บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 972 เดินทางร่วมกับเซียน
บทที่ 972 เดินทางร่วมกับเซียน
บทที่ 972 เดินทางร่วมกับเซียน
เมืองสมบัติทมิฬ
ที่นี่คือเมืองติดชายฝั่งทะเลทุกข์ แม้มันจะไม่ใช่เมืองใหญ่โต ทว่ามีชื่อเสียงดั่งดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน เพราะขึ้นชื่อในเรื่องการล่าสมบัติ
ตามข่าวลือว่า ที่แห่งนี้ไม่เคยขาดการค้นพบสมบัติล้ำค่า เคล็ดบ่มเพาะโบราณ และมรดกเก่าแก่โบราณ ซึ่งใครก็ตามที่ค้นพบ คนเหล่านั้นต่างก็ทะยานขึ้นฟ้าแทบจะในพริบตานั้น แต่ละคนต่างกลายเป็นที่โด่งดังและได้ทำให้เมืองแห่งนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะเมืองตั้งติดกับทะเลทุกข์อันไร้ขอบเขต
หนึ่งล้านปีก่อน ในระหว่างที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามปกครองยมโลก เขาได้กำราบและสังหารสรรพชีวิตมากมายนับไม่ถ้วนในสามภพ ซึ่งมีทั้งเซียน มาร พุทธ และเต๋า
และในทะเลทุกข์นี้ มันก็คือสถานที่ฝังศพของตัวตนอันทรงพลังทั้งหลายจากทั่วทั้งสามภพที่ว่า!
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีผู้ยิ่งใหญ่แห่งภพทั้งสามมากเท่าใดที่ถูกฝังไว้ในที่แห่งนี้?
ไม่มีใครทราบ!
เพราะจำนวนตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่ตกตายมีมากเกินไป!
และมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่มานานนมเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าวันคือเหล่านั้นเป็นเช่นไร…
ทั่วทั้งทะเลทุกข์ในยามนั้นเต็มไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน คลื่นสีขุ่นสาดซัด ฟ้าร้องดังกึกก้อง ฝนและสายลมสีแดงพร้อมกลิ่นคาวโลหิตพัดผ่านตลอดวันคืน!
ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นมักมีเสียงคำรามโหยหวนที่สั่นสะเทือนท้องนภา เสียงของการต่อสู้ รวมทั้งภาพมายาอันน่าหวาดกลัวที่ปรากฏให้เห็นเป็นครั้งคราว
ในยุคสมัยนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ทะเลทุกข์ภายในรัศมีหนึ่งแสนลี้!
จนกระทั่งภายหลัง เมื่อจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามล่วงลับ ทะเลทุกข์เผชิญกับภัยพิบัติ ทำให้วิญญาณของทวยเทพทั้งหลายที่ถูกกำราบได้รับการปลดปล่อย ที่แห่งนี้จึงค่อย ๆ เปลี่ยนไปอีกครา
นับแต่นั้นมา …สิ่งมีชีวิตในยมโลกจึงกล้าแตะต้องทะเลทุกข์ทีละน้อย
จากนั้นผู้คนต่างเป็นต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าบริเวณชายฝั่งทะเลทุกข์มีสมบัติที่แตกหัก รวมถึงเคล็ดบ่มเพาะที่ถูกทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก!
และทุกครั้งจะมีปรากฏการณ์คล้ายกับ ‘คลื่น’ ในทะเลทุกข์ เมื่อน้ำทะเลไหลย้อนกลับ พายุหมุนก่อตัว จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงนัก
ทว่าเมื่อปรากฏการณ์ ‘คลื่น’ สิ้นสุดลง สมบัติจำนวนมากจะถูกทิ้งไว้ที่ชายฝั่งทะเล ซึ่งผู้คนต่างคาดหวังว่า สิ่งของเหล่านี้จะเป็นของล้ำค่าที่ถูกทิ้งไว้โดยตัวตนยิ่งใหญ่ในสามภพที่เคยถูกจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามกำราบไว้ใต้ทะเลทุกข์
นับแต่นั้นมา เมืองสมบัติทมิฬได้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เข้ามาหา โดยพวกเขาต่างคาดหวังว่าจะได้รับโอกาสติดมือกลับไปบ้าง
จนถึงตอนนี้ เมืองสมบัติทมิฬจึงมั่งคั่งยิ่งนัก มีร้านค้าและหอสมบัตินับไม่ถ้วนอยู่ในเมือง พวกเขาขายสิ่งที่เรียกว่า ‘สมบัติโบราณ’ ‘เคล็ดบ่มเพาะโบราณ’…
แน่นอน พวกมันส่วนใหญ่เป็นของปลอมที่มีค่าด้อยกว่า
แต่ถึงอย่างนั้น ยังมีบางคนที่สามารถพบสมบัติที่แท้จริงจากมัน ทำให้กลายเป็นผู้มั่งคั่งในชั่วข้ามคืน
ณ ภัตตาคารเซียนมั่งคั่ง
ยามนี้ เฉินซีกับเป้ยหลิงกำลังนั่งอยู่บนชั้นสองใกล้หน้าต่าง กำลังดื่มกินไปพลาง สนทนาเรื่องการเดินทางไปพลาง
หลังจากใช้เวลาครึ่งวัน พวกเขาจึงพบว่าสถานที่ที่ราชานรกองค์ที่สองฉู่เจียงพำนักคือ ภูเขาหมื่นกระแสที่อยู่อีกด้านของทะเลทุกข์!
