บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1029 ความวุ่นวายจากการพูดเล่น
หลังจากหยวนชิงหลิงออกจากจวนอ๋องอานแล้วก็ไปจวนเจ้าพระยากู้ หยวนชิงผิงตั้งครรภ์อีกจริงๆ แต่เพราะยังไม่ครบสามเดือนจึงไม่ได้บอกทุกคน
หยวนชิงหลิงเห็นสีหน้านางดี แสดงว่าปฏิกิริยาอายุครรภ์ไม่รุนแรง กำชับนิดหน่อยก็จากไป
บ้านของสวีอีกับอะซี่ก็ตกแต่งเสร็จแล้ว ย้ายเข้าไปอยู่ก่อนตรุษจีน กลับเป็นบ้านของใต้เท้าทังเสียอีกที่กำลังสร้างอย่างช้าๆข้อเรียกร้องของใต้เท้าทังค่อนข้างมาก วัสดุจำเป็นต้องแพงที่สุด แต่ต้องสบายดูดี เช่นเดียวกับใต้เท้าทังที่เป็นสุภาพชน
เครื่องเรือนบ้านใหม่ล้วนเป็นทางบ้านผู้หญิงเป็นคนเพิ่ม ทางตระกูลหยวนทุ่มกำลังต้องการให้อะซี่อยู่สบาย ดังนั้นจึงใช้เงินก้อนโตทำเครื่องเรือนหลายชุด ใช้วัสดุไม้ชั้นดี ส่วนที่เหลือหยวนหย่งอี้ก็เป็นคนเสริม ของดีล้วนย้ายมาให้อะซี่ ดังนั้นบ้านของอะซี่แม้จะเล็กแต่ก็ครบครัน ถือว่ามีบ้านเป็นของตัวเองแล้ว
สวีอีดีใจจนนอนไม่หลับหลายคืน เอาแต่พูดว่าจะตอบแทนองค์รัชทายาทกับพระชายาให้มากๆ ชนิดถวายชีวิตตอบแทนเลย แต่พออะซี่ให้เขาเอาเงินที่เหลือในมือบริจาคให้โรงเรียนแพทย์ เขากลับปฏิเสธพลัน ชีวิตส่วนชีวิต เงินส่วนเงิน เขาไม่ใช่คนโง่เขลาสักหน่อย แบ่งแยกได้ชัดเจน
หลังตรุษจีน ก็ได้ชื่อจริงของเจ้าสองแฝดแล้ว
ชื่อจริงนี้ขบคิดมานานถึงสามสี่เดือน ปัดไปปัดมา ที่ฮ่องเต้หมิงหยวนชอบ ไท่ซ่างหวงก็ไม่ชอบ ที่ไท่ซ่างหวงชอบ ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไม่ชอบ ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกไม่ค่อยดี สองพ่อลูกถึงขนาดพิพาทกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเพราะเรื่องชื่อจริงของสองแฝด
โค้กชื่อว่าหยู่เหวินเย่ ส่วนเซเว่นอัพชื่อว่าหยู่เหวินหวง สองชื่อนี้ตั้งขึ้นจากความซื่อสัตย์ กตัญญู เมตตา คุณธรรม พิธีกรรม สติปัญญาและความเชื่อของพี่ๆ ทั้งสาม เห็นชัดว่าระดับการให้ความสำคัญมากกว่าพี่ชายทั้งสามอีก
สองคำนี้ก็เน้นหนักที่คำว่าไฟ เพิ่มธาตุไฟหยางให้ทั้งสอง ไท่ซ่างหวงรู้สึกว่าพวกเขาสงบเกินไป ไม่ร้องไห้ ขาดธาตุไฟไปหน่อย คำว่าเย่ มีความหมายว่าสดใสโชติช่วงชัชวาล ส่วนคำว่าหวง ก็คือแสงแห่งจันทราและซิงหั่ว (*ชื่อดวงดาวของจีนโบราณ) อีกทั้งทั้งสองยังเป็นฝาแฝด มีแสงแห่งสุริยันและจันทรา แล้วยังไม่ส่องแสงทั่วหล้าอีกหรือ?
