บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 986 จมดิ่งสู่ทะเลทุกข์
บทที่ 986 จมดิ่งสู่ทะเลทุกข์
บทที่ 986 จมดิ่งสู่ทะเลทุกข์
หลงไฮวชำเลืองมองกระเป๋าสัมภาระ ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “แค่สี่สิบเก้าหรือ? ถ้าข้าจำไม่ผิด ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนที่เจ้านำทหารองครักษ์ยักษาไปรวบรวมมาตลอดหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา ยังไม่ได้ถูกส่งมอบให้ใต้เท้าใช่หรือไม่?”
เหยียนถูพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา ถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนคือของเน่าเสียข้างถนนที่สามารถพบเจอได้ดาษดื่นหรือไร?”
หลงไฮวชำเลืองมองอีกฝ่าย ไม่ตอบอันใด ก่อนหันไปมองสมรภูมิที่อยู่ไกลออกไป
พรวด!
ในช่วงเวลานี้ เฉินซีแบกเป้ยหลิงไว้บนแผ่นหลัง สังหารทหารองครักษ์ยักษาตนสุดท้าย จนโลหิตสาดกระเซ็น และเกิดเส้นโค้งงดงามสีแดงสดกลางอากาศ
จนถึงตอนนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั้งหนึ่งพันสามสิบสองตนที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของราชาฉู่เจียง ล้วนถูกเด็ดศีรษะ โลหิตย้อมทะเลทุกข์ กลิ่นโลหิตคละคลุ้ง ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่จางหาย
เฉินซีแบกเป้ยหลิงไว้บนแผ่นหลัง ก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ก่อนจะถึงตำหนักโบราณ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มยืนตระหง่าน ชุดอาบย้อมไปด้วยโลหิต ดวงตาลึกล้ำราวกับหุบเหว เผยเจตจำนงต่อสู้อันเกรี้ยวกราด
หลังจากผ่านการต่อสู้ในศึกใหญ่ ชายหนุ่มกลับไร้ซึ่งรอยขีดข่วน แม้กระทั่งปราณและพลังชีวิต รวมถึงกลิ่นอายยังไม่ได้อ่อนกำลังลง เขายังคงสงบนิ่งดุจทะเล ขณะแผ่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงออกมา
“หากข้าเดาไม่ผิด หลังจากฆ่าพวกเจ้าสองคนแล้ว ข้าก็จะสามารถไปถึงอีกฝั่งของทะเลทุกข์ได้อย่างราบรื่นใช่หรือไม่?” เฉินซีกล่าวอย่างเย็นเยือก
ต่อให้รู้อยู่แล้วว่า เฉินซีไม่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ แต่เมื่อเห็นตัวคนมาปรากฏตรงหน้าจัง ๆ ผนวกกับกลิ่นอายอันไร้เทียมทานของอีกฝ่าย …มันก็มากพอที่จะทำให้ราชายักษาเหยียนถูกับหลงไฮวประหลาดใจอยู่ดี
เซียนปฐพีผู้มาจากภพมนุษย์ผู้นี้มีฝีมือร้ายกาจนัก พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดจึงกล้าทะลวงเข้ามาในยมโลกเพียงลำพัง ตั้งตนเป็นศัตรูกับราชานรกองค์ที่สอง! แค่ความอาจหาญเพียงอย่างเดียว ก็ไม่มีใครเทียบเคียงได้แล้ว
แน่นอนว่า ความประหลาดใจก็ส่วนประหลาดใจ พวกเขาทั้งสองไม่ได้หวาดกลัวหรือวิตก เพราะในสายตาของทั้งคู่ ต่อให้เฉินซีรอดปลอดภัยจนถึงตอนนี้ อึดใจต่อมาเขาก็จะต้องตกตายอยู่ดี!
“ถูกต้อง สหายตัวน้อยช่างเก่งกาจนัก ไม่มีใครในขอบเขตเซียนปฐพีที่สามารถเทียบเจ้าได้ แม้กระทั่งชายชราเช่นข้ากับราชายักษาก็ไม่คิดว่าจะรับมือเจ้าไหว”
หลงไฮวหัวเราะเสียงดัง ถามอย่างใคร่รู้ว่า “แต่ว่าการจะฆ่าพวกข้านั้นใช่ว่าจะทำได้ง่าย หากต้องการข้ามทะเลแห่งนี้ไป ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ข้าสงสัยจริงว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
ขณะจ้องมองคนทั้งสอง ชายหนุ่มเห็นสีหน้ามั่นใจและความคิดดูถูกของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เฉินซีจึงหรี่ตาเล็กน้อย และตอบอย่างสงบว่า “เช่นนั้นข้าก็ต้องลองดูสักตั้ง”
“ใช่ ต้องลองดู พูดอย่างเดียวมันไม่ได้หรอกนะ”
หลงไฮวยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นชี้ไปยังพื้นที่ทะเลใต้เท้าของเฉินซี กล่าวว่า “เจ้าหนูน้อยจงดู ที่นั่นคือที่ฝังศพของเจ้า!”