น่าเสียดาย… ไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายที่สามารถข้ามทะเลทุกข์จากภายในเมืองสมบัติทมิฬได้
หรือก็คือ หากต้องการไปถึงภูเขาหมื่นกระแส จะต้องบินผ่านทะเลทุกข์ด้วยตัวเอง
“ยุ่งยากยิ่งนัก มีพื้นที่อันตรายมากเกินไปในทะเลทุกข์ มีพายุมิติเวลา และอำนาจกฎข้อห้ามมากมาย หากไม่มีแผนที่ ต่อให้เป็นเซียนสวรรค์ ก็ไม่สามารถไปถึงอีกฝั่งได้”
เป้ยหลิงขมวดคิ้ว ก่อนอ้าปากเพื่อบอกข่าวที่ทราบอย่างช้า ๆ
ทะเลทุกข์คือปราการธรรมชาติ ซึ่งแบ่งแยกภูมิภาคราชหกวิถีกับภูมิภาคราชานรกออกจากกัน หากต้องการข้ามไป มีแต่ต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในยมโลกเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้
และเพราะผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้นี่เอง แผนที่ทะเลจึงเกิดขึ้นมา ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงพื้นที่อันตรายเหล่านั้นในทะเลทุกข์ ไม่มีทางหลงได้
“แผนที่ทะเล…”
เฉินซีครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้เท่ากับที่เจ้ารู้ แต่แผนที่ทะเลนี้ได้มายากนัก เพราะมันไม่มีขายในเมืองสมบัติทมิฬ”
“นี่ ข้าพอจะรู้จักสถานที่ดี ๆ อยู่”
ดวงตาของเป้ยหลิงทอประกาย ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางรีบกล่าวว่า “พวกเราสามารถไปหอการค้าสัพพัญญูเพื่อสอบถามได้ พวกเขาอ้างว่ารู้ทุกอย่างไม่ใช่หรือ? ข้าคิดว่าขอเพียงมีเงินจ่ายก็พอแล้ว บางทีเราอาจหาแผนที่ทะเลได้จากที่นั่น”
เฉินซีพลันมีหวังขึ้นมาทันตา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงยินดีว่า “ข้าลืมนึกไปเลย ไป ก่อนจะช้าไปกว่านี้ เรารีบไปกันดีกว่า”
…
ที่ใดมีเมืองในยมโลก ที่นั่นย่อมมีหอการค้าสัพพัญญู
ประโยคนี้นับว่าเป็นความจริง หลังจากเฉินซีกับเป้ยหลิงออกจากภัตตาคารเซียนมั่งคั่งแล้ว พวกเขาก็พบเจอหอการค้าสัพพัญญูสาขาย่อยในเมืองสมบัติทมิฬ
แต่ก่อนจะเข้าใกล้หอการค้าสัพพัญญู ทั้งสองกลับนิ่งไปพร้อมกัน เพราะในสายตาของพวกเขา มีร่างอันคุ้นเคยยิ่งปรากฏขึ้นบริเวณทางเข้าหอการค้าสัพพัญญู
“โหวจ่านหรือ?”
เป้ยหลิงประหลาดใจ มองชายตรงหน้า อีกฝ่ายผอมสูง ใบหน้าหมองคล้ำ …เป็นรูปลักษณ์เช่นเดียวกับโหวจ่านจากเผ่าวานรผีพันเนตรไม่ผิดแน่!
แต่นางจำได้ชัดเจนว่าตอนอยู่ในจวนตระกูลชุย โหวจ่านตายแล้วด้วยน้ำมือของผู้อาวุโสในตระกูลชุย! แล้วทำไมถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?
