บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 996 ก่อความวุ่นวาย
บทที่ 996 ก่อความวุ่นวาย
บทที่ 996 ก่อความวุ่นวาย
ณ แคว้นสือ แดนภวังค์ทมิฬ
แคว้นสือเป็นแคว้นขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บริเวณรอบนอกของเทือกเขากระบี่เก้าเรืองรอง ที่แห่งนี้มีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเดินทางเข้าสู่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองโดยตรง นอกจากนี้มันยังเป็นหนึ่งในแคว้นสวามิภักดิ์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอีกด้วย
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินี้ตั้งอยู่ในเมืองทะเลสาบม่วงแห่งแคว้นสือ
ตอนนี้เอง ภายนอกอาคารขนาดใหญ่ของเมืองทะเลสาบม่วง คลาคล่ำไปด้วยกลุ่มคนที่ต่อแถวเป็นทางยาวไม่ต่างกับหนวดมังกรที่ถูกวาดขึ้นบนถนน เป็นภาพที่ตระการตาไม่น้อย
ผู้คนที่กำลังต่อแถวอยู่นี้ล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะทั้งสิ้น ระดับการบ่มเพาะของพวกเขามีตั้งแต่ขอบเขตสถิตกายาขึ้นไป เหตุการณ์นี้หากเป็นในเวลาปกติแล้ว ก็คงจะทำให้ผู้คนทั้งเมืองทะเลสาบม่วงและแคว้นสือต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
เพราะอย่างไรแล้ว แคว้นสือก็เป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ กองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดจากทั้งสามร้อยหกสิบเมืองยังมีความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับสองเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น การมีอยู่ของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีแม้คนเดียว ก็เพียงพอจะสร้างเสียงเลื่องลือให้ก้องกระจายไปทั่วทั้งแคว้น
ดังนั้นแล้ว การที่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีจำนวนมากมารวมตัวกันในเมืองทะเลสาบม่วง ทั้งยังเข้าแถวกันอย่างเป็นระบบระเบียบเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก
ทว่าชาวเมืองทะเลสาบม่วงดูเหมือนจะเห็นภาพนี้จนชินตา พวกเขาจึงไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความประหลาดใจ
“ฮึ่ม! การบ่มเพาะของเจ้าไม่เลวเลย เพียงแต่นิสัยค่อนข้างย่ำแย่ ด้วยเหตุนี้ เจ้าคงต้องเริ่มต้นจากการเป็นศิษย์สายนอกเสียก่อน!”
“กับแค่ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหนึ่ง แต่อยากจะรับตำแหน่งผู้อาวุโสต่างนิกายหรือ? น่าขัน! หากเจ้าไม่พอใจก็ออกไปเสีย!”
“ขอบเขตสถิตกายาขั้นสมบูรณ์… ศักยภาพของเจ้าก็ไม่เลว เยี่ยม เจ้าผ่านการคัดเลือก”
ภายในห้องโถงกว้าง เสียงต่าง ๆ ดังอื้ออึงไปโดยรอบ ทำให้ผู้บ่มเพาะที่เข้าแถวเรียงรายอยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล
“เงื่อนไขในการคัดเลือกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไม่เข้มงวดเกินไปหน่อยหรือ? จนถึงตอนนี้ มีเพียงสามคนเท่านั้นที่ได้เป็นผู้อาวุโสต่างนิกาย ในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องเริ่มต้นจากการเป็นศิษย์ หากข้ารู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้ ข้าก็คงไม่มาให้เปลืองเวลาหรอก” ใครบางคนบ่นพึมพำเสียงแผ่วเบา
“โธ่เอ๊ย น้องชาย เจ้าอดทนข่มใจไว้หน่อยเถอะ ตอนนี้แดนภวังค์ทมิฬกำลังอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่ กองกำลังจากต่างพิภพแทรกซึมไปทั่วทุกพื้นที่ของแดนภวังค์ทมิฬแล้ว ส่วนผู้บ่มเพาะจากนิกายเล็ก ๆ อย่างพวกเราย่อมทำได้เพียงแสวงหาที่หลบภัยที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้ได้มีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น” คนผู้หนึ่งทอดถอนใจด้วยอารมณ์
