บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 982 การทำลายล้าง
บทที่ 982 การทำลายล้าง
บทที่ 982 การทำลายล้าง
เฉินซียืนอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ ในขณะที่เสื้อผ้าของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และรูปร่างของชายหนุ่มยามนี้เหมือนกับหอกที่หมายมั่นจะแทงทะลุท้องฟ้า
พลังทำลายล้างที่เกิดจากการฟันด้วยกระบี่ก่อนหน้านี้ ทำให้ทุกสายตาที่จับจ้องมาทางเฉินซีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสุดยอดปรมาจารย์ของเต๋าแห่งกระบี่!
อย่างไรก็ตาม เฉินซีในขณะนี้กำลังฟื้นฟูปราณเซียนในร่างกายของเขาด้วยพลังทั้งหมดที่มี
เนื่องจากการฟันด้วยกระบี่ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มได้ใช้ปราณเซียนที่มีอยู่ไปจนหมด และไม่สามารถฟื้นฟูพลังให้กลับคืนมาสู่สภาพสมบูรณ์ แม้จะใช้พลังของต้นอ่อนเงาทมิฬแล้วก็ตาม ซึ่งหากไม่เป็นเช่นนั้น เขาคงฉวยโอกาสอันยอดเยี่ยมที่เกิดจากการฟันด้วยกระบี่ก่อนหน้านี้ เพื่อสังหารศัตรูซ้ำอีกคราไปแล้ว
แต่นับว่าโชคดีที่เฉินซีมีต้นอ่อนเงาทมิฬอยู่ในครอบครอง มิฉะนั้น เขาจะต้องพึ่งพาศิลาอมตะและโอสถทิพย์นับไม่ถ้วนเพื่อฟื้นฟูปราณเซียน และที่สำคัญที่สุดคือมันจะเสียเวลาไปอย่างมาก
แต่ต้นอ่อนเงาทมิฬนั้นแตกต่างออกไป มันฝังรากอยู่ในแดนฮุ่นตุ้นในร่างกายของเฉินซี และปลดปล่อยปราณเซียนที่ทรงพลังออกมามากมาย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ขาดแคลนปราณเซียนในขณะต่อสู้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมต้นอ่อนเงาทมิฬจึงท้าทายสวรรค์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาลดังกล่าว เป็นสุดยอดสมบัติล้ำค่าในสามภพ และสิ่งอื่นไม่มีทางจะเทียบเคียงได้
“ฆ่า! ร่วมมือโจมตีและฆ่ามนุษย์ผู้น่ารังเกียจคนนี้ซะ! มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ใดรอดชีวิตไปได้!” ในขณะเดียวกัน โม่ฟูแม่ทัพใหญ่ของยักษาได้ฟื้นจากอาการตกใจ เขาคำรามด้วยเสียงอันน่ากลัว เพราะทราบอย่างชัดเจนว่า แม้คู่ต่อสู้ของพวกเขาจะน่ากลัวยิ่ง แต่การปล่อยให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาพังทลายนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า
ถ้าพวกเขาสูญเสียขวัญกำลังใจ แล้วพวกเขาจะอยู่รอดได้อย่างไร?
“ฆ่า! ร่วมมือโจมตีและทำลายล้างไอ้สารเลวนี่เสีย!” แม่ทัพรองหัวหลิงตะโกนเสียงดัง ปลุกขวัญกำลังใจให้แก่หน่วยทหารองค์รักษ์ของเขา
“ฆ่า! นักรบแห่งเผ่ายักษาของข้า มีเลือดแห่งการเข่นฆ่าและการต่อสู้ไหลเวียนอยู่ในสายเลือด! แล้วเราจะกลัวการสู้รบไปทำไม!” แม่ทัพอันดับที่สี่เยี่ยหลัวเจินมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว ในขณะที่เขาตะโกนเสียงดัง
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
แม่ทัพหน่วยทหารองค์รักษ์ยักษาทั้งสามตนต่างตะโกนพร้อมกัน และปลุกจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในหัวใจของเหล่าทหารองค์รักษ์ให้ตื่นขึ้นทันที ทำให้ความหวาดกลัวที่เกาะกุมจิตใจของพวกเขาได้หายไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทุกคนลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“แม่ทัพคนที่สามของเจ้า อากู่หลัวและผู้ใต้บังคับบัญชาของมันตายหมดแล้ว พวกเจ้าปรารถนาจะเดินตามรอยเท้าของมันหรือไม่?” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมยเมื่อเห็นสิ่งนี้
เสียงของเขาสงบนิ่ง แต่กลับลอดเข้าหูของทหารองครักษ์ยักษาทุกตนอย่างชัดเจน
ทันใดนั้น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ลุกโชนของพวกเขาก็จมดิ่งลงอีกครั้ง ในขณะที่สีหน้าของทุกคนกลายเป็นกังวลและสงสัย
“โง่บรม! พวกเจ้าทุกคนจะเชื่อคำพูดของมนุษย์ที่น่ารังเกียจนั่นได้อย่างไร?”
