บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1062 ตี๋กุ้ยเฟยเป็นแม่งานพิธีมงคลสมรส
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1062 ตี๋กุ้ยเฟยเป็นแม่งานพิธีมงคลสมรส
เพื่อให้ตี๋กุ้ยเฟยรับเป็นแม่งานจัดพิธีมงคลครั้งนี้ นางจึงต้องครุ่นคิดสักหน่อย
เรื่องนี้ให้หยวนชิงหลิงไปพูดเองตรง ๆ คงจะไม่ดีแน่ ดังนั้นนางจึงอาศัยจังหวะที่ไปจวนอ๋องอาน เพื่อตรวจสอบทารกในครรภ์ของพระชายาอาน ใช้โอกาสที่ตี๋กุ้ยเฟยก็อยู่ที่นั่นด้วย พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาลอย ๆ
“ไท่ซ่างหวงจะทรงพระราชทานมงคลสมรสให้เจ้าเก้ากับหมันเอ๋อ คาดว่าเสร็จพิธีก็คงจะกลับไปหนานเจียง แต่เวลานี้ยังไม่ได้กำหนดฤกษ์มงคลให้แน่ชัด
แต่หวังว่าจะไม่ตรงกับวันครบกำหนดคลอดของพระชายาอาน ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านคงไม่ได้ไปร่วมดื่มเหล้ามงคลแน่แล้ว “หยวนชิงหลิงพูดพลางยิ้มน้อย ๆ
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ตี๋กุ้ยเฟยก็พูดอย่างราบเรียบว่า “แล้วมันสำคัญอย่างไรล่ะ? จะดื่มหรือไม่ดื่มเหล้ามงคลก็ไม่ได้สำคัญอะไรนี่ ลูกสะใภ้ตัวเองคลอดลูกต่างหากที่สำคัญที่สุด”
พระชายาอานจิตใจผ่องแพ้วกระจ่างใส นางรู้ว่าหยวนชิงหลิงคงไม่จู่ ๆ ก็พูดถึงเรื่องงานแต่งของอ๋องชุนต่อหน้าท่านแม่โดยไม่มีเหตุผลแน่ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างไรก็เป็นเรื่องมงคล ถ้าสามารถไปร่วมสังสรรค์ได้ก็ถือเป็นเรื่องดี มีพระราชโองการลงมาแล้วหรือไม่?”
“พระราชโองการเริ่มมีการร่างแล้ว กำลังจะพระราชทานลงมาเร็ว ๆ นี้” หยวนชิงหลิงพูดพลางขมวดคิ้วมุ่น “เพียงแต่ เดิมทีไท่ซ่างหวงทรงคิดว่าจะให้หวงกุ้ยเฟยเป็นแม่งานในพิธีมงคลสมรสของเจ้าเก้า แต่บังเอิญว่าหวงกุ้ยเฟยร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เกรงว่าคงจะทำไม่ไหวแน่”
“ไม่ใช่ว่ายังมีท่านแม่หลู่เฟยกับท่านแม่ฉินเฟยอยู่รึ?” พระชายาอานถาม
หยวนชิงหลิงยิ้ม พูดด้วยท่าทางลึกซึ้งจริงใจ: “ตอนนี้หมันเอ๋อเป็นอ๋องหนานเจียงแล้ว ไท่ซ่างหวงกับฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่จะยกระดับสถานะของอ๋องชุนให้สูงขึ้น ย่อมมีความหวังว่าจะได้ผู้ทรงเกียรติมาเป็นประธานในพิธีให้เป็นธรรมดา เพราะถึงอย่างไรหลอกุ้ยผิน ท่านแม่ของเจ้าเก้าก็ไม่อยู่แล้ว หากจะจัดพิธีแต่งงานให้เขา ก็เท่ากับเป็นการยอมรับกลาย ๆ ว่าเป็นท่านแม่ของเขาคนหนึ่ง”
ตี๋กุ้ยเฟยได้ยินประโยคนี้ ก็ใจเต้นแรง “ข้าก็ช่วยเป็นแม่งานให้เขาได้เช่นกันนะ”
อ๋องชุนไม่ใช่คนที่น่าสงสารเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ เขาได้แต่งอ๋องหนานเจียงมาเป็นภรรยา ทั้งยังมีรัชทายาทที่ให้ความสำคัญ ท่านตาของเขาก็เป็นแม่ทัพใหญ่ของหน่วยองครักษ์ลับผี หากยึดตามคำพูดของหยวนชิงหลิง เรื่องที่ช่วยเป็นแม่งานในการจัดพิธีมงคลสมรสให้เขา ก็เท่ากับการยอมรับว่าเป็นแม่คนหนึ่งของเขา นางก็ยินดีที่จะเก็บผลประโยชน์ชิ้นนี้มาไว้ในมือโดยไม่รีรออยู่แล้ว
อย่างไรเสีย ตระกูลตี๋ในตอนนี้ก็เรียกได้ว่าส่งเสริมไม่ขึ้นไปนานแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้นางออกจากวังไปอยู่กับลูกชาย ซึ่งถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว มันต่างอะไรกับการขับไล่นางออกจากวังล่ะ?