“ที่พูดมาก็ไม่ผิด ข้าได้ยินมาว่ากองกำลังจากต่างพิภพกำลังสร้างปัญหาให้แก่อาณาเขตแคว้นสือของเราแล้ว ตอนนี้ สิ่งเดียวที่พวกเราทำได้ก็คือแสวงหาร่มเงาอย่างนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไว้บังแดดฝน ส่วนเงื่อนไขที่ว่าเข้มงวดหรือไม่นั้น หาใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างไร”
“ถูกต้อง แต่ตอนนี้ในหมู่พวกเรามีคนที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตสถิตกายาด้วยอย่างนั้นหรือ? ข้าว่าการที่เราต้องเริ่มต้นจากการเป็นศิษย์ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้น มันออกจะขายหน้าไปเสียหน่อย”
“หึ! การเป็นศิษย์มันแย่ตรงไหนกัน? นิกายกระบี่เก้าเรืองรองน่ะเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนเชียวนะ ศิษย์ของพวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมกันทั้งนั้น แล้วดูพวกเราสิ บ่มเพาะกันมาตั้งนานสองนาน ทว่าระดับการบ่มเพาะกลับยังอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาเท่านั้น จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของพวกเรานั้นน่าเกรงขาม แต่หากเทียบกันในระยะยาว เรายังห่างชั้นจากพวกเขามากเหลือเกิน”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรส มีทั้งเสียงรำพึงรำพันและเสียงถอนหายใจที่ดังออกมาไม่หยุดหย่อน แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกที่ซ่อนลึกในใจของพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นความวิตกและกดดันอันมหาศาล
แดนภวังค์ทมิฬในตอนนี้ตกอยู่ภายใต้วิกฤตครั้งใหญ่ เปลวไฟแห่งสงครามโหมกระหนำ่ในทุกหนแห่ง สัญญาณแห่งกองศึกดังกระหึ่มไปทั่วแคว้นแดนดิน ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี กองทัพจากต่างพิภพได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งแดนภวังค์ทมิฬราวกระแสน้ำกัดเซาะแผ่นดิน สร้างความตกตะลึงครั้งใหญ่ให้แก่สรรพสิ่งบนโลก
ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ นอกจากกองกำลังอันแข็งแกร่งจากสิบนิกายเซียนและหกนิกายอสูรแล้ว ก็หาได้มีกองกำลังอื่นใดที่จะสามารถทัดทานเหล่าผู้คนจากต่างพิภพได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้บ่มเพาะทั้งหลายไม่ว่าจะมีนิกายสังกัดหรือไม่ก็ตาม ล้วนแล้วแต่พยายามเข้าหากองกำลังที่ยิ่งใหญ่ต่าง ๆ เพื่อขอความคุ้มครอง
เนื่องจากแคว้นสือตั้งอยู่ในพื้นที่รอบนอกของเทือกเขากระบี่เก้าเรืองรอง และยังเป็นหนึ่งในแคว้นสวามิภักดิ์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ดังนั้นผู้บ่มเพาะทั้งหลายจึงพยายามที่จะผูกมัดตัวเองไว้กับนิกายนี้
ทั้งนี้ ‘โถงรัศมีวิญญาณ’ ในเมืองทะเลสาบม่วงแห่งนี้ นับเป็นสาขาย่อยของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองซึ่งมีหน้าที่ในการสรรหาศิษย์และบุคลากรที่มีความสามารถ อย่างไรก็ดี เนื่องจากสงครามได้ปะทุอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้นิกายแทบจะไม่ปฏิเสธผู้ใดก็ตามที่เข้ามาขอฝากตัวเลย
การทำเช่นนี้ส่งผลให้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองแผ่อิทธิพลออกไปได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว และพร้อมรับมือกับสถานการณ์รุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน
จริงอยู่ที่คนส่วนใหญ่ได้รับการคัดเลือก แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ ตัวอย่างเช่นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาที่มีความสามารถระดับปานกลางก็จะได้เริ่มต้นเข้ามาในฐานะศิษย์ขั้นต้นเท่านั้น
ในทางกลับกัน ผู้มีพรสวรรค์ก็จะได้รับการจัดลำดับความสำคัญไว้ตามระดับความสามารถ พวกเขาเหล่านี้จะได้รับการยอมรับในฐานะศิษย์สายในหรือศิษย์สายหลัก และมีโอกาสในการได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสค่อนข้างสูง
“เราจะเข้านิกายนี้จริง ๆ น่ะหรือ?”
