บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 997 ภูมิหลังอันยิ่งใหญ่
บทที่ 997 ภูมิหลังอันยิ่งใหญ่
บทที่ 997 ภูมิหลังอันยิ่งใหญ่
ชายชราที่อยู่เบื้องหลังงานนี้คือ ฟู่อวิ๋น ผู้อาวุโสสายในของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ครั้งนี้เขาถูกส่งมาพร้อมกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เพื่อคุ้มกันโถงรัศมีวิญญาณและรับผิดชอบดูแลการสรรหาผู้บ่มเพาะ
นี่เป็นงานที่ไม่สำคัญแต่กลับมีรายละเอียดมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถานะของฟู่อวิ๋นในนิกายนั้นไม่ได้สูงนัก มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ถูกส่งมาที่นี่
ทว่าถึงสถานะของเขาจะไม่สูง แต่เขาก็ยังเป็นผู้อาวุโสสายในของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และเขารู้เรื่องต่าง ๆ ภายในนิกายดีกว่าเมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไป
ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินคำว่า ‘ราชวงศ์ซ่ง’ และ ‘ตระกูลเฉิน’ แห่งเมืองหมอกสน หัวใจของเขาก็กระตุกวูบในขณะที่ดวงตาเบิกกว้าง และเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของเฉินอันอย่างชัดเจน เงาของร่างสูงก็ปรากฏขึ้นในใจของชายชราโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลังจากนั้นเขาก็ชะงักค้างไปด้วยด้วยความมึนงง
“พวกเจ้ายังไม่ออกไปอีกหรือ? หรือต้องให้ข้าบังคับไล่เจ้าสองคนออกไป!?”
ในขณะเดียวกัน เสียงตะคอกของซุนชวนก็ดังขึ้นในห้องโถงอีกครั้ง พร้อมกับเสียงเย้ยหยันและเสียงหัวเราะที่เย็นชาของศิษย์คนอื่น ๆ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เปลวไฟแห่งความโกรธที่ไม่อาจอธิบายได้ก็พุ่งออกมาจากใจของฟู่อวิ๋นในทันที เขากระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะขณะที่พูดด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าพวกสารเลว! หุบปากซะ!”
โครม!
โต๊ะเนื้อแข็งกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยโปรยปรายลงสู่พื้น พร้อมกับเสียงตะโกนของฟู่อวิ๋น มันราวกับเสียงฟ้าร้องที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งห้องโถง
เพียงเสี้ยวอึดใจ ห้องโถงก็เงียบสนิทจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหล่น
ศิษย์ทั้งหมดจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองตัวแข็งค้าง พวกเขามองไปที่ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋น ด้วยความงุนงงและไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือมีเรื่องอะไรทำให้ผู้อาวุโสขุ่นเคืองขึ้นมากัน
“เจ้าสารเลวสองคนนี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงทำให้ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นขุ่นเคือง วันนี้ถึงแม้ว่าเจ้าต้องการ พวกเจ้าไม่สามารถออกไปได้!”
ซุนชวนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็คิดว่าตนเข้าใจทุกอย่างดี ทำให้สีหน้าของเจ้าตัวเย็นชาและเย่อหยิ่งมากขึ้น ทุกการกระทำและคำพูดที่กล่าวออกมา ดูจะถือเอาเองว่าเฉินอวี่และเฉินอันคือผู้ร้ายซึ่งเป็นต้นตอความขุ่นเคืองของผู้อาวุโสฟู่อวิ๋น
เพียะ!
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ มุมริมฝีปากของฟู่อวิ๋นพลันกระตุก เขาโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว ก่อนลุกขึ้นยืนและตบหน้าซุนชวน จนฟันของอีกฝ่ายหลุดลอย มีเลือดสดไหลออกจากปาก ก่อนที่ซุนชวนจะร้องโหยหวนแล้วล้มลงกับพื้นอย่างแรง
ทุกคนตกตะลึง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายที่เต็มปากลงคอไปด้วยความยากลำบาก เมื่อมองไปยังผู้อาวุโสฟู่อวิ๋น ผู้โกรธเกรี้ยวเหมือนสิงโตคลั่ง พวกเขาทั้งประหลาดใจและสับสนเล็กน้อย
“สารเลว! ข้าบอกให้หุบปาก แต่เจ้ายังจะกล้าพูดเรื่องไร้สาระต่ออีก!”
ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นจ้องมองซุนชวนบนพื้นด้วยความชิงชัง จากนั้นเขาก็โบกมือและสั่ง “พาเขากลับไปที่นิกายและกักขังเขาไว้เพื่อพิจารณาตัวเอง ห้ามเขาออกมาโดยไม่ได้รับคำสั่งจากข้า!”
หัวใจของศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องสั่นไหวอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ซุนชวนคนนี้เป็นศิษย์คนสนิทของผู้อาวุโสฟู่อวิ๋น ผู้มักเป็นที่โปรดปรานมาก เหตุใดวันนี้ผู้อาวุโสถึงทำตัวผิดปกติกัน เขาไม่เพียงตบซุนชวนในที่สาธารณะ แต่ยังส่งอีกฝ่ายกลับไปที่นิกายเพื่อกักขังด้วย?
ในเวลานี้ แม้แต่ผู้อาวุโสหลายคนที่นั่งสมาธิอยู่ทั้งสองด้านของห้องโถงก็ลืมตาขึ้น และพวกเขาดูงุนงงเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าทำไมฟู่อวิ๋นถึงได้ดูโกรธมากเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าตั้งคำถามใด ๆ ศิษย์สองคนเดินออกมาทันทีและอุ้มซุนชวนที่ถูกฟู่อวิ๋นตบจนหมดสติ ก่อนจะออกจากโถงรัศมีวิญญาณไปอย่างเร่งรีบ
ฟู่อวิ๋นแค่นเสียงเย็นชาเมื่อเห็นสิ่งนี้ แล้วสีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“อาจารย์ลุง เราจะจัดการกับสองคนนี้อย่างไรดี” ศิษย์คนหนึ่งมองไปยังเฉินอวี่กับเฉินอันก่อนที่จะถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“เจ้าพูดว่าอะไร? พูดอีกครั้งสิ!” ฟู่อวิ๋นจ้องมองศิษย์ผู้นั้นอย่างเย็นชา ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวจนตัวสั่นและเกือบจะล้มลงกับพื้น
“ศิษย์พี่ฟู่อวิ๋น ศิษย์ผู้โง่เขลานั้นไร้เดียงสา เหตุใดท่านไม่บอกเราให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นล่ะ?” ชายชราในชุดคลุมสีเหลืองร่างท้วมก้าวออกมาข้างหน้าและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ศิษย์น้องฉิว ประเดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฟู่อวิ๋นโบกมือก่อนที่จะจ้องมองไปยังเฉินอวี่และเฉินอัน
ทันใดนั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของเขาก็กลายเป็นอ่อนโยน บนใบหน้าชราในขณะนี้ได้ประดับไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและสายตาที่เป็นมิตร ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ทุกคนตกตะลึงจนแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง นี่…ท่าทีของผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นไม่เปลี่ยนไปเร็วเกินไปหน่อยหรือ?
มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่พอจะเริ่มเดาบางอย่างได้ พวกเขาทั้งหมดจ้องมองไปทางเฉินอวี่กับเฉินอันพร้อมกัน และสังเกตคนทั้งสองให้ละเอียดขึ้น ก่อนที่เหล่าผู้อาวุโสจะพากันแสดงความประหลาดใจออกมา
ช่างเป็นรุ่นเยาว์คู่ที่มีความสามารถกับพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ!
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นจะโกรธเคือง ชายหนุ่มเหล่านี้ยอดเยี่ยมกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาธรรมดาจำนวนมากมายเสียอีก
แต่นี่ก็ยังไม่สามารถขจัดความสงสัยในใจของพวกเขาได้ แม้ต้นกล้ารุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ดี ๆ แบบนี้จะหายากก็จริง แต่ถึงกระนั้นมันไม่จำเป็นที่จะต้องกักขังศิษย์คนสนิทของตัวเองเพราะเหตุนี้เลยไม่ใช่หรือ?
ในขณะเดียวกัน ฟู่อวิ๋นก็พูดด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและกล่าวว่า “นายน้อยทั้งสอง ศิษย์คนเมื่อครู่นั้นโง่เขลาจึงสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับพวกท่านแล้ว ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจ”
หลังจากเฝ้าดูฉากที่เกิดขึ้น หัวใจของเฉินอวี่ก็โล่งขึ้น และเขาพูดด้วยรอยยิ้มทันที “ผู้อาวุโส ท่านเป็นคนเที่ยงธรรมและเป็นกลาง เราชื่นชมท่านมากจริง ๆ มันเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย ดังนั้นโปรดอย่ากังวลกับมันเลยขอรับ”
ฟู่อวิ๋นหัวเราะอย่างเต็มใจและกล่าวว่า “ช่างเป็นความใจกว้างที่สามารถสะท้อนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้จริง ๆ ความสำเร็จในอนาคตของนายน้อยทั้งสองต้องไร้ขีดจำกัดเป็นแน่!”
ขณะที่พูด เขาได้เปลี่ยนหัวข้อและพูดว่า “มาเถอะ เพื่อชดเชยความผิดพลาดก่อนหน้านี้ ชายชราจะจัดการทดสอบนายน้อยสองคนด้วยตัวเอง พวกท่านคิดเห็นเช่นไร?”