ครืน!
เมื่อสิ้นเสียง กลิ่นอายอันน่าสะพรึงยิ่งพลันพุ่งขึ้นมาจากน้ำทะเลใต้เท้าของเฉินซี ในตอนนั้น มันเหมือนกับเทพบรรพกาลที่ตื่นจากการหลับใหลในก้นทะเล!
ครืนนน!
เพียงชั่วพริบตา ผืนทะเลภายในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ น้ำทะเลคล้ายกับกำลังเดือดพล่าน โลหิตเอ่อล้น เปล่งประกายแวววาว ม้วนตัวแล้วบรรจบกันที่ตรงกลาง
หากมองลงมาจากท้องนภา ก็จะพบว่าทะเลขนาดใหญ่ที่เคยเงียบสงัด ตอนนี้มันได้ก่อเกิดวังวนขนาดใหญ่อย่างไร้สุ้มเสียง และกำลังหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง!
ทุกครั้งที่มันหมุนวน จะมีอำนาจบางอย่างดูดกลืนปราณวิญญาณโดยรอบเข้าไป รวมถึงฉีกกระชากความว่างเปล่ารอบข้าง กลืนกินหมู่เมฆในรัศมีหมื่นลี้ เกิดรอยแยกมิติและหลุมดำมากมาย
อำนาจนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งและความเร็วในการตอบสนองของเฉินซี เมื่อกำลังจะเคลื่อนหลบ เขากลับถูกลากขังไว้ที่เดิมทันที ชายหนุ่มได้แต่ตัวแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็เปล่าประโยชน์
อำนาจแห่งการลืมเลือนนี้ เหตุใดจึงทวีความรุนแรงได้ถึงเพียงนี้?
ไม่ใช่! นี่มันอำนาจจากค่ายกล!
หัวใจของเฉินซีแทบหยุดเต้น แต่ยามจะทันได้ตอบสนอง เขาก็รู้สึกว่าร่างตนถูกพลังบางอย่างบีบรัดอย่างรุนแรงจนควบคุมไม่ได้ ก่อนถูกลากลงไปในทะเลทุกข์อย่างโหดเหี้ยม
ตู้ม!
โลหิตสูบฉีดพลุ่งพล่าน ทั้งเขาและเป้ยหลิงที่อยู่บนแผ่นหลัง จมดิ่งก่อนหายไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลงไฮวพลันหัวเราะลั่น ใบหน้าเผยความยินดีออกมา “ดูสิ นี่คือข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน ข้าหลงไฮวประจำการอยู่ที่นี่มาสามพันปี ข้าได้ซ่อมแซมมันมาตลอดสามพันปีนี้! และด้วยการสังเวยเลือดของผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนปฐพีถึงหนึ่งพันสามสิบสองคน ในที่สุดมันก็ทำงานแล้ว!”
หลงไฮวในยามนี้เหมือนกับตาแก่เสียสติผู้กำลังตกอยู่ในความบ้าคลั่ง ตะโกนอย่างคลุ้มคลั่งว่า “นี่คือผลงานชิ้นเอกของจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม เป็นข้อห้ามสูงสุดที่แม้แต่ทวยเทพและพุทธองค์ยังต่อต้านไม่ได้! หลังจากผ่านมานานแสนนาน ในที่สุดมันก็ปรากฏขึ้นในโลกอีกครา! ต่อให้มองไปทั่วทั้งยมโลก ใครบ้างจะได้เป็นสักขีพยานกับเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ที่จะต้องได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์นี้?”
คลื่นโลหิตม้วนตัว น่านน้ำในรัศมีหนึ่งหมื่นลี้ได้กลายเป็นวังวนขนาดใหญ่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว หมุนวนไปมาอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นแรงดูดแห่งการลืมเลือนที่ไม่อาจขัดขืนได้ ทำให้สวรรค์และโลกบิดเบี้ยวพังทลาย
ภาพอันน่าสะพรึงกลัวผนวกกับเสียงหัวเราะอันคลุ้มคลั่งของหลงไฮว ทำให้ผู้คนขนลุกและหวาดกลัวจนถึงจิตวิญญาณ
แม้กระทั่งราชายักษาเหยียนถูยังต้องยอมรับว่า เขาตกตะลึงกับเหตุการณ์นี้ และถึงเวลาจะผ่านไปชั่วครู่แล้วก็ตาม ทว่าเจ้าตัวก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเล็กจ้อยและความไร้พลังราวกับแมลงเม่าของตัวเอง
เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน’ ที่สังหารตัวตนทรงอำนาจนับไม่ถ้วนในสามภพ ถามหน่อยเถิดว่า ใครจะนิ่งเฉยไม่ตกตะลึงกับมันได้บ้าง?