“แน่สิ”
“พูดตามตรง หากเราเอ่ยชื่อของท่านลุงออกไป แน่นอนว่าพวกเขาต้องให้เราเข้าไปในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้ในทันที ไม่มีผู้ใดกล้าห้ามพวกเราอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
“บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎหมาย นิกายก็เช่นกัน”
“เอาเถิด ๆ ตามใจเจ้า ข้าจะไปว่าอันใดได้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังรู้สึกว่าความดื้อรั้นของเจ้านั้นช่างไร้เดียงสา เจ้าเคยสงสัยหรือไม่ว่าเหตุใดโลกนี้ถึงมีกฎ? แน่นอน มันมีไว้เพื่อกำราบคนอ่อนแอเท่านั้น สำหรับผู้แข็งแกร่งแล้ว กฎใด ๆ หาได้มีความหมายไม่ กฎที่แท้จริงนั้นล้วนแต่คือความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสิ้น”
“นี่ไม่ใช่เรื่องไร้เดียงสาเสียหน่อย หากไม่อาจควบคุมความแข็งแกร่งได้ ก็ไม่มีวันจะแข็งแกร่งขึ้นต่างหากเล่า”
“พูดเช่นนี้หมายความว่าเจ้าไม่คิดจะพึ่งพาท่านลุงอย่างนั้นสินะ”
“ข้าก็แค่ไม่อยากทำให้ท่านผิดหวังเท่านั้น”
“ไม่ผิด หากพึ่งพาอำนาจใด ๆ เพื่อรังแกผู้อื่น เราก็ไม่ต่างอันใดกับศิษย์ชั้นเลว ข้าจำได้ว่าท่านพ่อเคยบอกว่าท่านลุงเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด”
ณ ขณะนี้ ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มสองคนอยู่ที่ท้ายแถว พวกเขากำลังพูดคุยกันด้วยเสียงที่เบาแทบจะกระซิบ
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ทางซ้ายมือมีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ จมูกของเขาโด่งชัดเป็นสันขนาดใหญ่ ท่าทางของเขาเปี่ยมไปด้วยความองอาจกล้าหาญ ดวงตาที่คมกริบเหี้ยมเกรียมลึกล้ำดังหมู่ดารา เผยให้เห็นรัศมีที่ดุดันและหนักแน่น
ในขณะที่เด็กหนุ่มทางขวานั้นดูสุขุมนุ่มลึก ดวงหน้าที่พริ้มเพราของเขาเรียบเฉยดังสายน้ำกว้างใหญ่ มันงดงามเสียจนแม้แต่สตรียังเผลอใคร่ริษยา
แต่ถึงอย่างนั้น ท่วงท่าของเขาหาได้อ้อนแอ้นดุจหญิงสาวไม่ หากเปล่งประกายด้วยกลิ่นอายอันอบอุ่นและนุ่มลึก ชวนให้รู้สึกน่าคบหาปราศรัยอยู่ไม่น้อย
เด็กหนุ่มทั้งสองนี้มีนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่าพวกเขาต่างมีรูปลักษณ์ที่สง่างามและโดดเด่นราวกับมังกรแฝงกายในฝูงชน แม้มองเพียงผ่านชั่วครู่เดียว ก็ยังสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาที่สะท้อนออกมา โชคดีที่พวกเขายืนอยู่ท้ายแถว จึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก
เมื่อตะวันตกดิน ก็ถึงคราวของพวกเขาในที่สุด เด็กหนุ่มทั้งสองค่อย ๆ เดินเข้าไปในโถงรัศมีวิญญาณทีละคน
ห้องโถงที่กว้างใหญ่มีเพียงโต๊ะหนึ่งตัวตั้งอยู่ตรงกลาง ด้านหลังของมันคือชายชราในชุดคลุมสีเทาที่กำลังหลับตาพริ้ม
ที่ด้านข้างของห้องโถงคือผู้ชราอีกสองสามคนซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกเขาส่องประกายไปด้วยรัศมีอันน่าเกร่งขามของขอบเขตเซียนปฐพี!
