บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1080 ผู้ใดเป็นนักฆ่า
หยวนชิงหลิงแอบพูดว่าไม่ดีแล้ว มีดผ่าตัดใจมือลอยออกไปแล้ว แต่กลับถูกนักฆ่าใช้กระบี่กันออกไปได้อย่างง่ายดาย กระทั่งหมันเอ๋อนางก็ไม่สามารถลากออกไปได้ ทางด้านหน้าด้านหลังถูกสกัดไว้หมดแล้ว
นางประคองหมันเอ๋อ ยืนขึ้นมาช้าๆ ในเมื่อไม่มีทางไปแล้ว เช่นนั้นก็ดูซิว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการชีวิตหรือว่าอย่างอื่น เป้าหมายไม่ได้นอกเหนือจากนางหรือว่าหมันเอ๋อ
“พระชายารัชทายาท อ๋องหนานเจียง เชิญตามพวกเราไปรอบหนึ่ง!” ผู้นำเป็นคนชุดดำผู้หนึ่งดาบชี้มาทางหยวนชิงหลิง กล่าวอย่างเย็นชา
หยวนชิงหลิงปกป้องหมันเอ๋อไว้ด้านหลัง เอ่ยถาม: “พวกเจ้าเป็นผู้ใด? ต้องการพาพวกข้าไปที่ไหน?”
“ไม่จำเป็นต้องถาม ถึงแล้วก็จะรู้เอง!” คนผู้นั้นพูดแล้วก็เป่าปากทีหนึ่ง จึงเห็นรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามา คนที่ขับรถม้าก็ปิดหน้าสวมชุดดำทั้งตัว สามารถสวมชุดดำปิดหน้าอยู่ในบริเวณจวนอ๋องอานได้ ก็สามารถคิดได้ว่า ไม่ได้เห็นจวนอ๋องอานอยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง แน่นอน และก็เป็นไปได้ว่า…….
บนคอของทั้งสองคนมีกระบี่วางไว้ หมันเอ๋อพยายามขัดขืน ถูกต่อยบนหน้าหมัดหนึ่ง แทบจะเป็นลมตายไปแล้ว หลังจากที่ถูกโยนเข้าไปในรถม้า ก็ถูกเชือกมัด หยวนชิงหลิงเห็นที่ไหล่และแขนของหมันเอ๋อล้วนได้รับบาดเจ็บแล้ว เลือดก็ยังไม่หยุด จึงกล่าวอย่างเดือดดาล: “พวกเจ้าห้ามเลือดให้นางก่อน ไม่เช่นนั้น นางจะเสียเลือดมากเกินไปและตายได้ ถ้าหากว่านางตายแล้ว พวกเจ้าจับนางจะมีประโยชน์อะไร?”
คนเหล่านี้ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย หลังจากที่มัดแน่นแล้วจึงปล่อยม่านลง แล้วได้ยินเสียงยกแส้ รถม้าเพิ่งจะออกเดินทาง แต่ก็หยุดหลงอย่างฉับพลันอีก หมันเอ๋อใช้เท้าถีบม่านออก เห็นเพียงคนผู้หนึ่งถือกระบี่เหาะลงมา เขาสวมชุดแดงทั้งตัว อยู่ในยามค่ำคืนเช่นนี้ก็เห็นได้ว่าสะดุดตาเป็นพิเศษ เห็นเพียงกระบี่ยาวของเขาสะบัดอยู่กลางอากาศเป็นเส้นรัศมีวงกลมเหมือนดั่งดาวตกทิ่มแทงลงมาเช่นนั้น เมื่อเขาลงมือ ก็แทงลงที่คนขับรถม้า ตกลงมาอยู่บนรถม้าอย่างมั่นคง
“เป็นท่านชายหงเย่!” หมันเอ๋อร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นคำหนึ่ง “ท่านชายหงเย่ช่วยพระชายารัชทายาทด้วย”
แววตาของหงเย่เย็นชา มองดูพวกนางแวบหนึ่ง ใบหน้าที่สง่างามมีกลิ่นอายความหม่นหมองเฉยชา นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หยวนชิงหลิงได้เห็นแววตาที่คล้ายดั่งเทพสังหารเช่นนี้จากบนใบหน้าของเขา
นักฆ่าทั้งสี่คนลุกขึ้นมาอย่างไม่รักชีวิต พริบตานั้นเบื้องหน้าประสานกันเป็นตาข่ายกระบี่ ปราณกระบี่น่าเกรงขามเยือกเย็น ปาดจนเลือดสาดไปทุกที่ เมื่อครู่หมันเอ๋อได้ต้านทานอย่างสุดความสามารถ ก็ไม่สามารถฝ่าวงล้อมได้ ไม่กี่กระบวนท่าง่ายดายแค่นี่ของเขา กลับปาดไปอย่างต่อเนื่องสองสามคน
หยวนชิงหลิงมองไม่ออกจริงๆว่าวิชากระบี่ของเขามีความพิเศษอยู่ที่ใด ราวกับว่านางก็สามารถใช้กระบวนท่าเช่นนี้ได้ แต่ทำไมหงเย่ใช้ออกมาแล้วกลับเก่งกาจล่ะ?
