดคนเท่านั้นที่มีพรสวรรค์นี้”
“มีเพียงนางเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลและควบคุมกรมราชทัณฑ์ทั้งหมด ข้ายังพอจะทำนายได้ว่า ราชินีแห่งการพิพากษาที่มีความสามารถไม่ธรรมดา จะปรากฏตัวในตระกูลชุยของข้าอีกร้อยปีนับจากนี้อย่างแน่นอน!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ทันใดนั้นชุยเจิ้นคงก็หันกลับมา ในขณะที่ดวงตาของเขาเป็นเหมือนดาบทองคำคมกริบกวาดผ่านเฉินซีและเป้ยหลิง จากนั้นเจ้าตัวก็กล่าวว่า “พวกเจ้าสองคนรู้จักนามของบรรพบุรุษคนแรกของตระกูลข้าหรือไม่”
“ชุยเจวี๋ย เมื่อหนึ่งล้านปีก่อน เขาเป็นผู้นำของนรกใต้พิภพ ครอบครองบัญชีสังสารวัฏกับพู่กันแห่งการพิพากษา ควบคุมหกวิถีสังสารวัฏทั้งหมด ถือเป็นตัวตนไม่ธรรมดาที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในยมโลกนอกเหนือจากจักรพรรดิยมโลก และเขาถูกเรียกว่ามหาตุลาการชุย ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วสามภพ” แม้เป้ยหลิงจะสงสัยเล็กน้อยว่าเหตุใดชุยเจิ้นคงถึงถามเรื่องนี้ แต่นางก็ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ชุยเจิ้นคงพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง แต่สิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ก็คือ นับตั้งแต่ที่ท่านบรรพบุรุษคนแรกได้จากไป กองกำลังของตระกูลชุยของข้าในยมโลกก็ค่อย ๆ ถูกลดทอนอำนาจลงไปตามวันเวลาที่ผ่านไป ทำให้ตระกูลชุยของข้าไม่เพียงสูญเสียการควบคุมหกวิถีสังสารวัฏเท่านั้น แต่สถานะของมันก็ด้อยกว่าเมื่อก่อนมาก และแม้แต่โถงน้ำพุยมโลก โถงยายเฒ่าเมิ่งและมหาอำนาจอื่น ๆ ก็ยังแสดงสัญญาณว่าเหนือกว่ากรมราชทัณฑ์ของข้า!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยไฟโทสะที่ไม่สามารถยับยั้งได้
เฉินซีกับเป้ยหลิงนิ่งเงียบ แต่ในใจของพวกเขากลับไม่ได้รู้สึกอันใด เพราะสายน้ำแห่งชีวิตไหลไปไม่หวนกลับ มีกองกำลังมากมายนับไม่ถ้วนที่รุ่งเรืองและน่าเกรงขามยิ่งกว่าตระกูลชุย แต่พวกเขากลับถูกพัดพาไปพร้อมกับยุคสมัยอันไร้ขอบเขต และถูกลบล้างไปท่ามกลางพงศาวดารแห่งกาลเวลา
หากเปรียบเทียบกันแล้ว การที่ตระกูลชุยสามารถอยู่รอดได้มาถึงปัจจุบันจึงถือได้ว่าไม่เลว
จู่ ๆ ชุยเจิ้นคงก็ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “อันที่จริง นี่ไม่ใช่ความผิดของใครเลย และคงได้แต่โทษที่ตระกูลชุยของข้านั้นไร้ผู้มีความสามารถ ทำให้ไม่อาจรับสืบมรดกที่ท่านบรรพบุรุษคนแรกได้ทิ้งไว้ ดังนั้นเราจะควบคุมหกวิถีสังสารวัฏได้อย่างไร?”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ จิตวิญญาณของเขาก็พลุ่งพล่าน ในขณะที่สายตาดูล้ำลึก ราวกับมีดวงอาทิตย์สองดวงที่ส่องสว่างอยู่ในดวงตา “แต่นับว่าโชคดีที่สวรรค์ไม่ทรยศต่อการรอคอยอันยาวนานของข้าและตระกูลชุย ในที่สุดเราก็ค้นพบผู้ที่สามารถสืบทอดมรดกของท่านบรรพบุรุษคนแรกได้! และในที่สุดตระกูลชุยของข้าก็มีความหวังที่จะรื้อฟื้นความรุ่งโรจน์ในอดีตขึ้นมาใหม่ และคนผู้นั่นก็คือชิงหนิง!”