“ไม่ใช่เขา”
เฉินซีครุ่นคิดสักพัก จากนั้นส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนผู้นั้นน่าจะเป็นตัวตนระดับสูงในหอการค้าสัพพัญญู ชื่อของเขาคือเหริ่นฉางเฟิง เป็นเจ้าหอใต้พิภพทมิฬ …ตอนข้าไปยังหอการค้าสัพพัญญูในวันนั้น ข้าพอได้ยินมาบ้างว่าโหวจ่านเลียนแบบคนผู้นี้เพื่อหลอกข้า”
“อย่างนี้นี่เอง” เป้ยหลิงพลันเข้าใจ
หลังจากนั้น ทั้งสองคนไม่รอช้า ก่อนตรงเข้าสู่หอการค้าสัพพัญญู
“พวกเจ้าสองคนมาสอบถามข่าวคราว หรือมาซื้อสมบัติ?” ด้านหลังโต๊ะ ชายวัยกลางคนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สอบถามข่าวคราว พวกข้าต้องการไปยังอีกฝั่งหนึ่งของทะเลทุกข์” เฉินซีตอบตามตรง
“โอ้?” ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้น ชำเลืองมองเฉินซีกับเป้ยหลิงด้วยความประหลาดใจ ก่อนถามด้วยเสียงราบเรียบว่า “พวกเจ้าสองคนเป็นหน้าใหม่ในเมืองสมบัติทมิฬหรือ?”
“ถูกต้อง” เฉินซีตอบ
“ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงไม่รู้กฎ” ชายวัยกลางคนหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนโบกมือ “ไปได้แล้ว แผนที่ทะเลเนี่ยเป็นของต้องห้าม แม้แต่หอการค้าสัพพัญญูก็ไม่มีสิทธิ์ทำการแลกเปลี่ยน ข่าวคราวเกี่ยวกับมันก็ห้ามแพร่งพรายออกไป”
“ไหนบอกว่า ขอเพียงมีเงินจ่าย ก็สามารถซื้อทุกสิ่งในหอการค้าสัพพัญญูได้ไง? หรือว่านี่เป็นแค่การโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น?”
เป้ยหลิงขมวดคิ้ว ไม่พอใจเล็กน้อย
ใบหน้าของชายวัยกลางคนมืดมน เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “นี่คือกฎ สาวน้อย ถ้าเจ้ากล้าพูดแบบนั้นอีก ข้าจะพานเข้าใจผิดคิดว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา!”
“เจ้า…” เป้ยหลิงตีหน้าบึ้ง กำลังจะกล่าวบางอย่าง
ในตอนนี้ น้ำเสียงลุ่มลึกดังขึ้น “เว่ยผิง มีเรื่องอันใด เหตุใดจึงตะโกนเสียดังเชียว!”
สิ้นเสียงดังกล่าว ชายวัยกลางคนผู้มีรูปร่างผอมสูงสง่าที่มีสีหน้าหมองหม่นก้าวมาข้างหน้า เป็นเหริ่นฉางเฟิงผู้นั้นนั่นเอง!
เมื่อเข้ามาใกล้ เฉินซีจึงเข้าใจว่า เหริ่นฉางเฟิงถึงกับเป็นเซียนสวรรค์! อำนาจกฎเลือนรางห้อมล้อมรอบกายเขา แม้มันจะคลุมเครือยากพบเห็น หากแต่ไม่อาจปกปิดจากสายตาอันเฉียบคมของเฉินซีได้!
นี่คือเซียนสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่เซียนลึกลับ ไม่ใช่เซียนทองคำระดับสมบูรณ์!
เพราะกลิ่นอายของเหริ่นฉางเฟิงนับว่าด้อยกว่าเหลียงปิง ดังนั้นชายหนุ่มจึงคาดเดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นเซียนสวรรค์!
แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีประหลาดใจคือ แม้จะเผชิญหน้ากับเหริ่นฉางเฟิงในระยะประชิด เขากลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันแต่อย่างใด ในใจกลับรู้สึกว่าหากสู้กับอีกฝ่าย ย่อมไม่มีอันใดให้ต้องกังวล
แน่นอน นี่เป็นเพียงความรู้สึก อำนาจต่อสู้ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหน มีแต่ต้องลองถึงจะรู้
“นายท่าน สองคนนี้ต้องการสอบถามเกี่ยวกับข่าวการไปยังอีกฝั่งของทะเลทุกข์ แต่ท่านน่าจะทราบดี ตามกฎแล้ว…” ชายวัยกลางคนลุกขึ้น พลางอธิบายเสียงต่ำ
แต่ก่อนเขาจะทันได้อธิบายจบ เหริ่นฉางเฟิงกลับกล่าวขัดขึ้นเสียก่อน “เอาล่ะ ที่นี่ให้ข้าจัดการเอง”
ขณะกล่าว เขาเหลือบมองไปทางเป้ยหลิง สุดท้ายจึงจับจ้องมาที่เฉินซี ขณะที่ภายในแววตาเผยความประหลาดใจออกมา ถามว่า “เซียนปฐพีขั้นแปดหรือ?”
