บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1050 ความกังวลของฮูหยินรอง
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกทึ่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เค้าโครงใบหน้าและองคาพยพทั้งห้าของหมันเอ๋อนั้นค่อนข้างคมชัด เมื่อก่อนตอนที่อยู่ในจวนไม่ได้แต่งตัวสักเท่าไหร่ แค่รวบผมขึ้นอย่างง่ายๆ ไม่ประแป้ง ไม่ได้ใส่ใจอย่างละเอียด แต่ว่าวันนี้ได้แต่งตัวอย่างประณีต ความงดงามแบบฉบับของชนต่างถิ่นก็ปรากฏออกมา และนางมีรูปร่างที่สูงเพรียว สวมชุดกระโปรงที่พันรอบเอวยิ่งทำให้ดูมีลักษณะโดดเด่นมาก
“หญิงโง่ นี่ย่อมต้องเป็นเจ้า เจ้าสวยมากเลยนะ”อะซี่พูดยิ้มๆ
ลู่หยาวิ่งเข้ามาบอกว่า “อ๋องชุนมารับแล้ว วันนี้อ๋องชุนก็แต่งตัวได้น่าเกรงขามมาก”
ทุกคนจึงเดินออกไปพร้อมกับหมันเอ๋อ ก็เห็นเจ้าเก้าที่สวมชุดราชสำนักสีม่วงทั้งตัวของท่านอ๋องเดินเข้ามา บนศีรษะสวมที่รัดเกล้าหยกปิ่นทองคำ หล่อเหลาไม่ธรรมดา กลิ่นอายของความไม่เป็นผู้ใหญ่ได้หายไปจนหมดสิ้น เหมือนที่ลู่หยาบอกจริงๆว่าน่าเกรงขามมาก
ตอนที่เจ้าเก้ามองเห็นหมันเอ๋อ ดวงตามีแววตะลึงอยู่บ้าง รอให้หมันเอ๋อเดินมาถึงตรงหน้า เขาจึงเก็บสายตาอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติมากนัก ยิ้มอย่างเขินอายชั่วครู่ “โอ้โฮ เกือบจะจำไม่ได้ โตขนาดนี้แล้ว”
คำพูดนี้ของเจ้าเก้าทำให้ทุกคนหัวเราะเสียงดังออกมา อะซี่เดินเข้าไปข้างหน้าพูดยิ้มๆว่า “อะไรคือโตขนาดนี้แล้ว เดิมทีนางก็โตเช่นนี้อยู่แล้ว แต่สวยกว่าเดิมเท่านั้น ”
เจ้าเก้าหลุดปากพูดออกไปอย่างไม่ตั้งใจ ก็ยิ่งรู้สึกผิดเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาแดงไปหมด น่าเกรงขามได้เพียงชั่วครู่ ก็กลับมาสู่ท่าทีของหนุ่มน้อยซื่อบื้อแล้ว
หมันเอ๋อใบหน้าแดงก่ำ แอบมองอ๋องชุนแวบหนึ่ง พูดว่า “วันนี้ท่านอ๋องเองก็ดูสง่าผ่าเผยมาก ”
เจ้าเก้ายิ้มด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ที่ไหนกัน ชุดราชสำนักนี้ไม่ได้สวมใส่บ่อยๆ เกรงว่าจะใส่จนพัง วันนี้เสด็จพ่อให้ข้ามารับตัวเจ้าเข้าวัง ครุ่นคิดดูแล้วก็ต้องสวมชุดที่เป็นทางการเสียหน่อย”
“กิ่งทองใบหยกจริงๆ”อะซี่ผู้ชอบสอดแทรกบทตลก พูดอย่างล้อเลียน
เดิมทีคนพูดนั้นไร้เจตนา แต่คนฟังดันใส่ใจ หมันเอ๋อกับเจ้าเก้าต่างก็หัวใจกระตุก สายตาเหลือบมาสบกันกลางอากาศ รีบหลบตาอย่างร้อนรน ใบหน้าของทั้งสองคนรู้สึกร้อนผ่าวราวกับถูกไฟรน ช่วงเวลาที่อยู่ในหนานเจียง อยู่ด้วยกันทุกเช้าเย็น ต่างก็เป็นชายหนุ่มหญิงสาว ถ้าหากจะบอกว่าไร้ซึ่งความว้าวุ่นและฟุ้งซ่านในจิตใจ นั่นเป็นเรื่องไม่จริง