แม้ว่านางจะยังเป็นกุ้ยเฟย แต่ตอนนี้ในพระทัยของฝ่าบาท ฐานะกุ้ยเฟยของนางยังด้อยกว่าหลู่เฟยกับผินเฟยไปไกลโข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮู่เฟยด้วยซ้ำ เจ้าเด็กโง่อ๋องชุนนั่นแต่งงานกับอ๋องหนานเจียง แล้วหนานเจียงในเวลานี้ ก็เป็นดั่งอัญมณีน้ำงามในสายพระเนตรฮ่องเต้ ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ลุกขึ้นยืนทันที “ขอพระชายารัชทายาทอนุญาตตามนี้ด้วยเถอะ”
หยวนชิงหลิงแสร้งทำเป็นตกตะลึง “แต่ตอนนี้พระสนมกำลังดูแลพระชายาอาน จะเป็นการทำให้ท่านต้องล่าช้าไปหรือไม่?”
“ไม่หรอก แค่เป็นแม่งานจัดงานมงคลสักงาน ข้าก็ยังสามารถประสานงานได้อยู่ อ๋องชุนสูญเสียแม่ของเขาไปเมื่อตอนที่เขายังเด็ก หลายปีมานี้ล้วนถูกฮองเฮากดหัวไว้ไม่ให้ลืมตาอ้าปาก ข้าเองก็ไม่เคยได้ทำหน้าที่ดูแลเขาเลยเช่นกัน รู้สึกละอายใจยิ่งนัก
ตอนนี้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะแต่งงานสร้างครอบครัว ข้าก็ถือว่าได้มีโอกาสแสดงความรักต่อเขาบ้างสักครั้ง อย่างน้อยจะได้ไม่รู้สึกละอายแก่ใจเวลาที่คิดถึงกุ้ยผินที่จากไป ” ตี๋กุ้ยเฟยพูด
หยวนชิงหลิงตามน้ำไปอย่างไหลลื่น “หากมีความช่วยเหลือของกุ้ยเฟย งานแต่งครั้งนี้คงจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเป็นแน่”
ทางนี้พูดคุยตกลงกับกุ้ยเฟยเสร็จเรียบร้อย พระราชโองการมงคลสมรสของไท่ซ่างหวงก็พระราชทานลงมาพอดี
อ๋องชุนยังอยู่ในกระบวนการปรับเปลี่ยนความรักลับ ๆ ให้กลายมาเป็นความรักที่ไม่ลับอยู่ ไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ ก็มีพระราชโองการประทานพิธีมงคลสมรสลงมา เขาจึงรู้สึกยินดีจนแทบคลั่ง หลังจากน้อมคำนับรับพระราชโองการที่จวนอ๋องชุน กล่าวสำนึกในพระกรุณาธิคุณเสร็จ ก็รีบวิ่งแจ้นมาที่จวนอ๋องฉู่จนขาแทบขวิด ใบหน้าที่ยังอ่อนเยาว์ยิ้มแย้มเริงร่า คิ้วตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดีอย่างที่ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้
ได้ยินว่าพี่สะใภ้ห้าเป็นคนผลักดันเรื่องนี้จนสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงไปที่จวนอ๋องฉู่ เพื่อไปโขกหัวคำนับขอบคุณพี่สะใภ้ห้า
หมันเอ๋อก็ได้รับพระราชโองการที่จวนอ๋องฉู่เช่นกัน ในขณะที่กำลังเขินอายจนหน้าแดงอยู่นั้น ก็ได้ยินว่าอ๋องชุนมาที่จวนพอดี ชั่วขณะนั้นนางขวยเขินเกินกว่าจะสู้หน้า จึงรีบหนีไปซ่อนตัวอยู่หลังฉากกั้นลมทันที
เมื่ออ๋องชุนเข้ามาก็คุกเข่าให้หยวนชิงหลิงทันที กล่าวขอบคุณในความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของนาง ที่ผลักดันจนเกิดการแต่งงานครั้งนี้ขึ้นมาได้
หยวนชิงหลิงมองเขาที่สวมชุดเครื่องแบบราชสำนัก ใบหน้ายิ้มแย้มเริงร่าจนคิ้วตายิบหยี ดูไปแล้วเหมือนว่าเขาจะมีความสุขมาก จึงพูดหยอกเย้าไปว่า “ข้ายังคิดว่าเจ้าจะโทษว่าข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเสียอีก ว่าอย่างไร? งานมงคลงานนี้เจ้าพอใจหรือไม่?”