เฉินอวี่และเฉินอันพยักหน้าทันที
จากนั้นฟู่อวิ๋นก็ยกพู่กันเขียนชื่อ บ้านเกิด ภูมิหลัง และระดับการบ่มเพาะของพวกเขา ก่อนจะถามขึ้นในทันใดว่า “นายน้อยเฉินอวี่ ข้าขอทราบนามบิดาของท่านได้หรือไม่?”
“เฉินฮ่าว” เฉินอวี่ตอบ
“โอ้” คิ้วของฟู่อวิ๋นเลิกขึ้น จากนั้นเขาก็พูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นท่านรู้จักผู้อาวุโสเฉินซี ปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันตกของนิกายข้าหรือไม่?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนในห้องโถงก็ตกใจ หัวใจเต้นแรง พวกเขาสัมผัสได้ราง ๆ ว่านี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของผู้อาวุโสฟู่อวิ๋น!
นัยน์ตาของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ถึงกับลุกโชนด้วยแสงจ้า ใจของพวกเขาสั่นไหวเล็กน้อย เวลานี้ ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งที่ถูกมองข้ามไปขึ้นมาได้ ก่อนที่ผู้อาวุโสเฉินซีจะเข้าร่วมกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของพวกเขา …ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากสถานที่ที่เรียกว่าราชวงศ์ซ่งจากโลกรอง!
และคนหนุ่มทั้งสองคนนี้ต่างก็แซ่เฉิน… เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาจะเป็นญาติของผู้อาวุโสเฉินซีจริง ๆ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสทั้งหมดก็ไม่สามารถรักษาความสงบไว้ได้อีกต่อไป สายตาของพวกเขาต่างมุ่งความสนใจไปยังเฉินอวี่และเฉินอัน ในขณะที่พวกเขาแสดงสีหน้าท่าทางแปลก ๆ ออกมา
เฉินอวี่เงยหน้าขึ้นมองเฉินอันที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อเขาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่คัดค้าน จึงพยักหน้าทันทีและพูดว่า “เฉินซีคือชื่อลุงของข้า”
ลุง!
ทุกคนตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะคาดเดาได้ราง ๆ แต่หลังจากเฉินอวี่ยอมรับด้วยตัวเอง ทุกคนก็ยังอดไม่ได้ที่จะสัมผัสได้ถึงก่อพายุตัวขึ้นในใจของพวกเขา
เฉินซี!
นั่นคือนามของตัวตนอันยิ่งใหญ่แห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ผู้มีชื่อเสียงก้องไปทั่วโลกและมีอำนาจเหนือผู้ใดในแดนภวังค์ทมิฬ!
ย้อนกลับไปยังการต่อสู้ในวันนั้น ที่ชายหนุ่มบุกรุกเข้าไปในนิกายวิถีกระแสสวรรค์ และตัดหัวร่างอวตารของปิงซื่อเทียนที่อยู่ในขอบเขตเซียนทองคำ สิ่งนี้ได้ทำให้ทั่วทั้งโลกตกตะลึงและทำให้ชื่อเสียงของเขากลายเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผากลางท้องฟ้ายามเที่ยง!
ในฐานะสมาชิกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พวกเขาจะไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?
และชายหนุ่มตรงหน้าพวกเขายามนี้คือหลานชายของผู้อาวุโสเฉินซี ดังนั้นพวกเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?
ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องโถงก็เงียบสงัดไปชั่วขณะ
ลมหายใจของผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นหนักหน่วงขึ้น ในขณะที่มุมปากของเขาสั่นไม่หยุด ก่อนหันไปมองเฉินอันที่เงียบมาตลอดและพูดว่า “แล้ว…นายน้อยท่านนี้ล่ะ?”
“เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า”
เฉินอวี่ตอบกลับด้วยสีหน้าซุกซนและแววตาขี้เล่นเล็กน้อย เขาหัวเราะเบา ๆ ขณะที่พูดว่า “ใช่แล้ว ข้าลืมบอกไป พ่อของเขาคือท่านลุงของข้าเอง”
ทันทีที่พูดคำเหล่านี้ดังออกมา หัวของผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นก็ส่งเสียงราวกับถูกฟ้าผ่า จิตใจของเขาล่องลอยจนเกือบจะระเบิด มันทำให้ชายชราตกใจจนแทบล้มลงกับพื้น
ลูกชายของผู้อาวุโสเฉินซี!
เป็นลูกชายของผู้อาวุโสเฉินซีจริง ๆ ด้วย!
ในยามนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋น แต่ทุกคนในที่นี้ต่างรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง และตกตะลึงในขณะที่ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ของนิกายนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เมื่อพวกเขาคิดว่าพวกตนได้ล่วงเกินญาติที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับผู้อาวุโสเฉินซี ขาของพวกเขาก็สั่นไม่หยุด
ไม่แปลกใจเลย ไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นจะโกรธมากขนาดนั้น ถ้าเป็นพวกเขา คงจะฆ่าซุนชวนคนนั้นด้วยฝ่ามือเดียวเป็นแน่! แค่ลงโทษกักขังก็นับว่าเมตตาเกินไปแล้ว…
ความคิดเดียวกันนี้ล้วนเกิดขึ้นในใจของผู้อาวุโสทั้งหมดอย่างพร้อมเพรียง สายตาที่จ้องมองไปยังเฉินอวี่และเฉินอันก็อบอุ่นและเป็นมิตรขึ้นทันใด
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฉินอันอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเฉินอวี่ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ดูสิ การปฏิบัติตามกฎสุ่มสี่สุ่มห้า บางครั้งมันก็ทำให้เจ้าถูกขัดขวางจากคนที่น่ารังเกียจ ในขณะที่ความหมายของตัวตนไม่ใช่แค่เปลี่ยนทัศนคติของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ยังขับไล่แมลงวันและปัญหาที่ไม่จำเป็นออกไปด้วย” เฉินอวี่ยิ้มขณะที่เขาส่งเสียงผ่านกระแสปราณ
“พ่อของข้าไม่เคยพึ่งพาสถานะใด ๆ เพื่อสร้างชื่ออันทรงเกียรติของเขาในแดนภวังค์ทมิฬ” เพียงประโยคเดียวจากเฉินอัน ก็ทำให้เฉินอวี่พูดไม่ออก ความภาคภูมิใจในใจของเขาหายวับไปในทันที
“มา! มาเร็ว! รีบพานายน้อยเหล่านี้ไปที่ห้องพักแขกผู้มีเกียรติ เพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อนเร็วเข้า!” ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสฟู่อวิ๋นที่ฟื้นจากอาการตกใจและรีบออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
ขวับ!
ศิษย์ทุกคนก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมกัน ก่อนที่พวกเขาจะเชิญเฉินอวี่กับเฉินอันไปที่ห้องพักแขกผู้มีเกียรติอย่างระมัดระวังและเคารพ
ทั้งคู่ไม่ได้ปฏิเสธ
“สิ่งที่เจ้าพูดก็นับว่าถูกต้องเช่นกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ตราบใดที่มันไม่ฝืนใจและสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้ มันก็ไม่มีความแตกต่างระหว่างวิธีการที่ใช้” ขณะที่พวกเขาเดินไป เฉินอันก็ตอบกลับไปผ่านกระแสปราณพลางครุ่นคิด
เฉินอวี่หัวเราะเสียงดังและตบไหล่เฉินอัน “เจ้าเด็กน้อย! เจ้าช่างชอบล้อเลียนพี่ใหญ่ของเจ้าเสียจริง!”
แต่ก่อนร่างของพวกเขาจะหายไปจากห้องโถง เสียงที่เย็นชาและมืดมนก็ดังขึ้นจากด้านนอกโถงรัศมีวิญญาณ “นิกายกระบี่เก้าเรืองรองกำลังเผชิญกับความตายที่ใกล้เข้ามาแล้ว แต่พวกเจ้ากลับยังคงขยายความแข็งแกร่งของตน? ข้าคิดว่าสิ่งนี้มันช่างไม่จำเป็นเอาเสียเลย!”
…
ในเวลาเดียวกัน ด้านในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ณ ลานริมฝั่งสระชำระกระบี่ของยอดเขาจรัสตะวันตก
โอม!
เฉินซีผู้สวมเสื้อคลุมนักพรตสีเหลืองอมส้มได้เดินออกมาจากโลกแห่งดารา ดวงตาของเขาสดใส ในขณะที่มองไปยังสถานที่ซึ่งไกลออกไป ก่อนรอยยิ้มจริงใจจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ขณะที่เขาพึมพำ “นี่มัน…ในที่สุดเขาก็กลับมา”
“ในที่สุดเราก็ได้กลับมาแล้ว…”
ในเวลาเดียวกัน บนท้องฟ้าเหนือช่องเขารกร้างในแดนภวังค์ทมิฬ ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นกลางความว่างเปล่าในพื้นที่อันเงียบสงบ ในพริบตาต่อมา ร่างของชายหญิงคู่หนึ่งก็เดินออกมาจากภายใน
เป็นเฉินซีและชิงซิ่วอี้
ทั้งคู่มองหน้ากันและยิ้ม พวกเขารู้สึกราวกับว่ากาลเวลาได้ล่วงเลยมานานแล้วที่พวกเขาจากที่แห่งนี้มา…
—————————————