เวลาคับขันเกือบจะคลี่คลายแล้ว มีเพียงผู้เดียวที่ต่อต้านอย่างเหนียวแน่น สามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย หยวนชิงหลิงถามหมันเอ๋อ “วิชากระบี่เหล่านี้ทำไมข้าถึงสามารถมองออกได้? ข้าก็สามารถใช้ได้”
หมันเอ๋อก็กำลังเฝ้าสังเกตการณ์ ในตามีความตกตะลึง กล่าวว่า: “ไม่ใช่เพคะ วิชากระบี่ธรรมดา แต่เบื้องหลังในนั้น แม้ว่าศัตรูจะสามารถหลบหลีกตัวกระบี่ได้ก็หลบปราณกระบี่ไม่ได้ ที่ถูกแทงบาดเจ็บล้วนเป็นการทำร้ายของปราณกระบี่ทั้งหมด กำลังภายในของท่านชายหงเย่ชั่งน่าทึ่งเป็นอย่างมาก จากอายุของเขาสามารถมีกำลังภายในระดับเช่นนี้ได้ ชั่งน่าทึ่งจริงๆ”
หยวนชิงหลิงมีความเข้าใจในวิทยายุทธ์ไม่มากนัก ได้ยินหมันเอ๋อกล่าวเช่นนี้ก็ตกตะลึงแล้ว จึงเอ่ยถาม: “เช่นนั้นหากว่าเขาเทียบกับรัชทายาทจะเป็นอย่างไร?”
หมันเอ๋อกล่าว: “พูดถึงกำลังภายใน เขาล้ำลึกกว่าองค์ชายรัชทายาทเพคะ แต่หากพูดถึงความวิจิตรของวิชากระบี่ เขาเทียบรัชทายาทไม่ติด เพียงแค่……บางครั้งเมื่อกำลังภายในล้ำลึกถึงระดับหนึ่ง วิชากระบี่จะวิจิตรหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว กำลังภายในราดเข้าไป กิ่งก้านที่แห้งเหี่ยวดอกไม้ที่ปลิวอยู่ก็ล้วนสามารถสังหารคนได้เพคะ”
พูดอีกนัยหนึ่งคือ ถ้าพูดถึงความสามารถจริงๆ เขาก็เก่งกาจกว่าเจ้าห้า
หมันเอ๋อสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งอย่างกะทันหัน “โอ้พระเจ้า พระชายารัชทายาทท่านดูสิเพคะ คิดไม่ถึงว่าท่านชายหงเย่จะปาดเส้นเอ็นที่มือและเท้าทั้งหมดของคนเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ”
หยวนชิงหลิงมองไป หงเย่ได้ทำให้คนทั้งหมดล้มลงไปแล้ว คนทั้งหมดไม่ได้ตาย บนร่างกายมีบาดแผลหลายจุด มือเท้าแต่ละที่ถูกปาด เลือดสดไหลทะลักออกมา เดินไม่ได้ และตายไม่ได้
หงเย่ตกลงมาบนรถม้า ใช้กระบี่ปาดเชือกให้พวกนาง มองดูหยวนชิงหลิงแล้วเอ่ยถาม: “ไม่เป็นไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่เป็นไร ขอบใจเจ้า!” หยวนชิงหลิงนวดข้อมือ มองดูหยดเลือดที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้าของเขา “เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้วหรือ?”
“เลือดของพวกเขาพ่ะย่ะค่ะ!” หงเย่เอื้อมมือไปเช็ด ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย “ไม่เป็นไรก็ดี พวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยู่เฝ้าตรงนี้ ข้าได้สั่งให้อะโฉ่วไปเชิญคนของกรมการพระนครมาแล้ว
หยวนชิงหลิงคิดถึงคนขับรถม้าขึ้นมา รีบวิ่งกลับไปทันที ทรวงอกของคนขับรถม้าถูกกระบี่ ตายไปแล้ว
คนขับรถม้าผู้นี้เพิ่งจะมาได้ไม่นาน หยวนชิงหลิงรู้ว่าในครอบครัวของเขายังมีเด็กอ่อนต้องเลี้ยงดู แต่กลับประสบภัยเช่นนี้ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ดีเป็นที่สุด
อ๋องอานพาคนเดินเข้ามา เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ใบหน้าตื่นตกใจมาก ไถ่ถามหยวนชิงหลิงก่อนอันดับแรก “ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงมองดูเขา ส่ายศีรษะช้าๆ “ไม่มีเพคะ เพียงแค่ท่านอ๋องมาช้าไปเล็กน้อยเพคะ”
สถานที่เกิดเหตุ อยู่ในขอบเขตของจวนอ๋องอาน ห้ามไม่ให้หยวนชิงหลิงสงสัยเขาไม่ได้
“ข้าไม่รู้ ประตูจวนนี้ปิดมาโดยตลอด เมื่อครู่ผู้เฝ้าประตูได้ยินความเคลื่อนไหวเปิดประตูออกมาดู จึงได้มารายงานข้าทันที” อ๋องอานถือว่าเป็นการพูดชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วเล็กน้อย แต่ว่า คำพูดเหล่านี้ การชี้แจงข้อเท็จจริงนี้ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าค่อนข้างไร้น้ำหนัก จึงมีสีหน้าเคร่งขรึม
หยวนชิงหลิงช่วยจัดการบาดแผลให้หมันเอ๋อบนรถม้าก่อน รอคนของกรมการพระนครเข้ามา
นี่เพิ่งจะจัดการบาดแผลเสร็จ ก็เห็นเสือน้องสองตัววนเวียนอยู่ที่หน้าประตูตรอก เฝ้าอยู่ซ้ายขวาแต่ก็ไม่ได้เข้ามา หยวนชิงหลิงเข้าไป นอกจากเห็นเสือน้อยแล้ว ก็ไม่มีคนอื่น เห็นได้ว่าพวกมันมาเอง
เป็นเจ้าแฝดที่รับรู้ได้ว่านางเกิดเรื่อง ให้เสือน้อยมา?