ส่วนทางเข้าห้องโถง ประกอบไปด้วยศิษย์รุ่นเยาว์อีกสองสามที่มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการลงทะเบียน
“บอกบ้านเกิด ตระกูล ชื่อ และระดับการบ่มเพาะของเจ้ามา” ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นชายหนุ่มสองคนเดินเข้ามา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนใจ
เขามีชื่อว่าซุนชวน เป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ เขาได้รับผู้บ่มเพาะจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ในบรรดากลุ่มคนเหล่านั้นไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะคาดหวังว่าเด็กหนุ่มสองคนนี้จะไม่ธรรมดา
บัดนั้นแสงอาทิตย์คล้อยลงต่ำเป็นสัญญาณถึงเวลาพักผ่อนแล้ว ความมืดทำให้ท่าทางของเขาเยือกเย็นลงถนัดตา
“ข้ามาจากราชวงศ์ซ่ง และตระกูลเฉินแห่งเมืองหมอกสน มีนามว่าเฉินอวี่ ระดับการบ่มเพาะของข้าอยู่ที่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์” เด็กหนุ่มร่างกำยำพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายอารมณ์
ที่แท้เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือเฉินอวี่ ลูกชายของเฉินฮ่าว หลานชายของเฉินซี!
ไม่จำเป็นต้องคาดเดาให้มากความ เด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่ดูทรงภูมิซึ่งยืนอยู่เคียงข้างเฉินอวี่ต้องเป็นเฉินอันไม่ผิดแน่!
“ราชวงศ์ซ่งหรือ?” ซุนชวนเงยหน้าขึ้นมองด้วยท่าทางงุนงง เขาพยายามนึกอยู่หลายตลบ แต่ก็คิดไม่ออกเสียที่ว่ามีราชวงศ์ดังกล่าวอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬหรือไม่ ส่วนตระกูลเฉินแห่งเมืองหมอกสนอะไรนั่น เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักนิด
ทว่าเรื่องพวกนั้นหาได้สำคัญอะไร สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเมื่อรู้ว่าการบ่มเพาะของเด็กหนุ่มตรงหน้าอยู่ที่เพียงขอบเขตจุติเท่านั้น สีหน้าของเขาก็พลันมืดมนลงในทันที
เขาโบกมือถี่รัวก่อนจะพูดขึ้น “ไป ๆ ไว้ค่อยกลับมาใหม่วันพรุ่งนี้ ให้ตายเถอะ หากข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าทั้งคู่อยู่ในขอบเขตจุติละก็ ข้าคงไม่ยอมให้เจ้าเข้ามาในนี้เป็นแน่ เสียเวลาพักผ่อนไปโดยใช่เหตุจริง ๆ”
เฉินอวี่หาได้หงุดหงิดกับท่าทีของอีกฝ่ายแต่อย่างใด เขาพูดตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าเจ้านั้นอยู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหรอกหรือ?”
สีหน้าของซุนชวนบิดเบี้ยวถนัดตา ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เขาเพิ่งได้พบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีหลายคนที่จองหองว่าระดับการบ่มเพาะของพวกตนนั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าใคร ๆ ซึ่งคนพวกนั้นล้วนแต่สร้างปัญหาความวุ่นวายในห้องโถงไม่จบไม่สิ้น ทว่าในที่สุดพวกเขาก็ถูกบดขยี้อย่างทารุณก่อนจะถูกเตะกระเด็นออกไปไม่ต่างกับหมาตายซาก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าดูถูกเขาที่เป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอีก เพราะไม่ว่าระดับการบ่มเพาะของเขาจะต่ำต้อยเพียงใด ก็หาใช่คนที่ใคร ๆ จะมาดูถูกเหยียดหยามได้!