ขณะที่กล่าว เขาก็ผายมือไปทางชุยชิงหนิงซึ่งอยู่ในม่านแสงที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ที่กำลังเดินไปสุดทางเพื่อมาถึงแท่นบวงสรวงเต๋าแห่งหนึ่ง
แท่นบวงสรวงเต๋านั้นกลมเหมือนสัญลักษณ์ของไท่จี๋ มันมืดสนิท สลัว และปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ เพียงแค่มองจากระยะไกลก็ทำให้คนอื่น ๆ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เหมือนกับกระแสน้ำเชี่ยวกรากในสมัยโบราณที่จู่โจมใบหน้าของพวกเขา
บนแท่นบวงสรวงเต๋า มีสมบัติที่มีรูปร่างแปลกประหลาดและมีสีดำสนิทลอยหมุนวนอยู่ที่นั่น รูปร่างของมันดูคล้ายกับขวาน แต่ก็ดูเหมือนกับดาบที่คมกริบในบางครา
ชุยชิงหนิงนั่งขัดสมาธิบนแท่นบวงสรวงเต๋า และดูเหมือนว่านางกำลังสร้างสายสัมพันธ์กับสมบัติลึกลับชิ้นนั้นอยู่ เด็กสาวกลั้นหายใจทำสมาธิ และดำดิ่งสู่การทำความเข้าใจที่ลึกซึ้ง
ควบคู่ไปกับสิ่งที่ชุยเจิ้นคงกล่าว ระลอกคลื่นพลันเกิดขึ้นในใจของเป้ยหลิง เมื่อนางมองไปที่ชุยชิงหนิงที่อยู่ภายในม่านแสงซึ่งนั่งขัดสมาธิ ณ ใจกลางแท่นบวงสรวงเต๋าอีกครั้ง
“มรดกทางสายเลือดที่ยากจะปรากฏในรอบหนึ่งล้านปี?”
“ความหวังเดียวสำหรับตระกูลชุยที่จะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์?”
“ราชินีแห่งการพิพากษาในอนาคตของยมโลก?”
ก่อนหน้านี้ ใครจะคาดคิดว่าเด็กสาวที่อายุราว ๆ สิบสองปีเช่นนี้ จะมีรัศมีเจิดจรัสอยู่รอบตัวนางจริง ๆ?
แต่เป้ยหลิงไม่ได้รู้สึกอิจฉา เพราะนางมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าชุยชิงหนิงเลยแม้แต่น้อย เหตุผลก็คือ ตราบใดที่ตัวนางยังคงบ่มเพาะพลัง ไม่ช้าก็เร็วนางย่อมจะฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ในอดีตของตนได้ และกลายเป็นตัวตนที่ทรงอำนาจเช่น จักรพรรดิภูตผีเซิ่งหลินในอดีต
เป้ยหลิงลอบถอนหายใจด้วยอารมณ์เล็กน้อย การกระทำที่มอบชะตากรรมของทั้งตระกูลให้กับเด็กสาวตัวเล็ก ๆ นั่นเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดกันแน่?
ไม่ว่าจะเป็นเป้ยหลิงหรือชุยเจิ้นคงในเวลานี้ ต่างไม่ได้สังเกตเห็นว่าท่าทางของเฉินซีในตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย สับสน และไม่แน่ใจ…
เนื่องจากสมบัติลึกลับบนแท่นบวงสรวงเต๋าในม่านแสง ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง!