“ฆ่า! ฆ่าไอ้คนโกหกบัดซบนั่นซะ!”
โม่ฟูกับหัวหลิงโกรธมาก จากนั้นพวกเขาก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเฉินซีเมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ ‘พวกมันช่างไร้เดียงสายิ่งนัก’
ฟิ้ว!
แม้ว่าชายหนุ่มจะคิดเช่นนี้ในใจ แต่ร่างของเฉินซีก็หายไปทันที ในขณะที่เขาพุ่งตัวเข้าใส่กลุ่มยักษา
ในขณะเดียวกัน ปราณเซียนในร่างกายของชายหนุ่มก็ฟื้นตัวจนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ดังนั้นเฉินซีจึงเหมือนพยัคฆ์ดุร้ายที่ลงมาจากภูเขาทันทีที่เขาเคลื่อนไหว
ทุกย่างก้าวของเขา ทำให้ปราณเซียนสั่นสะเทือนและพุ่งเข้าหาตัวชายหนุ่มเป็นศูนย์กลาง บนท้องฟ้า มีหลุมดำที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ จำนวนมากปรากฏขึ้น พวกมันดูเหมือนระลอกคลื่นซัดสาด ซึ่งก่อตัวเป็นสนามพลังอันบิดเบี้ยว หมุนวน และแผ่ขยายออกไปยังบริเวณโดยรอบอย่างน่าสะพรึงกลัว
ภายใต้ผลกระทบของสนามพลังที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวนี้ ร่างกายของทหารองครักษ์ยักษาทั้งหมดรวมถึงแม่ทัพทั้งสามคน ต่างบิดตัวไปมาอย่างรุนแรง และทุกคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ในชั่วพริบตา
“คนผู้นี้ช่างแข็งแกร่งจริง ๆ!”
หัวใจของทหารองค์รักษ์ยักษาทั้งหมดสั่นสะท้าน จากนั้นพวกเขาก็ถอยร่นกลับไปโดยไม่รู้ตัวคราแล้วคราเล่า
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ขณะที่เท้าของเฉินซีเหยียบย่ำไปบนอากาศ ร่างของเขาได้ทะยานวูบไหวไปในท้องฟ้า ดูราวกับยมทูตที่กำลังเก็บเกี่ยวชีวิต เสียงฝีเท้าทุกก้าวทำให้หัวใจและดวงวิญญาณตื่นตระหนก มันรวดเร็วถึงระดับที่เหนือจินตนการ ยิ่งกว่านั้น มันยังเปี่ยมล้นด้วยจิตสังหารที่หนาวเย็นเสียดแทงกระดูกอีกด้วย
มันคือศาสตร์เต๋า ‘เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล’ แต่ตอนนี้ มันได้หลอมรวมความลึกล้ำของมหาเต๋ามากมายเอาไว้ และกำลังโคจรพลังภายใต้คำสั่งจากเต๋าแห่งยันต์อักขระ ทำให้จิตสังหารดูราวกับวัตถุที่จับต้องได้ และคล้ายกับกระบี่คมกริบที่ไร้เทียมทานกวาดไปโดยรอบ
เฮือก!
หัวใจและจิตวิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยเสียงฝีเท้าของเฉินซี และร่างของทหารองครักษ์ยักษาบางคนที่ล่าถอยช้าเกินไป ก็ถูกรุกล้ำด้วยจิตสังหารโดยตรง และจากลักษณะภายนอกของพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่เส้นลมปราณในร่างกายของคนพวกนั้นกลับถูกตัดขาด ในขณะที่ดวงวิญญาณของพวกเขาแตกสลาย ทำให้พวกเขาถูกพรากชีวิตไปอย่างเงียบงัน
“บัดซบ!” ใบหน้าของแม่ทัพใหญ่โม่ฟูบิดเบี้ยวและดุร้าย ขณะที่ร่างของเขาระเบิดด้วยแสงสีดำสนิทออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าตัวดูจะกลายร่างเป็นเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่ มีเมฆดำขดตัวอยู่รอบกาย ขณะที่ปราณชั่วร้ายพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า อันที่จริง มันบังเกิดเป็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น ทะเลโลหิต โครงกระดูก ซากศพ วิญญาณร้าย และปรากฏการณ์อื่น ๆ ดูราวกับประตูนรกได้เปิดออก!
ตู้ม!
ภายในกลุ่มเมฆสีดำและหมอกปราณที่น่าสะพรึงกลัว โม่ฟูทะยานขึ้นท้องฟ้า และข้ามผ่านท้องนภาด้วยก้าวเดียว เขาไม่สนใจเฉินซี และชกไปที่เป้ยหลิงแทน หมัดนี้เหมือนกับหมัดของเทพอสูร มันปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งดูจะกลืนกินวิญญาณได้
เป้ยหลิงรู้สึกได้ว่า หากนางโดนหมัดของโม่ฟูเข้าไป พลังชีวิตและความตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ของตนคงถูกตัดขาด ในขณะที่เลือด ปราณเซียน หรือเนื้อหนังในร่างของนางจะกลายเป็นวัตถุที่ไร้พลังชีวิต
นี่เป็นเคล็ดวิชาหมัดที่น่าสะพรึงกลัวและไร้ความปรานี มันสามารถเปลี่ยนคนให้เป็นซากศพ และเปลี่ยนซากศพให้เป็นโครงกระดูกได้!
“ฮึ่ม!”
ในเวลานี้ เฉินซีแค่นเสียงเย็นชา ในขณะที่เพลงกระบี่ของเขาเปลี่ยนไป จากนั้นชายหนุ่มก็ฟันออกไปพร้อมกับพลังแห่งการพิพากษาที่ลึกซึ้ง มันทะลวงผ่านท้องฟ้าและมาถึงก่อนที่หมัดของโม่ฟูจะไปถึงเป้ยหลิง
เดิมที โม่ฟูตั้งใจจะใช้เป้ยหลิงเพื่อกอบกู้สถานการณ์ ดังนั้นรอยยิ้มเยาะเย้ยจึงปรากฏขึ้นเมื่อเขาเห็นสิ่งนี้ จากนั้นร่างของเจ้าตัวพลันสว่างวาบ ก่อนจะหายไปจากจุดนั้นพร้อมกับเสียงโครมคราม
ในเวลาเดียวกัน จู่ ๆ พลังที่น่าสะพรึงกลัวสองสายก็พุ่งเข้ามาจากทั้งสองด้านของเฉินซี และเปิดฉากโจมตีใส่ชายหนุ่มอย่างดุเดือด
ด้านหนึ่งคือดาบคมกริบที่ถืออยู่ในมือของหัวหลิง และดาบเล่มนั้นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่กลางอากาศ กำลังเปล่งแสงพร่างพรายนับไม่ถ้วนออกมา
ส่วนอีกด้านคือค้อนใหญ่ที่ถืออยู่ในมือของเยี่ยหลัวเจิน อานุภาพของมันยิ่งใหญ่ดุจภูเขาที่สามารถทลายท้องฟ้า และบดขยี้พสุธาให้เป็นจุณด้วยพลังทำลายอันน่าเกรงขาม
พวกเขาโจมตีเฉินซีจากทั้งซ้ายและขวา ซึ่งสอดประสานกันอย่างไร้ที่ติ มันเป็นการโจมตีที่ไร้ความปรานีและโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก
แต่เฉินซีกลับดูจะไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ และเพิกเฉยต่อมันโดยสิ้นเชิง ร่างของชายหนุ่มพลันถอยร่นกลับไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาฟาดมือไปทางด้านหลัง ใช้ฝ่ามือที่ลุกโชนราวกับเปลวไฟ สร้างเป็นทางที่สว่างไสวด้วยไฟ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยพลังที่ลึกล้ำและลี้ลับของปารมิตา จากนั้นมันก็พวยพุ่งเข้าสู่บริเวณที่ว่างเปล่าในทันที!
ปัง!
