บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 109 ฉู่หมิงชุ่ยหมดสติ
อันที่จริงหยวนชิงหลิงไม่ออกมาทานข้าวมื้อนี้ก็ได้ นางก็มีเหตุผลที่จะอ้างได้ สามารถพูดว่าบาดแผลของนาง หรือเพราะร่างกายของนางต้องกินอาหารคนป่วย แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของแม่นมสี่ นางก็เลยจะมาสังเกตพระชายาจี้อีกครั้ง ดูว่านางใช่คนสองหน้าหรือคนหลายหน้าหรือเปล่า
เมื่อหยู่เหวินเห้าเห็นนางมา สีหน้าก็แย่กว่าเมื่อวานอีก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา “กินยาหรือยัง?”
“กินแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบกลับ เพียงแต่ นางกินยาของตัวเอง ยาที่หมอหลวงสั่ง กินไปหนึ่งคำ ก็เวียนหัวหนักมาก หาทางเททิ้งไปแล้ว
“กินแล้วก็ดี หากข้าเห็นว่าเจ้าแอบเททิ้ง เจ้าต้องโดนดีแน่” หยู่เหวินเห้ากดเสียงข่มขู่
หยวนชิงหลิงหดคอเล็กน้อย “ไม่กล้า”
เขานั้นขู่จริง หยวนชิงหลิงก็ละอายใจจริงๆ เพียงแต่ คำพูดนี้เมื่อเข้าหูของฉู่หมิงชุ่ย กลับเหมือนคู่รักกำลังพูดหยอกล้อกัน
หลังจากนั่งประจำที่แล้ว หยู่เหวินเห้านั่งอยู่ด้านซ้ายของนาง ฉู่หมิงชุ่ยนั่งอยู่ด้านขวาของนางข้างอ๋องฉี จากนั้นก็เป็นพระชายาจี้ อ๋องจี้ ยังมีซุนอ๋อง
เหล่าข้ารับใช้เข้ามาดูแลปรนนิบัติ อ๋องซุนกลับยกมือขึ้นห้าม “วันนี้พี่น้องกินข้าวด้วยกัน ไม่ต้องมาปรนนิบัติแล้ว ออกไปให้หมด”
ให้ข้ารับใช้ตักอาหารให้ ไม่ได้ดั่งใจและไม่รู้ว่าคนกินชอบอะไร ไม่สู้ตัวเองอยากกินอะไรก็คีบอันนั้น
อยู่ในยุคปัจจุบัน หยวนชิงหลิงเป็นคนที่ได้รับการศึกษาสูงคนหนึ่ง รู้มารยาทบนโต๊ะอาหารดี ไม่มีทางกินกินมุมมามเหมือนอ๋องซุน นางเข้าใจว่าตัวเองนั้นกินได้เรียบร้อยมากแล้ว
แต่เมื่อเห็นฉู่หมิงชุ่ยกับพระชายาจี้สองคนนี้กินข้าว นางเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นหยาบกระด้างแค่ไหน
เห็นฉู่หมิงชุ่ยอ้าปากเล็กน้อย เห็นเพียงