บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 99 ชดใช้ด้วยเลือด (4)
บทที่ 99 ชดใช้ด้วยเลือด (4)
บทที่ 99 ชดใช้ด้วยเลือด (4)
วูบ!
วูบ!
ในแสงไฟยามค่ำคืน ร่างเงาปริศนาหลายร่างกำลังมุ่งสู่จวนตระกูลหลี่
ในขณะนี้ ชาวเมืองหมอกสนเกือบทุกคนต่างรู้ว่าเฉินซีกลับมาแล้ว และกำลังจะบุกไปตระกูลหลี่ พวกเขาต่างคิดว่าเฉินซีจะต้องตายแน่ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงร้องดังโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมานกับเสียงระเบิดดังออกมาจากจวนตระกูลหลี่อย่างต่อเนื่อง… ดูเหมือนการต่อสู้จะไม่เคยหยุดสักครู่เดียว
สิ่งนี้พิสูจน์อะไรได้บ้าง?
พิสูจน์ให้เห็นว่าเฉินซียังไม่ตาย และยังคงต่อสู้กับสมาชิกตระกูลหลี่ทั้งหมดเพียงลำพัง!
เนื่องจากทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่าเมื่อปีก่อนเฉินซีเข้ามาเป็นเด็กหน้าใหม่ที่ร่ำเรียนวิธีสร้างยันต์ตัวเล็ก ๆ เท่านั้น อีกทั้งพลังฝึกบ่มเพาะของเขาก็ถึงแค่ขอบเขตก่อกำเนิด หากตระกูลหลี่ส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ออกไป ก็สามารถกำจัดเขาได้ไม่ยากเย็น
แต่ตอนนี้เจ้าหนุ่มนั่นบุกไปตระกูลหลี่ด้วยตัวเอง นอกจากเขาจะยังไม่ถูกสังหารแล้ว ชายหนุ่มยังสามารถต่อสู้ได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ เรื่องแบบนี้จะไม่ทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างไรได้
เป็นไปได้หรือไม่ว่า… เจ้าหนุ่มนั่นบังเอิญเข้าไปดินแดนรกร้างใต้พิภพ ทำให้พลังบ่มเพาะของเขาพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายในเวลาหนึ่งปี
เพื่อพิสูจน์สิ่งอยู่ในความคิดขณะนั้น เวลานี้ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลในเมืองหมอกสนต่างรีบออกมากันหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกที่จวนแม่ทัพ สำนักหมอกสน สำนักกระบี่ดารานภา สำนักพฤกษ์ชาด…
คนเหล่านี้ไม่ได้มาช่วยเฉินซี แต่มาเพราะอยากรู้อยากเห็น ที่สุดแล้วศัตรูของเฉินซีก็คือตระกูลหลี่ จึงไม่มีใครโง่พอที่จะเป็นศัตรูกับผู้ทรงอำนาจอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมอกสนเป็นแน่
เพียงไม่นาน ภายในบริเวณกว่าพันลี้จากตระกูลหลี่ก็เต็มไปด้วยผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลที่มาจากกลุ่มมหาอำนาจต่าง ๆ และเพื่อไม่ให้ตระกูลหลี่เกิดความเข้าใจผิด พวกเขาจึงพากันซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด และแสดงจุดยืนว่าอย่างไรเสียก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง
กระนั้นทันทีที่มองเห็นพื้นที่อันเต็มไปด้วยซากศพกระจัดกระจายไปทั่วจวนตระกูลหลี่ โลหิตแดงฉานไหลเป็นทางราวสายน้ำมาจากศพของหลี่หมิง ซึ่งถูกลำแสงกระบี่ที่อยู่กลางอากาศฟาดฟันจนแหลกละเอียด ทุกคนมองด้วยความตกตะลึง
บางคนมีสายตาแหลมคมก็คาดเดาพลังบ่มเพาะของเฉินซีได้เลา ๆ โดยดูจากลักษณะการเข้าจู่โจมของชายหนุ่ม ครู่ต่อมาต่างคนต่างตะลึงงันจนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ขอบเขตตำหนักอินทนิล!
เจตจำนงกระบี่!
การเคลื่อนไหวว่องไวฉับพลันดุจดั่งสายลม!
กระบี่บินระดับมนุษย์ชั้นยอด!