“อ๊าก!!!” เสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชดังมาจากพื้นที่ซึ่งว่างเปล่า จากนั้นร่างสูงใหญ่ของโม่ฟูก็เดินโซซัดโซเซออกมา
อย่างไรก็ตาม ร่างของอีกฝ่ายในยามนี้เต็มไปด้วยเลือด ในขณะที่ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกบดขยี้และยุบลงไป ทำให้รูปลักษณ์ในขณะนี้ของเจ้าตัวดูค่อนข้างน่ากลัว
ฉากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้การโจมตีของหัวหลิงและเยี่ยหลัวเจินช้าลงชั่วขณะ
ในยามนี้ เฉินซีฉวยโอกาสนี้ควงกระบี่ยันต์ศัสตรา สาดปราณกระบี่ที่เจิดจรัสออกมากลางอากาศ ฉีกทะลุท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดังกึกก้อง ในขณะที่มันฟันลงมา
ฉัวะ! ฉัวะ!
แขนสองข้างที่โชกเลือดกระเด็นขึ้นฟ้า
หัวหลิงกับเยี่ยหลัวเจินต่างร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและเดือดดาล จากนั้นคนทั้งสองก็รีบถอยร่นกลับไป …เพียงแค่ชั่วพริบตา การโจมตีผสานกันของพวกเขาก็สลายไปโดยสิ้นเชิง!
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฉินซีไม่ได้รู้สึกประสบความสำเร็จมากนัก และเขาก็ไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่าย เพียงแค่แหงนหน้าขึ้นมองไปยังระยะไกล จากนั้นใบหน้าของชายหนุ่มก็แสดงปฏิกิริยาแปลก ๆ ออกมา
เพราะสถานที่ที่เขามองไปนั้น กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวกำลังพุ่งจากไปด้วยความเร็วสุดขีด…
‘ราชายักษาจะหลบหนีไปโดยไม่ได้ต่อสู้จริง ๆ หรือ? หรือเขาจะทอดทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้?’
แม้ว่าความคิดนี้จะแวบเข้ามาในใจของเฉินซี แต่ในชั่วพริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็หยุดคิดและทะยานเข้าสู่กลุ่มของทหารองค์รักษ์ยักษาอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ม่านของการต่อสู้ก็ถูกรูดปิดลง
ทหารองครักษ์ยักษาสามร้อยนายและแม่ทัพยักษาสามคนที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้ถูกทำลายล้างหมดสิ้น และศพของพวกเขาก็จมดิ่งสู่ทะเลทุกข์
อันที่จริง ผลการต่อสู้ในครั้งนี้ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่เริ่มต้น และมันก็เหมือนกับที่เฉินซีได้กล่าวไว้ในอดีต เมื่อความแข็งแกร่งบรรลุมาถึงระดับหนึ่ง จำนวนของศัตรูก็ไม่สามารถชดเชยความแตกต่างดังกล่าวได้
ถึงขนาดที่ว่า หากเขาไม่ต้องระมัดระวังการโจมตีจากราชายักษาเหยียนถู เฉินซีก็สามารถฆ่าทหารองครักษ์ยักษาเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย และผ่อนคลายมากขึ้น
นี่คือพลังสูงสุดที่แท้จริงของขอบเขตเซียนปฐพี!
ดังนั้นจะมีใครในบรรดาผู้ได้รับการบ่มเพาะแบบเดียวกัน ที่สามารถต่อสู้กับเฉินซีที่มีความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้?
ผิวของทะเลโคลนเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดที่หนาแน่นจนเกือบจะเป็นวัตถุ ในขณะที่มันย้อมทะเลกว้างใหญ่นี้จนเป็นสีแดงเข้ม จนบังเกิดเป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่ง
“คนเหล่านี้ช่างยากไร้เสียจริง ๆ พวกมันครอบครองผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนเพียงหกก้อนเท่านั้น น่าเสียดายที่ราชายักษาหนีไป ไม่อย่างนั้น ข้าอาจได้รับมากกว่านี้ หากข้าสังหารมันได้…” หลังจากเก็บกวาดสนามรบเสร็จแล้ว เฉินซีตรวจสอบผลึกทั้งหกก้อนที่มีขนาดเท่านิ้วโป้งในมือของเขา มันปกคลุมด้วยปราณที่ขุ่นมัว และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เป้ยหลิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเขา ขณะที่นางกล่าวว่า “จงพอใจกับสิ่งที่เจ้ามี พวกมันเพียงหนึ่งก้อนก็สามารถทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ของยมโลกต้องต่อสู้จนตัวตายได้แล้ว แต่เจ้ากลับยังไม่พอใจหลังจากได้มาหกก้อนในครั้งเดียว ถ้าเรื่องนี้เป็นที่ล่วงรู้ของผู้คน พวกเขาคงโกรธจนกระอักเลือดเป็นแน่” เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็โยนผลึกสามก้อนไปทางเป้ยหลิง “โอ้ งั้นสิ่งเหล่านี้ก็เป็นของเจ้า ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนั้น ข้าจะทำให้พวกเขาอิจฉาเจ้าเช่นกัน”
