บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1039 หงเย่ผู้แปลกประหลาด
นี่เป็นครั้งแรกที่หยวนชิงหลิงกับหงเย่ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างลึกซึ้งขนาดนี้ คำพูดเหล่านี้ ทำให้หยวนชิงหลิงรู้สึกตกใจได้อย่างสิ้นเชิงเลยจริง ๆ สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “ไม่ คนที่ข้าช่วยไว้ เป็นเพราะข้าอยากให้พวกเขามีชีวิตอยู่ แต่ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาต้องมาสละชีวิตให้ตลอดเวลาที่ข้าต้องการ ”
“ไม่เห็นจะขัดแย้งกันตรงไหนนี่ เจ้าหวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการให้พวกเขาสละชีวิตให้ หากพวกเขาไม่ยินยอม เจ้าจะไม่โกรธรึ?” หงเย่ถาม
หยวนชิงหลิงรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นจนเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทุกที ๆ แล้ว “ทำไมข้าต้องโกรธด้วยล่ะ? นั่นเป็นชีวิตของพวกเขานะ”
หงเย่เถียง: “แต่ถ้าเจ้าไม่ช่วยพวกเขาไว้ พวกเขาคงจะตายไปนานแล้ว บรรดาคนในภูเขาโรคเรื้อนนั่น หากไม่ใช่เพราะเจ้า พวกเขาก็คงต้องตายไปหมดแล้วไม่ใช่รึ? การปรากฏตัวของเจ้า ทำให้พวกเขาสามารถยืดชีวิตต่อลมหายใจไปได้ ต่อให้เจ้าต้องการให้พวกเขาตายเดี๋ยวนี้ พวกเขาก็สมควรจะต้องยอมตายด้วยความซาบซึ้งในพระคุณของเจ้าด้วยซ้ำ”
หยวนชิงหลิงมองเขา ราวกับกำลังมองดูคนที่นางไม่เคยรู้จักมาก่อน หวนนึกถึงคำพูดที่ฟางหวูพูดขึ้นมาได้ ว่าหัวใจแท้จริงของเขานั้นไม่ได้ชั่วร้าย แต่ความรู้ความเข้าใจในตรรกะขั้นพื้นฐานของเขามันผิดมากกว่า
นี่ไม่ใช่ความคิดของคนปกติธรรมดาแน่ ช่วยชีวิตคนคนหนึ่ง ก็เพื่อให้คนคนนั้นยอมสละชีวิตให้ ความคิดแบบนี้มันจะไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือ?
“เจ้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ข้าพูดหรือ?” หงเย่ขมวดคิ้วมุ่นมองนาง ในดวงตาลึก ๆ ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจฉายวาบ
หยวนชิงหลิงพูดว่า: “ข้าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เจ้าพูด ข้าไม่ได้ช่วยชีวิตคนเพื่อให้เขาเหล่านั้นมาตอบแทนอะไรข้าในอนาคต หรือต้องมาสละชีวิตให้ข้า”
เขารีบโต้กลับว่า “เพราะเจ้ามีฐานะเป็นหมองั้นรึ? เจ้าลิงบอกว่า หมอช่วยชีวิตคนเป็นหลักการธรรมดาของฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เจ้าช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่คาดหวังให้คนอื่นกลับมาตอบแทนอะไรเจ้า แต่ข้าไม่ใช่หมอ การที่ข้าคิดอย่างนี้มันผิดตรงไหนล่ะ? ข้าคิดอย่างนี้นี่ล่ะถูกต้องแล้ว เกิดเป็นคน มีบุญคุณก็ต้องทดแทน มีแค้นก็ต้องชำระ”
ประโยคสุดท้ายนั่น เขาพูดอย่างหนักแน่นไม่ลังเลแม้แต่น้อย
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า ไม่มีทางที่จะพูดกับเขาให้เข้าใจกันได้อีกต่อไปแล้ว จึงพูดขึ้นว่า: “ข้าเริ่มง่วงนิดหน่อยแล้ว อยากนอน ขอเชิญท่านชายกลับไปก่อนเถอะ”
หงเย่มองที่เท้าของนางแล้วยืนขึ้นช้า ๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ได้ เจ้าพักผ่อนเถอะนะ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ไหวจริง ๆ ก็พักที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันค่อยไป ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่เอง”
หยวนชิงหลิงมีหรือจะกล้าให้เขาอยู่เป็นเพื่อน? นางหวังอยากให้เขาออกไปเร็ว ๆ หน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาจากปากตรง ๆ แค่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไว้พรุ่งนี้ค่อยพูดเถอะ”