เป็นไปได้หรือว่าเขาจะสามารถสร้างพลังแข็งแกร่งอันน่าเกรงขามกับสมบัติวิเศษในชั่วเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ทำได้อย่างไร!? …เป็นไปหรือไม่ว่าที่ผ่านมาเขาจะปกปิดพลังที่แท้จริงไว้
ทันใดนั้นเสียงของผู้อาวุโสกับหลี่อี้เจิ้นแห่งตระกูลหลี่ก็ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จากนั้นดูเหมือนจะเป็นเฉินซีที่บอกกับตนเองว่าลงมือสังหารหลี่ไฮ่วแล้ว เป็นอีกครั้งที่ทำให้บรรดาผู้มาเฝ้าดูถึงกับหัวใจกระตุกวูบ
หลี่ไฮ่ว… บุตรชายคนโตของผู้นำตระกูลหลี่ เป็นคนที่มีความโดดเด่นที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งเมืองหมอกสน ชื่อเสียงเรียงนามโด่งดังไปทั่ว ด้วยมีแววเจิดจรัสจนล่ำลือกันว่าเป็นคนที่โดดเด่นและเก่งกาจเป็นเลิศแห่งตระกูลหลี่ในรอบนับพันปีทีเดียว
คนอัจฉริยะเป็นเลิศต้องมาตายด้วยน้ำมือของเฉินซี…
ตัวซวยอย่างนั้นหรือ
ยังจะว่าเขาเป็นตัวซวยอยู่หรือไม่
ตัวซวยที่ระเบิดความแข็งแกร่งออกมาอย่างรวดเร็วในเวลาแค่ปีเดียว จากนั้นก็รู้แจ้งในเจตจำนงกระบี่ ต่อมาได้ครอบครองสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดอย่างนั้นหรือ
ในเวลานี้ไม่มีใครกล้าเหยียดหยามเฉินซีอีกต่อไป ปีที่แล้วพวกเขายังไม่กล้าพาเจ้าหนุ่มคนนี้ไปฝากเป็นศิษย์สร้างยันต์ฝึกหัดด้วยซ้ำ ด้วยสมญานาม ‘ตัวซวย’ ของเขา มาบัดนี้ดูเหมือนทุกคนเริ่มที่จะลืมเลือนชื่อนั้นเสียแล้ว…
ในโลกของการบ่มเพาะพลัง มาตรฐานของความแข็งแกร่งจะใช้เป็นเครื่องวัดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานะ ตัวตน เกียรติยศชื่อเสียง… ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งของตัวเอง แม้ว่าจะสังกัดอยู่ในนิกาย กลุ่มหรือสำนักใด หากต้องการได้พลังที่มากขึ้น คนคนนั้นจะต้องมีความแข็งแกร่ง!
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าปรากฏร่างเป็นระลอกคลื่นทั้งหกอยู่เหนือจวนตระกูลหลี่ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นหลี่อี้เจิ้นผู้ที่กำลังจมอยู่กับความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตรชาย
ทันทีที่คนทั้งหกปรากฏตัว รังสีอำมหิตอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายสูงตระหง่านปานภูเขา หรือแม้คนที่อยู่ห่างออกไปยังรับรู้ถึงพลังกดดันอันหนักหน่วง
พวกเขาเป็นผู้เฒ่าทั้งหกที่แยกตัวไม่คบหาสมาคมกับผู้อื่น!
คุณพระช่วย! เฒ่าประหลาดทั้งหกแห่งตระกูลหลี่เผยตัวออกมาพร้อมกัน!
ผู้คนในบริเวณใกล้เคียงไม่กล้าจินตนาการตามอำเภอใจอีกต่อไป พวกเขาจึงได้แต่มองดูสถานการณ์การต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ
ตระกูลหลี่อาศัยอำนาจของผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งหกเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหมอกสน เวลานี้พวกเขาปรากฏตัวต่อสาธารณชนแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้ร้อยปีจะเกิดขึ้นสักครั้งก็นับว่ายังยาก ไม่มีใครที่ไม่อยากเห็นความแข็งแกร่งของพวกเขา
ชักข้องใจแล้วสิว่าเฉินซีจะต้านรับการโจมตีพร้อมกันของผู้อาวุโสตระกูลหลี่ทั้งหกคนได้สักกี่กระบวนท่า
ช่วยไม่ได้ที่คำถามนี้จะผุดขึ้นมาในใจของทุกคน
…
บนพื้นดิน โลหิตแดงฉานไหลนองเป็นสายน้ำ แขนขาที่ถูกตัดขาดยังชุ่มไปด้วยเลือด นอกจากนี้อวัยวะภายในก็ลอยปะปนกันไป ส่งให้กลิ่นคาวเลือดฉุนจัดตลบอบอวล
ทุกคนล้วนเคยเป็นสมาชิกตระกูลหลี่ที่ตอนนี้ต้องมาตายตกอย่างน่าอนาถ
ทุกคนเคยเป็นความหวังของตระกูล
ในตอนนี้ทั้งหมดนอนจมกองเลือดอย่างสุดแสนจะวิปโยค เมื่อภาพนั้นปรากฏแก่สายตาของหลี่เฟิงถู รวมทั้งบรรดาผู้อาวุโสอีกห้าคน ทุกสายตาก็เบนไปที่เฉินซี แววตาทุกคู่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อเจ้าตัวต้นเหตุ …เฉินซียังไม่ตาย!!