“ของข้าหรือ?” เป้ยหลิงตกตะลึงระคนประหลาดใจอย่างมาก
“มีสิ่งใดผิดปกติหรือ?” เฉินซีกล่าวราวกับว่ามันไม่สำคัญ
เป้ยหลิงนิ่งเงียบไป ก่อนจะคืนผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนทั้งสามก้อนให้แก่ชายหนุ่ม “ข้าติดตามเจ้ามา แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรมาก ดังนั้นข้าไม่ต้องการให้เจ้าให้ค่าตอบแทนใด ๆ กับข้า”
เฉินซีไม่ได้รับพวกมันคืนจากนาง เขาหันขวับกลับมาและกระโดดขึ้นไปยังเรือเหาะสมบัติ ในขณะที่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สิ่งตอบแทนอันใด? สิ่งเหล่านี้เป็นรางวัลจากการต่อสู้ ดังนั้นข้าจึงต้องแบ่งให้เจ้าเท่า ๆ กัน อย่าได้ทำตัวจูจี้จุกจิก เร็วเข้า ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”
“จู้จี้จุกจิก…”
“คนผู้นี้กล้าดียังไงถึงกล้าว่าข้าจู้จี้จุกจิก!”
เป้ยหลิงแหงนหน้าขึ้นด้วยความลำบากใจระคนขุ่นเคือง แต่ก็ต้องตกตะลึงในเวลาต่อมา เพราะนางเห็นลมทะเลพัดหวีดหวิวและเมฆดำปกคลุมท้องฟ้า ซึ่งท่ามกลางพื้นหลังที่ดำมืดนี้ ทำให้ร่างของชายหนุ่มดูสูงใหญ่เป็นสง่า เสื้อผ้าและผมปลิวไสวไปตามสายลม ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใส ดูเปล่งประกายยิ่ง!
ภาพนี้ทำให้เป้ยหลิงตกใจและอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ได้ และนางรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะลืมภาพนี้ไปตลอดชีวิต
…
ในทะเลกว้างใหญ่ที่มีเสียงฟ้าร้องและพายุโหมกระหน่ำ อาจมองเห็นปราสาทเลือนรางตั้งตระหง่านอยู่บนทะเลทุกข์ ไม่ว่าพายุอันน่าตกใจจะพัดโหมกระหน่ำเข้ามาอย่างไร หรือคลื่นลูกใหญ่ซัดสาดเข้ามา ปราสาทก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
ภายในปราสาท บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ
ชายชราผมสีดอกเลานั่งอยู่ข้างเตาหลอม และดูเหมือนเขากำลังหลับอยู่
“ใช่ ข้าหลบหนี เพราะข้ารู้ตัวดีว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้กับมนุษย์คนนั้น ดังนั้นข้าจึงได้แต่พึ่งพาพลังของเจ้าเท่านั้น ไม่สิ พลังของค่ายกลพิฆาตอสูรโบราณ!” เหยียนถูกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำจากบริเวณใกล้เคียง
“เขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?” ชายชราลืมตาขึ้นและถามช้า ๆ
“หลงไฮว เจ้าไม่จำเป็นต้องสงสัยความแข็งแกร่งของเขา เพราะเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน ข้ากระทั่งรู้สึกสงสัยด้วยซ้ำว่าคงไม่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีคนใดสามารถต่อกรกับเขาได้” เหยียนถูกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ฮ่า ๆ หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็อยากเห็นด้วยตาตัวเองจริง ๆ” ชายชรายืดกายของเขาตั้งตรงและถอนหายใจด้วยความสบายใจ ก่อนจะกล่าวพึมพำ “อย่าลืมว่าทะเลกว้างใหญ่แห่งนี้คือทางตันโดยแท้ พวกลาหัวโล้นจากภพพุทธองค์เมื่อหลายปีก่อนไม่ได้บอกหรือว่า ‘ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง’*[1] ด้วยข้าหลงไฮวอยู่ที่นี่แล้ว จะมีผู้ใดสามารถข้ามทะเลนี้ไปได้?”
[1] ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง หมายถึง คนชั่วเมื่อกลับตัวกลับใจแล้ว ย่อมมีหนทางให้เดินต่อไป ไม่จมอยู่กับความทุกข์อีก