ทว่าบัดนี้ ทันทีที่ได้เห็นเจ้าหนุ่มขอบเขตจุติธรรมดา ๆ กล้ากระตุกหนวดเสือ สายตาที่ของเขามองเฉินอวี่ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เขากอดอกด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “ว่าอะไรนะ? นี่เจ้าคิดจะก่อความวุ่นวายภายในโถงรัศมีวิญญาณของข้างั้นรึ?” น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยความหยามหยันระคนสมเพช
สิ้นคำพูด ศิษย์คนอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ห่างกันนักก็จ้องมองไปยังคนทั้งสองอย่างไม่กะพริบตา คล้ายว่าพวกเขากำลังรอดูจำอวดเรื่องใหม่ในห้องโถงซึ่งใกล้จะกลายเป็นโรงมหรสพ
รอยยิ้มบนดวงหน้าของเฉินอวี่แสยะกว้างขึ้นเมื่อเห็นภาพนี้ ฟันขาวเรียงตัวเด่นชัดในยามที่พูดด้วยท่าทีตรงไปตรงมา “ข้าว่าเจ้าคงไม่ใช่พวกที่ชอบข่มเหงรังแกผู้อื่นหรอกกระมัง? ข้าก็เพียงแต่ชี้ให้เห็นว่าระดับการบ่มเพาะของเจ้าด้อยกว่าข้าก็เพียงเท่านั้น ไม่ทราบว่าการที่ข้าพูดเรื่องจริงออกมามันเป็นการสร้างความวุ่นวายอย่างไรกัน?”
“ฮึ่ม! ข้าบอกให้พวกเจ้าทั้งสองออกไป ก็รีบ ๆ ออกไปเสียสิ! ก่อความวุ่นวายอะไรงั้นหรือ? หึ หากเจ้ายังขืนดื้อดึงไม่ออกไปละก็ เตรียมตัวรับผลที่ตามมาได้เลย!” สีหน้าของซุนชวนเหี้ยมเกรียมเช่นเดียวกับวิธีการกระแทกเสียงที่เขาใช้
ตอนนี้แม้แต่เฉินอันก็ไม่อาจนิ่งดูดายได้อีกต่อไป เขาพูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว “นี่พวกเราก่อกวนเจ้าตอนไหนกัน?”
ซุนชวนหัวร่อ เขารู้ดีว่าอาศัยเพียงความแข็งแกร่งของตนและศิษย์คนอื่น ๆ ย่อมไม่มีทางจะจัดการอันใดกับเด็กหนุ่มสองคนนี้ได้เป็นแน่
ดังนั้นแล้ว เขาจึงกระแอมในลำคอครั้งหนึ่งก่อนจะตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังลั่น “พวกเจ้าไม่ยอมรับว่าตั้งใจมาก่อความวุ่นวายอย่างนั้นสินะ ไอ้ชั่วเอ๊ย! ไหนข้าขอถามหน่อยเถิด ราชวงศ์ซ่งอะไรนั่นของพวกเจ้ามันอยู่ที่ไหน? ตระกูลเฉินแห่งเมืองหมอกสนคือสิ่งใด? ข้าเชื่อเหลือเกินว่าต่อให้ขุดดินลงไปสามฉื่อก็ยังไม่เจอไอ้ดินแดนที่เจ้าว่าหรอก แล้วจะไม่ให้ข้าอดสงสัยว่าพวกเจ้ากำลังปลอมแปลงตัวตนเพื่อลอบเข้ามาในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าได้อย่างไรกัน!”
เสียงของของเขาดังมากเสียจนสะท้อนก้องไปทั้งห้องโถง
ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่น ๆ เข้าใจได้ทันทีหลังจากได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยท่าทีเหยียดหยามเหลือประมาณ สหายเต๋าทั้งสองนี้ไม่แน่ว่าคงมีชาติตระกูลที่ต่ำต้อยอย่างมากจึงต้องปกปิดไว้ เห็นที หากความจริงถูกเปิดเผยออกมา คงจะเป็นการประจานตัวเองให้อับอายเสียเปล่า ๆ
ทว่าท่ามกลางสถานการณ์อลหม่านนี้ หาได้มีใครสังเกตว่าชายชราที่กำลังนั่งหลับตาอยู่นั้นลืมตาขึ้นมาแล้ว เขาจ้องมองไปยังเฉินอวี่และเฉินอันอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของเฉินอันเต็มตา ใบหน้าที่เหี่ยวย่นก็อดไม่ได้ที่จะเผยร่อยรอยแห่งความตกตะลึง เขารู้สึกว่าใบหน้าของเฉินอันนั้นช่างคุ้นเคยราวกับได้พบพานคนที่มีหน้าตาคลับคล้ายกันเช่นนี้มาก่อน
—————————————