“เจ้าขยะโสโครกที่ตระกูลเฉินโยนทิ้งสินะ” น้ำเสียงของหลี่เฟิงถูทำให้รู้สึกเย็นสันหลังวาบ ขณะจ้องเขม็งไปที่เฉินซีด้วยเจตนาสังหารฉายชัด
เฉินซีไม่ตอบคำ ทันใดนั้นกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดเล่มทะยานออกมาอยู่รอบตัวชายหนุ่มทันที กลุ่มกระบี่ราวกับฝูงปลาที่กำลังแหวกว่าย ลำแสงส่องประกายกะพริบวิบวับ อีกทั้งปราณกระบี่ยังคมกริบและน่าสะพรึงกลัวพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
กระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสุดยอด!
บรรดาสมาชิกตระกูลหลี่กับผู้อาวุโสอีกห้าคนเบิกตากว้างทั้งแปลกใจระคนสงสัย พวกตนสามารถใช้กระบี่บินแปดเล่มได้เหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดอีกด้วย!
ประกายเยือกเย็นปรากฏในแววตาของหลี่เฟิงถูพลางเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะใจกล้าได้เพียงนี้ เพราะว่ามีสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดถึงแปดชิ้นนี่เอง”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ฆ่ามันเลยและยึดกระบี่แปดเล่มมาล้างแค้นให้คนตระกูลหลี่!”
“ฆ่าอย่างนั้นหรือ อย่าปล่อยมันไปง่าย ๆ เราต้องจับมันถลกหนังแล่เนื้อออกมาเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็รีดวิญญาณออกมา อย่าให้ได้ผุดได้เกิดอีกเลย!”
เวลานี้เหล่าผู้อาวุโสต่างเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา คำพูดเหล่านั้นส่อเจตนาสังหารอย่างไม่ปิดบัง
“พวกเจ้าทุกคนอยากจะสังหารข้า ส่วนข้าก็ต้องการทำลายล้างตระกูลหลี่” เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้จะไม่มีวันจบจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถูกกำจัดจนหมดสิ้น!”
ทำลายล้างตระกูลหลี่ของข้าอย่างนั้นหรือ?
หลี่เฟิงถูและคนอื่นต่างตกตะลึงด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะใจกล้าบ้าบิ่นเช่นนี้
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังงงงัน กระบี่ท่องปรภพแปดเล่มที่วนรอบตัวเฉินซีพลันเปล่งลำแสงพิฆาตหวดออกไปอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่เย็นเยียบควบแน่นเป็นสาย กระบี่แปดเล่มผสานเป็นลำแสงไขว้สลับกันไปมา ขณะเดียวกันก็เปล่งคลื่นพลังอำมหิตก่อนจะพุ่งวาบตรงไปที่ศีรษะของหลี่เฟิงถู
พลังกระบี่รวดเร็วและหฤโหด!
รวดเร็วปานสายฟ้า!
ขั้นหนึ่งแห่งค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแส — ดับชีพเลือนกระแส!
ยามนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลทั้งหก เฉินซีจำต้องใช้ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสเป็นครั้งแรก!
แม้ว่าค่ายกลกระบี่ระดับล้ำลึกนี้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่ภายในหอขุมทรัพย์สวรรค์ยังบรรจุวารีวิญญาณถึงแปดแสนชั่ง และมีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมค่ายกลกระบี่ชนิดนี้ได้ นั่นเป็นเพราะว่ามันรวดเร็วและพลิ้วไหวเกินหยั่ง ความรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบมิได้!
หลังจากที่เฉินซีสยบมันได้แล้ว ร่องรอยของเต๋าแห่งสายลมปรากฏขึ้นที่ภายในส่งให้ความรวดเร็วของมันเพิ่มขึ้นไปอีก
เฟี้ยววว!