ทั้งสองคนเดินออกจากประตูตามกันไป หยวนชิงหลิงยืนมองพวกเขาอยู่ที่ระเบียงทางเดิน นึกถึงคำพูดของเจ้าห้าที่พูดเมื่อคืน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัน ไหนเลยจะต้องการการจับคู่ อายุขนาดนี้หวั่นไหวได้ง่ายดายมาก ก็ดี
หมันเอ๋อถูกแต่งตั้งให้เป็นอ๋องหนานเจียง หลังจากได้รับการแต่งตั้งแล้ว ก็เป็นเจ้าเมืองขึ้นหนานเจียงของเป่ยถังอย่างเป็นทางการ และเป็นเจ้าเมืองขึ้นหญิงคนแรกของเป่ยถัง ฮ่องเต้หมิงหยวนยังทรงมีบัญชา งดการเก็บภาษีของหนานเจียงเป็นเวลาสามปี
หลังจากได้รับการแต่งตั้งแล้ว ฮ่องเต้หมิงหยวนยังให้หมันเอ๋อและอ๋องชุนอยู่พูดคุยกันต่อในห้องทรงพระอักษร ปรึกษากับพวกเขาเรื่องแผนการพัฒนาในสามถึงห้าปีข้างหน้า ซ่อมแซมถนนสร้างสะพาน ให้ถนนเข้าไปถึงทุกที่ และการค้าก็สามารถเข้าถึงได้ หนานเจียงพื้นที่กว้างใหญ่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์สามารถส่งเสบียงเข้ามายังเป่ยถังได้อย่างไม่ขาดสาย
การพูดคุยกันครั้งนี้ สิ้นสุดลงตอนพลบค่ำ หมันเอ๋อกับอ๋องชุนออกจากวังกลับไปยังจวนอ๋องฉู่ แทบจะหิวจนทนไม่ไหวแล้ว
แม่นมฉีรีบเข้าไปเอาของว่างมาให้พวกเขาได้รองท้องกันไปก่อน รอรัชทายาทกลับมาแล้วค่อยกินอาหาร
หยวนชิงหลิงมองทั้งสองคนที่กินกันอย่างตะกละตะกลาม ก็ถามขึ้นว่า “ทำไมในวังไม่ได้ประทานของกินให้พวกเจ้าหรือ”
หมันเอ๋อดื่มชาไปคำหนึ่ง กลืนขนมที่อยู่ในลำคอลงไป ยืดคอยาว “ประทานแล้ว แต่ว่าไม่กล้ากิน ฮ่องเต้จ้องอยู่ตรงนั้น อย่าว่าแต่กินเลย แม้แต่น้ำชาข้าก็ไม่กล้าจะดื่มสักคำ สองขาสั่นไปหมด ฮ่องเต้ถามคำถามข้า เสียงข้าก็สั่นไปด้วย”
อะซี่พูดว่า “เจ้ากลัวอะไร ฮ่องเต้ไม่กินคนเสียหน่อย ฮ่องเต้ทรงเป็นกันเองมาก ”
“นั่นเพราะแม่นางอะซี่เข้าวังพบฮ่องเต้อยู่บ่อยๆ ข้าไม่ไหว ข้ากลัว”หมันเอ๋อรู้สึกว่าผ่านวันนี้ไปแล้ว ภายหน้าก็ไม่มีทางหวาดกลัวคนหรือเรื่องอะไรอีกแล้ว
อะซี่หัวเราะขึ้นมา “หลังจากนี้เจ้าเป็นอ๋องหนานเจียงแล้ว แม้ว่าวันหน้าเมื่อกลับไปหนานเจียง ก็ต้องเข้าเมืองหลวงปีละครั้งเพื่อรายงานการทำงาน ต้องได้พบฮ่องเต้ปีละครั้ง”
หมันเอ๋อได้ยินคำพูดนี้ก็ตัวสั่นไปหมด รีบโบกมือ ”
สวรรค์ แล้วจะทำอย่างไร ”
เจ้าเก้าที่อยู่ข้างๆเห็นนางกลัวจนเป็นถึงขนาดนี้ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ทุกปีข้าจะยังคงมาเป็นเพื่อนเจ้า”
ใบหน้าของหมันเอ๋อแดงขึ้นมาทันที แอบมองเขาแวบหนึ่ง “ขอบคุณท่านอ๋อง ”