หยวนชิงหลิงอุ้มพวกมันขึ้นมา เอาไว้ที่ข้างๆรถม้าก่อน หลังจากนั้นไม่นาน อ๋องฉีได้นำคนเข้ามาด้วยตัวเอง
“ท่านพี่สะใภ้ห้า ได้รับบาดเจ็บหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เขาสังเกตรอบๆที่เกิดเหตุครู่หนึ่งแล้วไถ่ถามสถานการณ์หยวนชิงหลิงก่อน
“ข้าไม่เป็นไร แต่คนขับรถม้าตายแล้ว หมันเอ๋อบาดเจ็บ เป็นท่านชายหงเย่ช่วยพวกเราไว้” หยวนชิงหลิงกล่าว
อ๋องฉีทำมือ้เคารพต่อท่านชายหงเย่ “ขอบใจน้ำใจการช่วยเหลือของท่านชาย!”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!” หงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ
“ท่านชายผ่านมาทางนี้หรือ?”
หงเย่กล่าว: “ใช่ ผ่านมาพอดีพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องฉีกล่าว: “เช่นนั้นก็บังเอิญจริงๆ!”
หงเย่ฟังความสงสัยในคำพูดของอ๋องฉีออก แต่ก็ไม่ได้มีการแก้ตัว และไม่ได้พูดจาอีก
นักฆ่าทั้งสี่คน เพราะเส้นเอ็นที่มือและเท้าถูกตัดขาด ไม่มีปัญญาหลบหนีได้ แม้แต่ความสามารถในการฆ่าตัวตายก็ไม่มีแล้ว ถูกจับกุมตัวทั้งหมด
อ๋องฉีถามหยวนชิงหลิงและหมันเอ๋อด้วยตัวเอง ได้รู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว ฆาตกรเขาก็ไม่ได้ไปสอบถามก่อน แต่กลับมองดูอ๋องอานอย่างนิ่งเฉยแวบหนึ่ง “อยู่ห่างจากจวนอ๋องอานใกล้ขนาดนี้ คนในจวนของท่านพี่สี่ไม่ได้พบเห็นในเวลาแรกเลยหรือ?”
อ๋องอานกล่าว: “ประตูจวนอ๋องอานปิด ดังนั้นจึงไม่ได้พบเห็น รอจนขณะที่พบเห็นไปรายงานก็สายไปแล้ว”
อ๋องฉีมองดูระยะห่างที่เกิดเรื่องนี้กับประตูจวน กล่าวอย่างราบเรียบ: “แม้ว่าจะปิดประตู ก็สามารถได้ยินความเคลื่อนไหวได้”
อ๋องอานสีหน้าโกรธเคือง “เจ้าสงสัยข้า?”
อ๋องฉีกล่าว: “ท่านพี่สี่โปรดเข้าใจ คดีย่อมมีข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล แต่หากว่าท่านพี่สี่บริสุทธิ์ น้องชายก็จะไม่กล่าวหาพี่สี่ แต่หากว่าท่านพี่สี่ไม่คิดถึงบุญคุณที่ท่านพี่สะใภ้ห้าช่วยชีวิตท่านพี่สะใภ้สี่ครั้งแล้วครั้งเล่า วางแผนอย่างอื่น……”
อ๋องอานตวาดตัดบทเขา “น้องเจ็ด เจ้าอย่าทําเกินไป นี่คือหน้าประตูจวนของข้า ต่อให้ข้าต้องการจะทําร้ายพระชายารัชทายาท ก็จะไม่อยู่หน้าประตูบ้านตัวเอง อีกอย่าง ทําไมข้าจะต้องทําร้ายนางด้วยเล่า? ถึงอย่างไรก็ต้องมีเหตุผล ความสงสัยที่เหมาะสมอะไรกัน? ความสงสัยนี้ของเจ้าไม่มีเหตุผลแม้สักนิด”