ชื่อนี้ได้รับความเห็นชอบจากไท่ซ่างหวงและฮ่องเต้หมิงหยวน เรื่องหนักอกของกรมพิธีการในหลายเดือนมานี้จึงสิ้นสุดลงสักที เห็นว่าเจ้ากรมและรองเจ้ากรมพิธีการกอดกันร้องไห้ถึงหนึ่งชั่วยาม ได้รับความพอใจจากเจ้าเหนือหัวสักที
ด้วยความเปรมปรีดิ์ของฮ่องเต้หมิงหยวน ถึงขนาดประกาศชื่อจริงของสองแฝดในที่ประชุมเช้า และได้รับคำชมจากทั้งราชสำนัก เริงรื่นจนเขาแทบยิ้มไม่หุบ
อ๋องเฟิงอันหยู่เหวินเซียวยังให้คนส่งจดหมายมาอีก บอกว่าชื่อของสองแฝดเป็นที่พอใจมาก และมอบของขวัญอีกสองชิ้น เป็นแผ่นป้ายทอง ชิ้นหนึ่งเป็นตะวัน ส่วนอีกชิ้นเป็นจันทรา ให้ทั้งสองห้อยคอไว้
อ๋องเฟิงอันเป็นเจ้าแห่งความขี้เหนียว การมอบแผ่นทองมาให้นั้นนับว่าหาได้ยากยิ่ง
ด้วยแบบนี้ ชื่อจริงของสองแฝดจึงถูกบันทึกเข้าแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์อย่างเป็นทางการ
คนที่มีชื่อจริงช่างแตกต่างจริงๆ ตอนที่ส่งเข้าวังมาขอบพระทัย ขณะที่ฮ่องเต้หมิงหยวนอุ้มอยู่ สองพี่น้องก็ผายลมออกมาออกมาขอบพระทัยปุ๋งใหญ่ ฮ่องเต้หมิงหยวนดีใจหนัก กล่าวกับเหลิ่งจิ้งเหยียนและมู่หรูกงกงว่า “ได้ยินไหม? เป็นเทพเซียนผายลมจริงๆ ไม่ธรรมดาเลยหนา!”
เหลิ่งจิ้นเหยียนกับมู่หรูกงกงมองหน้ากัน พักหนึ่งแล้วเหลิ่งจิ้งเหยียนก็พูดขึ้นอย่างกังวล “ดูสักหน่อยว่าราดผ้าอ้อมหรือเปล่าดีกว่ามังพ่ะย่ะค่ะ? กลิ่นคลุ้งไปหมดแล้ว!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนหาได้สนใจไม่ “หลานข้า เหม็นอย่างไรก็หอม!”
หอมไปคนละฟอด กระทั่งเหม็นจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงเรียกให้คนอุ้มไปคืนพ่อแม่ที่ตำหนักของไท่ซ่างหวง
ก่อนตรุษจีน งานเลี้ยงในวังหลวงปีนี้หวงกุ้ยเฟยอย่างเชิญฮูหยินเหยาให้พาจวิ้นจู่ทั้งสองวังมารับประทานอาหาร ฉินเฟยก็มาขอด้วยเหมือนกัน ว่าให้หยู่เหวินจุนมาด้วยได้หรือไม่ แน่นอนว่าฉินเฟยถูกตำหนิไปยกหนึ่ง แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนก็อนุญาตให้ฮูหยินเหยาพาจวิ้นจู่เข้าวัง
ในวังไม่ครึกครื้นเช่นนี้มานานมากแล้ว เดิมฮ่องเต้หมิงหยวนอยากเปิดไวน์แดงขวดนั้น แต่นึกถึงที่ไท่ซ่างหวงเคยกล่าว ว่าน้องฟีนิกซ์(หมายถึงลูกสาว)ก็ต้องมา ดังนั้นจึงเก็บไว้เสีย
เด็กๆ พาเสด็จอาสิบเล่นอยู่หน้าตำหนัก เจ้าสิบอ้วนตุ๊ต๊ะ ทั้งยังเหมือนอ๋องซุนอีก อ๋องซุนภูมิใจมาก ชอบน้องคนนี้เป็นที่สุด กำชับเด็กๆ ว่าอย่ารังแกเสด็จอาสิบ
เจ้าสิบเพิ่งพูดได้ไม่นานแต่กลับทะนงตัวนัก เท้าเอวพูดกับอ๋องซุน “ข้าไม่ถูกรังแกหรอก ต่อไปข้าจะเป็นคนที่เป็นฮ่องเต้”
คนที่นั่งอยู่ในตำหนักล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ตะลึงกันเล็กน้อย พากันมองฮู่เฟย
ฮู่เฟยหน้าเปลี่ยนสี ลุกขึ้นตำหนิ “หุบปาก! อย่าพูดเพ้อเจ้อนะ!”
เจ้าสิบคิดไม่ถึงว่าท่านแม่จู่ๆ จะโกรธ ตกใจเลิ่กๆ ลั่กๆ หันไปมองฮ่องเต้หมิงหยวน ดวงตาน้อยๆ แฝงความฉงนใจ เขาพูดผิดตรงไหนหรือ?