หลังจากอะซี่แต่งงานแล้ว ก็ค่อนข้างไวต่อความรู้สึกระหว่างชายหญิงมาก เห็นหมันเอ๋อหน้าแดงขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ต้องมีความแปลกประหลาดน่าสงสัยแน่ ยิ้มกับหยวนชิงหลิงอย่างรู้ทัน
ความคิดเรื่องที่จะให้เจ้าเก้าแต่งงานกับหมันเอ๋อ ไม่เพียงแต่เจ้าห้าเท่านั้นที่คิด ฮ่องเต้หมิงหยวนก็คิดเช่นกัน ถ้าหากเจ้าเก้ากลายเป็นลูกเขยของหนานเจียง เรื่องมากมายก็จะทำได้อย่างราบรื่น
แต่เขาก็ไม่เร่งที่จะจัดการเรื่องนี้ หยู่เหวินเห้าบอกแล้ว พวกเขาจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกหลายเดือน ถ้าหากเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องเจียงหนานแล้วประทานงานแต่งงานทันที คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่ามีความตั้งใจนี้อย่างแท้จริง
เมื่อพูดถึงฮูหยินรองตระกูลกู้ที่หลังจากได้ยินความลับจากฉู่หมิงหยางแล้ว ในใจก็รู้สึกสับสนมาก ถ้าหากไม่มีเรื่องนี้เหลิ่งจิ้งเหยียนย่อมเป็นตัวเลือกลูกเขยที่ดีที่สุด แต่ว่าระหว่างเขากับพระชายารัชทายาทมีความเกี่ยวพันกันที่ไม่ชัดเจน แม้ว่าตอนนี้จะตัดขาดกันไปแล้ว ภายหน้าหากรัชทายาททรงรับรู้และสืบสาวเอาความขึ้นมา เหลิ่งจิ้งเหยียนก็ต้องได้รับโทษ
ถ้าหากคางมั่นแต่งงานไป ก็ต้องได้รับเคราะห์กรรมไปด้วย
นางรู้สึกลังเลตัดสินใจไม่ถูกขึ้นมาชั่วขณะ แต่ว่ากู้คางมั่นก็ตั้งมั่นอย่างแน่วแน่ว่าจะแต่งงานกับเหลิ่งจิ้งเหยียน ทำให้นางรู้สึกลำบากใจมาก
ด้วยเหตุนี้ แม้ฉู่หมิงหยางจะคอยกำชับว่าไม่สามารถถามได้ นางก็ยังแอบไปหากู้ซือเพื่อพูดคุย
กู้ซือรู้เรื่องที่น้องห้าจะให้แม่สื่อไปคุยเรื่องแต่งงาน และเป็นการทาบทามกับตระกูลเหลิ่ง แต่กู้ซือคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่ากังวล เพราะว่าทางด้านตระกูลเหลิ่งไร้ท่าทีใดๆ ไม่ได้ว่ายอมรับโดยปริยาย เพราะรู้จักกันจะปฏิเสธต่อหน้าก็ไม่ดี ถ้าหากมีใจจริงๆ ตอนนี้ก็คงจะมาสู่ขอถึงบ้านแล้ว
ไม่มีการสู่ขอถึงบ้าน อย่างน้อยก็แสดงว่าทางด้านตระกูลเหลิ่งไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเหลิ่งจิ้งเหยียนว่าตัวเขาจะยินดีหรือไม่แล้ว
ฮูหยินรองถามขึ้น“ระหว่างเจ้ากับใต้เท้าเหลิ่งก็มีการไปมาหาสู่อยู่บ้างเพราะองค์รัชทายาท สำหรับเจ้าแล้วเขานิสัยใจคอ……เจ้ารู้สึกปกติเขาเป็นคนไว้ตัวหรือไม่ ”
กู้ซือได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง “ไว้ตัว ใต้เท้าเหลิ่งรักษาตัวให้พ้นจากเรื่องยุ่งยาก นั่นเป็นเรื่องที่รู้กันทั่วราชสำนัก”