“พอแล้ว! เจ้าไม่กังวลว่าจะฆ่าสองคนนั้นได้หรือไม่รึ! เพราะถึงอย่างไร ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนก็สำแดงพลังได้เพียงสิบส่วนจากร้อยส่วนเท่านั้น”
หลังเหยียนถูได้สติจากความตกตะลึง และพบว่าหลงไฮวยังคงหัวเราะกับตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วติเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เนื่องจากถูกคนขัดจังหวะ หลงไฮวจึงไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาชำเลืองมองเหยียนถูด้วยสายตาเหยียดหยัน จากนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่ต้องห่วง ต่อให้เป็นเซียนปฐพี แม้แต่เซียนสวรรค์ หรือว่าเซียนลึกลับ ก็ยังหลบหนีจากมันไม่ได้!”
“เจ้าแน่ใจหรือ?” เหยียนถูถาม
“ไม่แน่ใจเท่าไร แต่ด้วยผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนเหล่านี้ พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
หลงไฮวยิ้มขณะหยิบถุงสัมภาระออกมาจากแขนเสื้อ เขาทิ้งมันทั้งหมดลงไปในทะเลทุกข์อย่างไม่ลังเล พลางพึมพำว่า “นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิต เป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะเขียนตำนาน ‘ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน’ ขึ้นมาใหม่ ถึงแม้ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนจะหายาก แต่พวกมันมากพอที่จะปลดปล่อยพลังในการสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับเซียนลึกลับได้…”
“เจ้า…ยอมเสียของขนาดนี้เชียวหรือ?”
เหยียนถูเจ็บปวดเล็กน้อย นี่คือสิ่งที่เขาสั่งให้ลูกน้องรวบรวมมาตลอดหลายร้อยปี จนกระทั่งได้ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนสี่สิบเก้าก้อน ตอนนี้พวกมันกลับถูกหลงไฮวทิ้งลงไปในทะเล แล้วเขาจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร?
“เสียของอันใดกัน?!” หลงไฮวตวาดเสียงดัง “ผลึกทุกข์แห่งการลืมเลือนเสียไปก็หาใหม่ได้ แต่ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน ชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เห็นสักกี่ครั้งกัน?”
เหยียนถูลังเล พูดไม่ออก หัวใจแตกสลาย
เมื่อเผชิญหน้ากับตาแก่เสียสติ เขาย่อมพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงชำเลืองมองทะเลเบื้องล่าง ขณะพึมพำว่า “คราวนี้แหละ ถึงเวลาตายแล้ว จริงสิ แม้แต่เซียนลึกลับยังไม่รอดเลย แล้วผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนปฐพีสองคนจะไปเหลืออันใด?”
“แค่รอเฉย ๆ ก็พอ ไม่ถึงหนึ่งเค่อ สองคนนั้นจะต้องตกตายแน่นอน จากนั้นเราสองค่อยเก็บกู้คือแก่นวิญญาณของทหารที่จากไป ถึงยามนั้น …ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ!”
เคราและเส้นผมของหลงไฮวไหวไปมา เจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะซึ่งเต็มไปด้วยความอิ่มเอมใจดังลั่น
…
“นี่มัน…”
ใบหน้าของเว่ยหลานซีดเซียวด้วยความหวาดกลัว ร่างกายสั่นสะท้าน
ก่อนหน้านั้น ท้องทะเลพลันกลายเป็นวังวนกลืนกินสวรรค์ ลากความว่างเปล่าลงไปในทะเล หากก้าวไม่ระวัง อาจจะถูกฝังในทันที
ถึงแม้ตอนนี้จะรอดจากภัยพิบัติมาได้ แต่ในใจนางก็ยังคงหวาดกลัว
“ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน!”
ชายชราในชุดคลุมปักกล่าวเช่นนั้นออกมาจากริมฝีปากอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงของเขาคลุมเครือ แม้จะเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่ดูเหมือนกับมีน้ำหนักหนึ่งพันจิน เมื่อคำพูดหลุดออกมา เจ้าตัวตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังทันที
“ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนหรือ? ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนคืออันใด?” ด้านหนึ่ง เว่ยเซียวเฟิงถามอย่างสนใจ แต่เขาไม่แตกตื่นหรือหวาดกลัว
“คนหนุ่มสาวมักโง่เขลา ไร้ความกลัวเกรง”
ชายชราสูดหายใจเข้า พยายามสงบสติตัวเอง จากนั้นกล่าวช้า ๆ บอกเล่าทุกสิ่งที่ล่วงรู้ให้คนทั้งสองได้ทราบ
หลังจากได้ฟัง เว่ยหลานแข็งทื่ออยู่กับที่ พึมพำว่า “แสดงว่า พวกเขาถึงคราวที่ต้องตายแล้วอย่างนั้นหรือ…”
แต่เว่ยเซียวเฟิงกลับกัดฟันแล้วกล่าวว่า “ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน! นี่คือข้อจำกัดอันทรงอานุภาพยิ่งที่จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามใช้ เพื่อกำราบและสังหารทวยเทพแลพุทธองค์ แต่ลูกน้องของราชาฉู่เจียง กลับใช้มันเพื่อจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์เซียนปฐพีสองคนจากภพมนุษย์ วิธีการนี้…ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก มันคู่ควรกับชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของค่ายกลนี้หรือ? น่ารังเกียจ! น่ารังเกียจสิ้นดี!”
ชายชราในชุดคลุมปักยิ้มแห้ง เขาย่อมมองออกว่าข้อจำกัดแห่งการลืมเลือนนี้ไม่สมบูรณ์ พลังของมันไม่น่ากลัวอย่างที่เล่าลือกันมา ทว่าก่อนหน้านี้ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองจากภพมนุษย์ ได้สังหารคนของราชานรกองค์ที่สองไปมาก ดังนั้นการจัดการกับพวกเขาด้วยวิธีนี้ จะบอกว่าน่ารังเกียจได้อย่างไร?
“เฮ้อ น่าเสียดายที่ชายหญิงไร้เทียมทานสองคนนี้…” ชายชราในชุดคลุมปักถอนหายใจด้วยความเสียดายยิ่ง
…
บนภูเขาหมื่นกระแส หมู่เมฆเคลื่อนตัวอย่างอิสระ สายลมขุนเขาพัดผ่าน
ราชานรกองค์ที่สองจี้คังเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างภาคภูมิ ชุดคลุมปลิวไสว มองดูทะเลทุกข์กว้างใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป ตะวันและจันทราเวียนสลับขึ้นลงในดวงตาคู่นั้น สะท้อนภาพสวรรค์และโลก ราวกับกำลังทะลวงผ่านเก้าสวรรค์สิบปฐพี ไม่มีสิ่งใดเล็ดรอดสายตานี้ไปได้
“หลงไฮวผู้นี้ ช่างอาจหาญยิ่งนัก”
ผ่านไปสักพัก จี้คังพึมพำ บนใบหน้าผอมชราแปลกประหลาด มีความรู้สึกบางอย่างอยู่ ราวกับเขาประหลาดใจต่อ ‘ข้อจำกัดแห่งการลืมเลือน’
“เจ้าสหายน้อยน่าสงสารทั้งสอง สุดท้ายก็ย่างเข้าสู่ภูเขาหมื่นกระแสไม่สำเร็จ ราชาผู้นี้นับว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่มีศักยภาพ ถึงกระนั้นก็ประเมินพวกเขาสูงเกินไป…”
ขณะส่ายหน้า จี้คังสะบัดแขนเสื้อ หันหลังแล้วจากไป ไม่เหลียวแลอีก เขาคล้ายกับหมดกำลังใจเล็กน้อย
ภายในถ้ำกรงเทวะ ณ ภูเขาหมื่นกระแส
ในตอนนี้ ชิงซิ่วอี้ผู้กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบงันพลันลืมตาที่กระจ่างใสขึ้นในความมืด
“เจ้ามาแล้วสินะ แต่เหตุใดจึงพาผู้หญิงมาด้วย?”
เสียงถอนหายใจเย็นชาและแจ่มชัดดังก้องในความมืด ในน้ำเสียงดังกล่าวเจือด้วยร่องรอยความหงุดหงิดที่หาได้ยาก แต่ก็มีความโล่งอกระคนยินดีรวมอยู่ด้วย
“เป็นตายแบ่งแยกได้หรือ? จี้คัง เจ้าเหมือนจะด่วนสรุปเกินไปหน่อยนะ…”
ผ่านไปสักพัก ชิงซิ่วอี้ผู้กำลังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน หลับตาลงอีกครั้ง ก่อนที่ทุกสิ่งจะกลับสู่ความมืดอีกครา
—————————————