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็มองฮู่เฟยเหมือนกัน เอ่ยเรียบ “ไม่เป็นไร ไปเล่นต่อเถอะ”
ฮู่เฟยยืนอยู่ น้ำตาไหลอยู่ในเบ้า เมื่อนั่งลงแล้วก็กลับหวั่นวิตก เด็กตัวเล็กแค่นี้พูดแบบนี้ไม่เป็นหรอก นอกเสียจากมีคนเสี้ยมสอน ทุกคนต่างคิดเช่นนี้
นางหันไปมองทางหยวนชิงหลิง เห็นหยวนชิงหลิงก้มหน้ากระซิบกับฮูหยินเหยาที่อยู่ด้านข้าง จึงคิดว่าหยวนชิงหลิงก็คิดอย่างนี้เช่นกัน กำลังพูดเรื่องนี้ก็ฮูหยินเหยาอยู่ ทันใดนั้นริมฝีปากก็สั่นระริก น้อยใจพูดความไม่ออก
นางรู้ว่าฮูหยินเหยาเป็นคนเก่ง คำพูดเดียวก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ โดยเฉพาะตอนนี้ทั้งสองยังกระซิบกระซาบกัน ต้องยังพูดถึงนางอยู่แน่
แม้งานเลี้ยงจะดำเนินต่อ แต่บรรยากาศกลับแปร่งๆ
ฮู่เฟยกินไม่ลง น้ำตากลิ้งกลอกอยู่ในดวงตาไม่หยุด ฮ่องเต้หมิงหยวนมองนางสองสามที สายตาค่อนข้างเรียบเย็น นางก็เห็นแล้วเช่นนั้น จิตใจพลันท้อแท้ นางเชื่อเขาหมดใจ แต่ทำไมเขาถึงไม่เชื่อนางเล่า?
จากนั้นก็ค่อยๆ พบว่าไม่เพียงแต่ฮ่องเต้หมิงหยวน คนอื่นๆ ก็ใช้สายตาแปลกๆ มองนางเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน เดิมฮู่เฟยเป็นคนหุนหัน ตรงไปตรงมา รับสายตาเช่นนี้ได้ที่ไหน? แต่อยู่ในวังมาระยะหนึ่ง เรียนรู้กฎระเบียบมาบ้าง รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาแก้ต่าง หากแก้ต่างหรือก่อเรื่องขึ้นก็จะยิ่งดูว่านางไร้มารยาท
ด้วยแบบนี้นางจึงกลั้นน้ำตาทนจนจบงานเลี้ยง นางอยากพูดกับหยวนชิงหลิงสักหน่อย แต่กลับพบกว่าหยวนชิงหลิงออกไปกับฮูหยินเหยาก่อนแล้ว
นางสั่งให้สาวใช้ข้างตัวไปรั้งหยวนชิงหลิง แต่สาวใช้ตามไม่ทัน เรียกพระชายารัชทายาทไปสองสามหนแล้วหยวนชิงหลิงก็ไม่ได้ยิน เอาแต่เดินตามทุกคนออกไป
เมื่อสาวใช้กลับมารายงาน ฮู่เฟยก็ท้อแท้สิ้นหวัง คิดว่าหยวนชิงหลิงคงไม่เชื่อนาง
ตกกลางคืนฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไม่ไปหานาง แต่ไปตำหนักหวงกุ้ยเฟยแทน วันตรุษจีนฮู่เฟยพาเจ้าสิบไปถวายพระพรหวงกุ้ยเฟย ฉินเฟยและคนอื่นๆ ก็อยู่ด้วย เมื่อเห็นพวกนางสองแม่ลูกมา ฉินเฟยก็กล่าวขึ้น “แหม ฮ่องเต้ในอนาคตมาแล้วหรือ!”
คำพูดเดียวทำจนฮู่เฟยโมโหน้ำตาร่วง อุ้มเจ้าสิบกลับทันที หวงกุ้ยเฟยเรียกก็เรียกไม่อยู่
หวงกุ้ยเฟยโกรธมาก มองฉินเฟยแล้วตำหนิ “เดิมก็เป็นคำพูดไร้ความคิดของเด็ก ไยเจ้าต้องพูดเป็นจริงเป็นจังด้วย? ทุกคนต่างเป็นพี่น้อง ต่อไปยังต้องเจอหน้ากันอีก!”
ฉินเฟยพูดเรียบๆ “หม่อมฉันก็แค่พูดเล่นเท่านั้น หวงกุ้ยเฟยท่านนั่นแหละที่เป็นจริงเป็นจัง หากนางบริสุทธิ์ใจ ทำไมต้องหันหลังวิ่งหนีด้วยเล่า? ร้อนตัวเท่านั้นแหละ”