“ถูกต้อง” เฉินซีพยักหน้า เขาไม่ได้ปกปิดกลิ่นอาย จึงเป็นธรรมดาที่อีกฝ่ายจะสังเกตเห็นมัน
เหริ่นฉางเฟิงมองเฉินซีอย่างละเอียด ก่อนถามว่า “ใช่ว่าทุกคนจะสามารถไปที่อีกฝั่งของทะเลทุกข์ได้ พวกเจ้าสองคนไปที่นั่น ไม่ทราบว่าจะไปทำอะไร?”
“หาคน” เฉินซีตอบอย่างคลุมเครือ
ทว่าคำตอบนี้คล้ายกับทำให้เหริ่นฉางเฟิงรู้สึกโล่งอก ก่อนโบกมือ “ถ้าไม่ว่าอะไร หลังจากผ่านไปสามวัน พวกเจ้าสามารถไปทะเลกับข้าได้ แน่นอน ราคาคือผลึกใต้พิภพระดับราชันหนึ่งหมื่นก้อน หรือเป็นสมบัติอมตะสิบชิ้นก็ได้”
“ตกลง” เฉินซีตอบอย่างไม่ลังเล
ตอนเข้ามายังเมืองภูษาไหมม่วง เขาได้สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีตระกูลชุยไปเป็นจำนวนมาก ได้ของล้ำค่ามามากมาย มีทั้งผลึกใต้พิภพระดับราชันหลายหมื่นก้อน ส่วนราคาของชิ้นอื่น ๆ นับว่ามหาศาลพอตัว แต่เพื่อช่วยชิงซิ่วอี้ เขาจะสนใจไปไย?
เหริ่นฉางเฟิงตกตะลึง เดิมเขาวางแผนจะจากไป แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงง่ายปานนี้ มันทำให้เจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และหันมองเฉินซีอีกครั้ง กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น อีกสามวันให้หลัง มาพบกันที่นี่ตอนเช้า”
หลังจากนั้น เขาพลันเข้าสู่พื้นที่ด้านในหอการค้าสัพพัญญูไป
“เหอะ พวกเจ้านับว่าโชคดีที่ท่านเหริ่นแสดงความเมตตาเช่นนี้”
ชายวัยกลางคนพ่นลมออกจมูกด้วยความอิจฉาเล็กน้อย เพราะเขารู้ดีว่าโอกาสเช่นนี้หายากและมีค่ามากแค่ไหน
เฉินซีเกียจคร้านเกินกว่าจะโต้เถียงกับคนนี้ ดังนั้นเขาจึงจ่ายมัดจำครึ่งหนึ่ง ก่อนจากไปพร้อมกับเป้ยหลิง
…
สามวันต่อมาในตอนเช้า
เฉินซีกับเป้ยหลิงมาถึงหอการค้าสัพพัญญูตามกำหนด
ตอนนี้เหริ่นฉางเฟิงรออยู่ก่อนแล้ว โดยมีอีกสองคนที่อยู่ข้างเขา
หลังจากนั้นเฉินซีถึงได้รู้ว่า คนหนึ่งชื่อถังอวิ๋น ดูแข็งแกร่ง ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มตลอด ท่าทางดูสบายเข้าถึงง่าย เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด
ส่วนอีกคนคือหวังเยี่ยน เป็นชายชราดูธรรมดา ใบหน้าหมองหม่น ท่าทางเอาจริงเอาจัง รากฐานการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับแปด
“ทุกคนมากันพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ ก่อนจะถึงวัน ‘คลื่นโลหิต’ เหลือเวลาอีกเพียงสามวัน พวกเราต้องรีบหน่อย”
เหริ่นฉางเฟิงออกคำสั่ง หมุนตัวเดินไปทางหอการค้าสัพพัญญู ดูเรียบง่ายเรียบร้อย เท้าไม่เดินลาก เขาไม่แนะนำตัวตนของเฉินซีและเป้ยหลิงให้รู้จักด้วยซ้ำ
ทว่าถึงจะแนะนำ เจ้าตัวก็คงไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเหริ่นฉางเฟิงไม่เคยถามชื่อของพวกเฉินซีตั้งแต่ต้น
ในความเห็นของเขา การพาเฉินซีกับเป้ยหลิงไปทะเลทุกข์ อาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเล็กจ้อย ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายยังจ่ายผลึกใต้ยมโลกให้ไม่น้อย
ผ่านไปสักพัก ทุกคนมาถึงชายทะเลทุกข์
เหริ่นฉางเฟิงสะบัดแขนเสื้อ เรือเหาะสมบัติยาวแคบรูปทรงกระสวยปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า ทุกคนขึ้นไป เมื่อสิ้นเสียงวิ้ง ความว่างเปล่าสั่นไหว ทันใดนั้นจึงพุ่งสู่ทะเลทุกข์อันกว้างใหญ่