หงเย่กลับเข้าใจว่าหยวนชิงหลิงรับปากเขาแล้ว สีหน้าจึงผ่อนคลายลง หันหลังกลับแล้วผลักประตูเดินออกไปทันที
หยวนชิงหลิงค่อย ๆ เก็บสายตากลับมา พลางหัวเราะอย่างฝืดฝืน ฟางหวู ไม่รู้ว่าเจ้ามองผิดไปหรือเปล่า? ความคิดแบบนี้ของเขา ถ้าเกิดให้เขาได้ยาไปจริง ๆ มันจะเป็นเรื่องดีได้ยังไงล่ะ? โชคดีที่ข้อมูลนั้นถูกทำลายทิ้งไปแล้ว ไม่อย่างนั้นคงเกิดปัญหาตามมาภายหลังไม่รู้จบแน่ ๆ
หลังจากฟังคำพูดเหล่านี้ ความคิดของหยวนชิงหลิงก็เปลี่ยนไป แต่กลับรู้สึกว่าที่น่องไม่ค่อยเจ็บมากเท่าไหร่แล้ว แน่นอนว่า อาจเป็นเพราะยาแก้ปวดที่กินไปเริ่มออกฤทธิ์
ประมาณครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น อะซี่ก็แบกซาลาเปาขึ้นหลังกลับมา หมาป่าหิมะเดินตามมาข้างหลัง อะซี่พูดอย่างโกรธ ๆ ว่า: “เจ้าตัวแสบนี่ ไม่ยอมกลับมาหลับกลับมานอน ต้องให้ได้แบกอีก ”
“เขารังแกเจ้ารึ!” หยวนชิงหลิงจ้องเขม็งไปที่ซาลาเปา เด็กน้อยไถลตัวลงมาอย่างเชื่อฟัง แล้วหัวเราะฮิ ๆ พลางแลบลิ้นปลิ้นตาใส่อะซี่อย่างซุกซน
อะซี่ยกมือขึ้นตีเข้าไปที่ก้นของซาลาเปาดัง “เพี๊ยะ” หัวเราะแล้วพูดว่า: “หนักน่าดูเลยนะเจ้าน่ะ ถ้าโตกว่านี้อีกหน่อยท่านอาอะซี่คงแบกเจ้าไม่ไหวแน่”
“ถ้าอย่างนั้น ไว้ข้าโตแล้ว ข้าจะแบกท่านเอง ” ซาลาเปาปากหวานพูดกล่อมอะซี่เป็นการใหญ่
อะซี่หยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดที่ใบหน้ากับมือของเขา “เอาล่ะ พาหมาป่าหิมะไปนอนในห้องถัดไปก่อนนะ เดี๋ยวข้ามา”
เดิมทีซาลาเปานอนกับหยวนชิงหลิงเสมอ แต่เพราะเท้าของหยวนชิงหลิงได้รับบาดเจ็บไม่ค่อยสะดวก จึงต้องให้อะซี่นอนกับเขาแทน
รอจนซาลาเปากับหมาป่าหิมะออกไปแล้ว หยวนชิงหลิงค่อยพูดกับอะซี่ว่า “เมื่อครู่หงเย่เพิ่งมาหาข้า บอกกับข้าว่าอะโฉ่วเป็นน้องสาวของกู้จือ”
“ไม่จริงน่า?” อะซี่บิดผ้าเช็ดตัวจนหมาด แล้วนำไปแขวนไว้บนชั้นอ่างล้างหน้า มองดูหยวนชิงหลิงด้วยความตื่นตระหนก “คือหมอผีสาวกู้จือคนนั้นน่ะรึ?”
“ใช่ เป็นน้องสาวของนาง” แววตาของหยวนชิงหลิงมืดทะมึนหนักอึ้ง รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย “ อะซี่ ในเมื่อขาของข้าได้รับบาดเจ็บ จะไปทะเลสาบจิ้งคงไม่สะดวกนัก วันพรุ่งนี้พวกเรากลับจวนกันก่อน ค่อยเลือกวันอื่นไปทีหลัง”
อะซี่พยักหน้า “ได้ ท่านตัดสินใจก็พอ ครั้งหน้าให้รัชทายาทมากับท่านด้วยดีกว่า คืนนี้ท่านไม่ควรนอนคนเดียว ข้าจะให้หมาป่าหิมะมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุไม่คาดฝัน”
“ไม่เป็นไร ข้าคิดว่าหงเย่พอจะปรามนางเอาไว้ได้อยู่” หยวนชิงหลิงหวนนึกถึงตอนที่หงเย่พูดว่าเขาจะฆ่าอะโฉ่ว เป็นการพูดที่เจ้าตัวคิดว่ามันชอบธรรมและมั่นอกมั่นใจมาก ทำให้นางเกิดความรู้สึกหนาวเยือกในใจ แทบอดรนทนไม่ไหว อยากกลับเมืองหลวงไปเสียตอนนี้เลย
“อย่างไรก็ระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า” อะซี่เทน้ำแก้วหนึ่งให้นางนำมาวางไว้บนหัวเตียง แล้วหันหลังเดินออกไป ผ่านไปสักพัก ก็ต้อนหมาป่าหิมะเข้ามา
หมาป่าหิมะกระโดดขึ้นไปนอนหมอบบนโต๊ะ ท่าทางเชื่องมาก ผ่านไปไม่นานก็ดูเหมือนว่าจะหลับไปแล้ว ทั้งยังส่งเสียงกรนออกมาเบา ๆ ด้วย
หยวนชิงหลิงนอนไม่หลับ รู้สึกว่าขาเริ่มเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว นางกินยาแก้ปวดอีกเม็ด ดื่มน้ำตามไปหลายอึก แล้วค่อย ๆ นอนลงช้าๆ
กลางดึก มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง “พระชายารัชทายาท หลับแล้วหรือยัง?”