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
คราใดที่แสงกระบี่ตวัดเข้ามา อาการบาดเจ็บจะปรากฏทันที ด้วยกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดได้ทิ้งบาดแผลฉกรรจ์ไว้บนร่างของหลี่เฟิงถูถึงแปดแห่ง กระทั่งโลหิตไหลทะลัก หากมิใช่เพราะคนผู้นี้เริ่มตระหนักถึงภัยร้ายและพยายามหลบเลี่ยงจนถึงที่สุดแล้ว การจู่โจมนี้เห็นทีจะพรากเอาชีวิตวัยชราไปแน่
“จะ… เจ้ากล้าจู่โจมอย่างนั้นหรือ!? จู่โจม!” บัดนี้เสื้อผ้าและเนื้อตัวของหลี่เฟิงถูเปื้อนเปรอะไปด้วยโลหิต อารมณ์ของเขาก็เดือดดาลถึงสุดขีด ในมือปรากฏกระบี่บินก่อนที่จะตวัดหมุนเป็นวงกลม ทำให้ลำแสงระเบิดออกไป
วูบ!
วูบ!
บรรดาผู้อาวุโสอีกห้าคนที่เหลือพลันสะบัดแขนเสื้อเหวี่ยงออกไปเช่นกัน ทันใดนั้นกระบี่บินห้าเล่มพุ่งวาบออกไปเกือบจะพร้อมกันทันที
ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหกแห่งตระกูลหลี่ คนที่นับว่ามีพลังบ่มเพาะน้อยที่สุดคือขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นเจ็ดดารา ขณะที่ทั้งหมดลงมือพร้อมกัน กระบี่บินทั้งหกเล่มที่มีแนววิถีต่างกันได้ถูกนำมาร้อยเรียง และขัดขวางหนทางหลีกหนีของเฉินซีจนหมดสิ้น แสดงว่าคนเหล่านี้มีการฝึกค่ายกลผสานโจมตีด้วย
บัดนี้เฉินซีสัมผัสได้ถึงภัยร้ายที่รุนแรง ฉับพลันต่อมาเขากระตุ้นกระบี่ท่องปรภพสองเล่มให้อารักขาตนเอง ส่วนหกเล่มที่เหลือแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงกระบี่หกสายเคลื่อนไปปะทะกับกระบี่หกเล่มที่พุ่งเข้ามา พลันมีเสียงโลหะกระทบกันระเบิดดังสนั่นและหมุนวนเป็นกระเพื่อม กระบี่บินปะทะกันจนเกิดประกายไฟแตกกระจายทั่วท้องฟ้าราวกับฝนดาวตก
เสียงเปรี้ยงปร้างดังกึกก้อง!
พลันกระบี่บินสิบสองเล่มแตกกระเจิงไป
อันที่จริงพลังจู่โจมของหกผู้อาวุโสตระกูลหลี่ที่แท้แล้วเท่ากับเฉินซีคนเดียวเท่านั้น!
ม่านตาของผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ในระยะไกลต่างหดเกร็ง แววตาตื่นตระหนกฉายประกายวาบจนไม่อาจปกปิดได้
และเหล่าผู้อาวุโสทั้งหกแห่งตระกูลหลี่ก็รู้สึกถึงผลกระทบโดยตรงกว่าผู้ใด ใบหน้าของแต่ละคนถมึงทึงเมื่อพบว่าแม้ต้องต่อสู้แบบหนึ่งต่อหก เฉินซีกลับไม่ได้เสียเปรียบแม้แต่น้อย
ฟิ้ววว!
การใช้พลังโจมตีเพียงครั้งเดียวเพื่อยับยั้งกระบี่บินทั้งหกเล่มทำให้เฉินซีหอบหายใจถี่ และถูกปะทะเข้าจุดตายกระทั่งสำลักโลหิตออกมา เวลานี้ชายหนุ่มไม่กล้าลงมือซ้ำอีกรอบ เขาจึงตัดสินใจใช้เคล็ดวาตะเหินทะยาน ทำให้ร่างของเขาดุจภาพลวงและว่องไวเหมือนสายลมที่พัดผ่าน
ด้วยพลังบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นห้าดาราของเฉินซี ถ้าเขามุ่งแต่จะปะทะกับเฒ่าพิลึกทั้งหกแล้วละก็ เกรงว่าจะไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม หากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ชายหนุ่มมั่นใจว่าจะสามารถสังหารใครสักคนหนึ่งได้แน่
สุดท้ายแล้วพลังของขั้นหนึ่งค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสมีอานุภาพสูงพอที่จะสังหารทำลายผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำธรรมดา!