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดชายหนุ่มก็เข้าใจว่ามันเป็นสมบัติประเภทใด และริมฝีปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเผยความรู้สึกแปลก ๆ ที่หายไปอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา
“เห็นหรือไม่? ชิงหนิงกำลังได้รับการชำระล้างจากมรดกของท่านบรรพบุรุษ และมีเพียงคนที่มีพรสวรรค์เช่นนางเท่านั้น ที่สามารถทนรับมรดกดังกล่าวได้” ชุยเจิ้นคงมีท่าทางตื่นเต้นและภาคภูมิใจอยู่เต็มใบหน้าจนไม่สามารถปกปิดได้
“ผู้อาวุโส ถ้าไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว พวกเราคงต้องขออำลา” เฉินซีกล่าวอย่างใจเย็น
ไม่ว่าตระกูลชุยจะตกต่ำหรือฟื้นคืนสู่ความรุ่งโรจน์ ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชุยก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด
สิ่งสำคัญที่สุด สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับเฉินซีที่จะมีความรู้สึกดีกับชายชราคนนี้ที่มีพลังอันไร้เทียมทานและสถานะที่ไม่มีใครเทียบได้
“อำลาหรือ?” ชุยเจิ้นคงตกตะลึงเล็กน้อย และเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกชายหนุ่มขัดจังหวะ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เฉินซีได้ช่วยชิงหนิงไว้อย่างมาก เจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกขุ่นเคือง และเพียงแค่มองไปที่ชายหนุ่มอย่างเฉยเมย ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “เจ้าหนู ทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงหมากกระดานหนึ่ง เจ้าต้องเข้าใจว่าแม้บางคนต้องการที่จะเข้าร่วม แต่พวกเขาก็ยังไร้คุณสมบัติที่จะสอดเท้าเข้ามา นับประสาอะไรกับเจ้าที่ได้รับเชิญจากข้าด้วยตัวเอง?”
ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาก็คือ เฉินซีควรรู้สึกเป็นเกียรติที่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของชุยเจิ้นคง และได้รับการต้อนรับจากตัวเขาเป็นการส่วนตัว ดังนั้นท่าทางของเฉินซีจึงนับว่าไร้มาทยาทอย่างแท้จริง คล้ายกับชายหนุ่มไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรถึงกล้ากล่าวคำอำลาตัดบทออกมา
เฉินซีย่อมแยกแยะสิ่งนี้ได้ และในใจของเขาก็อยากรู้อยากเห็นยิ่ง ‘นี่เขามีความมั่นใจเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? ส่วนเรื่องการต้อนรับข้า ก็เป็นสิ่งที่เจ้าเชื้อเชิญข้าเองมิใช่หรือ? แล้วข้าเคยไปขอร้องขอเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?’
เฉินซีไม่ได้สนใจที่จะพบปะเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ เพราะเขาเคยฆ่าร่างอวตารของเซียนทองคำกับมือมาแล้ว ในขณะที่แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนลึกลับก็เคยเป็นองค์รักษ์ให้แก่เขา แล้วชายหนุ่มจะไปสนใจเรื่องการพบปะเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
“ผู้เยาว์ยังมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ ดังนั้นข้าจะไม่รบกวนผู้อาวุโสอีกต่อไป” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจจากไป
คิ้วของชุยเจิ้นคงขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น ก่อนจะแผ่อำนาจกลิ่นอายที่เป็นดั่งทวยเทพออก ขณะกล่าวอย่างสงบและไม่แยแสว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะชิงหนิงขอให้ข้าได้มอบรางวัลแก่เจ้า เจ้าคงตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วนที่บังอาจมากล่าวเช่นนี้กับข้า”
คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น เขาจ้องตรงไปยังชุยเจิ้นคง ขณะที่ชายหนุ่มกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูชุย ข้าก็คงจะไม่รั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไปเช่นกัน”
“โอ้?” กลิ่นอายของชุยเจิ้นคงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และการจ้องมองของเขาก็เป็นดั่งสายฟ้าเย็นเยียบที่พุ่งตรงเข้าหาเฉินซี แผ่อำนาจกดดันที่น่าสะพรึงกลัวปกคลุมทั่วบริเวณ!