หยวนชิงหลิงยังไม่หลับ แต่ไม่กล้าส่งเสียงตอบ ทำได้แค่จ้องมองไปที่เงาร่างที่ยืนอยู่ด้านนอก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงของอะซี่ที่ฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อยดังขึ้นว่า “ท่านชาย ดึกขนาดนี้แล้วคนคงหลับไปแล้วล่ะ เจ้ามีเรื่องอะไรถึงรอคุยกันพรุ่งนี้ไม่ได้? จำเป็นต้องมาเคาะประตูห้องผู้หญิงกลางดึกแบบนี้ไม่ทราบ?”
หยวนชิงหลิงลอบมองหงเย่ผ่านประตู เห็นว่าเขาทำท่าคล้ายจะชักกระบี่ออกมา ก็ย้อนนึกถึงคำพูดที่เขาพูดเมื่อตอนหัวค่ำ นางตกใจจนรีบตะโกนขึ้นว่า “ข้ายังไม่หลับ เข้ามาเถอะ!”
ประตูถูกผลักเปิดออก หงเย่พุ่งถลันเข้ามาก่อน หยวนชิงหลิงเห็นว่าในมือเขาถือไม้ค้ำด้ามหนึ่งอยู่ จึงค่อยสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ นี่ทำให้นางตกใจแทบตายแล้ว
อะซี่เดินตามเข้ามาติด ๆ แล้วมายืนขวางอยู่หน้าเตียง จ้องมองหงเย่อย่างเย็นชา
หงเย่ยิ้มให้หยวนชิงหลิงพลางยกไม้ค้ำในมือขึ้น “นี่คือไม้ค้ำที่ข้าทำให้เจ้าเมื่อครู่นี้เอง ถ้าเจ้าเดินไม่ค่อยสะดวก ก็ใช้ไม้ค้ำช่วยพยุงเดินก็ได้ แน่นอนว่า ต้องรอจนกว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าจะดีขึ้นเสียก่อน พอเจ้าเดินเองได้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปที่ทะเลสาบจิ้งกันต่อ”
หยวนชิงหลิงมองเขาพลางถอนหายใจเฮือก “ขอบคุณมาก แต่จริง ๆ แล้วรอให้ถึงพรุ่งนี้ก่อนค่อยเอาให้ข้าก็ได้”
หงเย่ส่งเสียงอือในลำคอแล้วพูดว่า “ข้าทำเสร็จก็คิดแต่ว่าอยากจะเอามาส่งให้เจ้า ลืมไปเลยว่านี่มันดึกมากแล้ว”
หยวนชิงหลิงรู้สึกหมดเรี่ยวแรงเต็มที “เอาเถอะ ขอบคุณเจ้ามาก กลับไปพักผ่อนเถอะ อะซี่ช่วยเก็บไม้ค้ำให้ข้าหน่อย แล้วส่งท่านชายด้วย”
หงเย่ยื่นไม้ค้ำไปให้อะซี่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ลำบากแม่นางอะซี่แล้ว”
อะซี่ปากยิ้มหน้าไม่ยิ้ม พูดกลับไปว่า: “เป็นท่านชายต่างหากที่ลำบาก ดึกขนาดนี้แล้วยังอุตสาห์ทำไม้ค้ำมาให้ ทำเพลินเสียจนลืมไปเลยว่ามันดึกจนเป็นเวลาที่คนเขาควรจะหลับจะนอนกันหมดแล้ว”
หงเยาทำเหมือนฟังไม่เข้าใจคำพูดเสียดสีของนาง ยังยิ้มน้อย ๆ แล้วมองหยวนชิงหลิงพลางถามว่า “ยังเจ็บมากหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงตอบว่า “ ดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว พักฟื้นสักสองวันก็คงจะเดินทางต่อได้แล้วล่ะ” หงเย่พูดด้วยแววตาอ่อนโยน
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าควรอธิบายให้เขาฟังให้ชัด ๆ ไปเลยจะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ไม่รู้ว่าเขาจะไปทำอะไรที่นั่นด้วย นางจึงพูดขึ้นว่า “ท่านชาย ข้าตัดสินใจจะไม่ไปทะเลสาบจิ้งเป็นการชั่วคราว พรุ่งนี้จะกลับเมืองหลวงแล้ว”
หงเย่ตะลึงงัน “กลับเมืองหลวง? จนมาถึงที่นี่แล้วแท้ ๆ ทำไมเจ้าไม่ไปก่อนล่ะ? หรือว่าเท้าของเจ้าเจ็บหนักมากใช่หรือไม่? หรืออย่างไรให้ข้าแบกเจ้าขึ้นภูเขาก็ได้นะ?”
“ไม่ต้อง ข้านึกขึ้นได้ว่ามีธุระบางอย่างที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่ไปเป็นการชั่วคราว” หยวนชิงหลิงได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็ตกใจแทบแย่ คืนนี้หงเย่ดูจะทำตัวแปลกไปจริง ๆ