เวลานี้เฉินซีต้องฉวยโอกาสสังหารทั้งหกคนนี้ให้ตายทีละคน ๆ
“มันมีทักษะเคลื่อนไหวที่รวดเร็วนัก พวกเราใช้ค่ายกลย่อยหกทิศและสังหารมันซะ!” หลี่เฟิงถูตะโกนออกมาสุดเสียง ก่อนที่เขาจะแปรเปลี่ยนกระบี่เป็นค่ายกลป้องกันที่มีความรัดกุมพร้อมกับผู้อาวุโสตระกูลหลี่ทั้งห้าทันที
ทันใดนั้น คนทั้งหมดก็มายืนรวมกันแล้วหันหน้าไปทุกทิศทาง หากมองมาจากระยะไกลการผนึกร่างเช่นนี้ ทำให้ดูคล้ายบุรุษร่างยักษ์มีหกหัวสิบสองแขน คนทั้งหกมีความแคล่วคล่องว่องไวดุจเป็นคนคนเดียวกัน
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ท่ามกลางเสียงคำรามดังกระหึ่ม ขณะนั้นหกผู้เฒ่าตระกูลหลี่ควบคุมกระบี่บินหกเล่มกระหน่ำฟาดฟันใส่เฉินซี ซึ่งบัดนี้เสมือนแรงลมกระโชกไปมาอยู่บนท้องฟ้า
ครู่ต่อมาทั่วแผ่นฟ้าเต็มไปด้วยลำแสงกระบี่ตวัดวาดเป็นเกลียว แสงกะพริบวิบวับส่งแสงระยิบระยับขณะที่ร่างของพวกเขาเคลื่อนตัวไปมา ดูราวกับท้องฟ้าปรากฏรอยแยกแตกออกเป็นจำนวนมหาศาล
เคล็ดวาตะเหินทะยานของเฉินซีมีความเยี่ยมยอดเพียงใดอย่างนั้นหรือ? ตราบใดที่ต้องการจะลี้หลบอย่างสุดใจขาดดิ้น อย่าว่าแต่กระบี่บินหกเล่มเลย ต่อให้พวกมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เขาก็หลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
กระนั้นความตั้งใจที่จะจู่โจมหลี่เฟิงถูและคนอื่นของเฉินซีกลับดูยากขึ้น ด้วยการวางค่ายกลย่อยหกทิศนั้นเปรียบเหมือนบุคคลเพียงคนเดียวทว่ามีตาสามคู่ และป้องกันจากทุกทิศทางโดยรอบทำให้ไม่ปรากฏจุดบอดแม้แต่น้อย ทำให้การลอบจู่โจมไม่อาจเล็ดลอดไปจากสายตาเหล่านั้นได้
“เขาสามารถบีบบังคับให้หกผู้อาวุโสตั้งค่ายกลย่อยหกทิศขึ้นมา เฉินซีแข็งแกร่งเหลือเชื่อแท้จริง”
“จริงด้วย ถ้าต่อสู้กันแบบตัวต่อตัวเกรงว่าคงไม่มีใครเทียบกับเฉินซีได้… ข้าเดาไม่ออกเลยว่าเขาฝึกอย่างไรภายในระยะเวลาหนึ่งปี ทักษะของเขาก้าวหน้าอย่างมากจนบอกไม่ถูกทีเดียว”
คนที่มองจากระยะไกลเริ่มส่งเสียงพูดคุยงึมงำเมื่อเห็นการต่อสู้ชะงักงัน และคำพูดของพวกเขาบ่งบอกว่านิยมชมชอบเฉินซีไม่น้อย
ส่วนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลางอากาศนั้น เฉินซีเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาลอยล่องเหมือนกลุ่มควัน ทว่าคล่องแคล่วเหมือนสายลม
ผู้อาวุโสทั้งหกแห่งตระกูลหลี่รู้อยู่แล้วว่าเฉินซีกำลังมองหาจุดอ่อนเพื่อจู่โจมทีละคน ๆ ทว่าพวกเขาก็หมดหนทางที่จะต้านทานเพราะทักษะการเคลื่อนไหวของเฉินซีพิสดารเกินไป
อีกทั้งยังรวดเร็วถึงขั้นที่ว่าเหนือกว่ากระบี่บินของพวกเขาด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะพยายามโจมตีชายหนุ่มอย่างไร เขาก็มักจะหลีกหลบได้ด้วยความคล่องแคล่ว
ขืนเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ คงไม่ใช่แผนการที่ดีเป็นแน่
หลี่เฟิงถูเหลือบมองไปเห็นว่าหลี่อี้เจิ้นได้สติแล้ว ความคิดประการหนึ่งวูบขึ้นในหัวทันที จึงรีบตะโกนออกไป “อี้เจิ้น! ตั้งมหาค่ายกลคุ้มสกุลไว้เร็วเข้า!”