อ๋องชุนยิ้มกว้างเสียจนคางแทบจะร่วงไปกองกับพื้นได้อยู่แล้ว ดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้นเต็มไปด้วยความสุข “พอใจพ่ะย่ะค่ะ! พอใจอย่างยิ่ง!”
“พอใจ? ก็หมายความว่าเจ้ามีใจต่อหมันเอ๋อมานานแล้วอย่างนั้นสินะ?” หยวนชิงหลิงจงใจถาม
อ๋องชุนก็ไม่มัวเหนียมอายอะไรทั้งนั้น กล่าวจริงจังต่อหน้าพี่สะใภ้ว่า “ตลอดระยะเวลาที่ได้รู้จักใกล้ชิดนาง หมันเอ๋อเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง ได้แต่งนางมาเป็นภรรยา นับเป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว! ”
หมันเอ๋อที่ซ่อนตัวอยู่หลังฉากกั้นได้ยินประโยคนี้เข้า หัวใจก็เต้นกระหน่ำดั่งรัวกลอง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย แต่ในอกกลับระส่ำระสายด้วยความปิติยินดี
หยวนชิงหลิงเองก็ยินดี นางถอนหายใจด้วยความเต็มตื้น หมันเอ๋ออยู่กับนางมาหลายปี เป็นเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง ตอนนี้นางได้พบคนที่รักแล้ว ตัวนางเองก็รู้สึกยินดีมากจริงๆ แต่เมื่อคิดว่าหลังแต่งงานพวกเขาก็จะกลับไปที่หนานเจียง หยวนชิงหลิงก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้
นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า: “หมันเอ๋อ ออกมา!”
อ๋องชุนตกใจจนผงะ เงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ก็เห็นหมันเอ๋อเดินออกมาจากหลังฉากกั้นด้วยท่าทางเขินอาย เขานึกย้อนไปถึงคำพูดเสี่ยว ๆ ที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่ จึงเกิดความรู้สึกเก้อเขินไปชั่วขณะ “เจ้า….เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดเลยรึ?”
หมันเอ๋อแอบชม้ายตามองเขาแวบหนึ่ง หัวใจยังคงเต้นกระหน่ำไม่หยุด นางเข้ามาคุกเข่าลงตรงหน้าหยวนชิงหลิงในสภาพหน้าแดงก่ำด้วยอีกคน บิดชายแขนเสื้ออย่างเขินอาย “ข้าอยู่ที่นี่มาตลอดนั่นล่ะ”
อ๋องชุนเห็นใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย เขาไม่อาจสรรหาคำบรรยายใด ๆ มาอธิบายความงดงามสดใสของนางได้จริง ๆ แม้ว่าในใจจะตื่นเต้น แต่กลับเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า: “ถ้าอย่างนั้น เจ้า….เจ้ายินดีที่จะแต่งงานกับข้าหรือไม่?”
ใบหน้าของหมันเอ๋อยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก กระทั่งมองผ่านปกเสื้อไป ก็ยังเห็นว่าที่คอของนางแดงมากจนน่าสงสาร ก้มหน้างุด ในดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ยิ้มกว้างจนหุบไม่ลง ริมฝีปากสั่นระริกไม่หยุด ตอบด้วยเสียงแผ่วเบาราวยุงบินว่า “ข้า… ข้าย่อมเต็มใจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
เมื่ออ๋องชุนได้ยินคำนี้ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ซาบซึ้ง เขายื่นมือออกไปคว้าจับมือนางไว้ ทำให้หมันเอ๋อตกใจจนสะดุ้ง แต่นางก็ไม่ได้ดิ้นหนี เพียงหันหน้าไปอีกด้านด้วยใบหน้าที่แดงก่ำยิ่งขึ้น
หยวนชิงหลิงไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งจะถูกคนป้อนอาหารหมาใส่ปากแบบเต็ม ๆ กำแบบนี้ (เป็นสแลง หมายถึงคู่รักที่ชอบทำสวีทหวานใส่กันให้คนอื่นเห็น) ท่าทางของทั้งสองคนทั้งเขินอายทั้งตื่นเต้น อาหารหมากำนี้ นางถูกป้อนให้เสียจนแสยงนัยน์ตาไปหมดแล้ว นานมากแล้วที่นางกับเจ้าห้าไม่ได้หวานชื่นกันแบบนี้
นางรีบขัดบรรยากาศด้วยการพูดว่า: “เอาล่ะ ๆ ๆ อย่ามาแสดงความรักหวานชื่นต่อหน้าข้านักเลย ในเมื่องานแต่งมีหมายกำหนดการลงมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรอก ออกไปเดินเล่นกันในสวนนู้นไป๊!”