“ทำตัวให้พ้นจากเรื่องยุ่งยากเป็นคำพูดที่คนภายนอกพูดกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีความลับบางอย่างที่ปกปิดเอาไว้และเราไม่รู้ อย่างเช่นเขามีเมียทาส ชอบไปเที่ยวหอนางโลมหรือไม่ ”ฮูหยินรองถามหยั่งเชิง
กู้ซือส่ายหน้า “เมียทาสไม่มี ส่วนหอนางโลมเขาไม่เคยไป ที่เขาชื่นชอบมากที่สุดคือการเล่นหมากรุก อ่านหนังสือ คนคนนี้สงบเป็นอย่างยิ่ง”
ฮูหยินรองพูดจาให้ตรงประเด็นมากขึ้นเล็กน้อย “เขาก็อายุปูนนี้แล้ว ไม่เคยแต่งงาน เมียทาสก็ไม่มี หอนางโลมก็ไม่ไป กู้ซือ เจ้าเองก็เป็นผู้ชาย เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ”
กู้ซือรู้ว่าอาสะใภ้รองอยากจะพูดอะไร จึงยิ้ม “อาสะใภ้รอง ใต้เท้าเหลิ่งไม่มีจริงๆ ข้ารู้ดี”
“เจ้ารู้ดีอย่างนั้นหรือ”ฮูหยินรองจ้องมองเขา “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็บอกกับอามาตามตรง เขายังมีการไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดสนิทสนมกับหญิงที่มีสามีแล้วใช่หรือไม่”
กู้ซือประหลาดใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร นี่เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ใต้เท้าเหลิ่งไม่ใช่คนแบบนั้นอย่างแน่นอน ท่านอาท่านไปได้ยินเรื่องราวซุบซิบเหล่านี้มาจากที่ใดกัน ”
ฮูหยินรองย่อมไม่กล้าพูดออกไป เพราะว่าเรื่องนี้สามารถเป็นเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ได้ในเวลาเดียวกัน ได้แต่ยิ้มอย่างฝืนใจ “ไม่ใช่ข้าได้ยินมา แค่มีความกังวลในเรื่องนี้เท่านั้น”
กู้ซือยกมือขึ้น “ข้าว่าท่านอาอย่าเป็นกังวลให้มากเลย ตระกูลเหลิ่งจะมีความคิดเช่นนี้หรือไม่ก็ไม่รู้ ท่านก็ให้คนไปเลียบเคียงสอบถามแล้ว ทางด้านตระกูลเหลิ่งก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร เห็นทีจะไม่มีความคิดนี้กระมัง”
ที่จริงฮูหยินรองก็เป็นกังวลในด้านนี้อยู่ลึกๆ นางถอนหายใจเสียงหนึ่ง “จะทำอย่างไรได้ น้องห้าของเจ้าชื่นชอบใต้เท้าเหลิ่ง ไม่ใช่เขาก็ไม่ยอมแต่งงาน”
“เดิมทีไม่ใช่คุณชายสามของตระกูลเหลิ่งหรอกหรือ”
“นั่นเป็นลูกของเมียทาส ย่อมไม่สามารถแต่งกับเขาได้ ”ฮูหยินรองโบกมือ “ช่างเถอะ ข้าก็แค่ถามดู เจ้ากลับเถอะ”
กู้ซือรู้สึกว่าฮูหยินรองน่าแปลกมาก แต่เขาที่เป็นผู้ชายก็ไม่สมควรถาม จึงกลับไปพูดกับหยวนชิงผิง ตอนนี้หยวนชิงผิงอยู่ในจวนเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติทำได้ทุกอย่าง สร้างความสัมพันธ์กับแต่ละเรือนไว้เป็นอย่างดี จึงพูดว่า “ข้าจะลองสืบดูให้ชัดเจน”