ทั้งสองกล่าวขอบคุณหยวนชิงหลิง แล้วลุกขึ้นพร้อมกัน หันหลังกลับพลางจูงมือกัน เด็กสาวกับเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นที่กำลังเริ่มมีความรัก ย่อมไม่อาจปิดบังความรู้สึกเหล่านี้ได้ ทั้งสองเดินเคียงคู่กันออกไป เป็นภาพที่ชวนให้ใครที่ได้เห็น ต่างก็ต้องรู้สึกอิจฉาตาร้อนไปตลอดทาง
อะซี่เพิ่งเดินเข้ามาพอดี ทันเห็นทั้งสองคนเดินจูงมือกันไป จึงเป็นผู้เคราะห์ร้ายถูกโปรยอาหารหมาใส่จนเต็มหน้าไปอีกคน อะซี่แทบไม่รอให้ทันหายใจระบายเอาความหมั่นไส้ออกไปหมด ก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางแสยงนัยน์ตาไม่แพ้กัน “สวีอียังไม่เคยพยายามแสดงความรักหวานชื่นกับข้าแบบนี้เลย ”
“ เป็นสามีภรรยากันมานานขนาดนี้แล้ว ยังจะหวานชื่นอะไรกันอีกล่ะ?” หยวนชิงหลิงเหน็บ
อะซี่ฟังแล้วก็เริ่มจะมีอารมณ์กรุ่น ๆ “แค่นี้ก็ถือว่าเป็นสามีภรรยากันมานานแล้วอย่างนั้นรึ? เราเพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่นานเท่าไหร่เอง อย่างสวีอียังต้องสั่งสอนอีกมาก เฮ้อ แต่มันก็ยากจริง ๆ นั่นล่ะ คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล เขาอยู่กับรัชทายาทตลอดเวลา รัชทายาทเป็นคนไม่ค่อยรู้จักเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เป็นธรรมดาที่เขาเองก็คงจะไม่รู้จักเหมือนกัน”
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ ก็แทบจะกระอักเลือดออกมาให้ได้ หันไปมองอะซี่เขม็ง “พูดมากเกินไปแล้ว!”
อะซี่ยู่ปากพลางหัวเราะ “ยังไม่ชินอีกรึ ท่านควรจะชินกับมันได้แล้ว คนอย่างรัชทายาทน่ะ จะพูดคำดี ๆ ออกมาได้ก็ต่อเมื่อเขาเกิดบ้าขึ้นมาเป็นบางครั้งเท่านั้นเอง ในช่วงหลายวันมานี้ ก็สังเกตได้ว่าน้อยลงไปเรื่อย ๆ แล้วไม่ใช่รึ?”
หยวนชิงหลิงก็แอบเห็นด้วยเงียบ ๆ ในใจ แต่เมื่อคิดดูแล้ว นางก็รู้สึกว่าไม่เห็นจะเป็นไรเลย คนนิสัยเฉย ๆ กับเรื่องแบบนี้ก็ปล่อยให้เขาเฉย ๆ ไปก็ได้ ขอแค่ได้ใช้ชีวิตที่ผ่านไปในแต่ละวันอย่างสงบร่มเย็นก็พอแล้ว ตอนนี้เขาก็ยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว กระทั่งเรื่องที่จะไปทะเลสาบจิ้งก็ยังไม่มีเวลาด้วยซ้ำ อันที่จริงนางก็อาลัยอาวรณ์อยากจะพาซาลาเปาไปที่ทะเลสาบจิ้งสักครั้งเหมือนกัน
เมื่อคิดถึงการเดินทางไปทะเลสาบจิ้งครั้งก่อนที่โดนอะโฉ่วทำลายจนเสียเที่ยว ในใจของนางก็ยังรู้สึกเสียดายไม่หาย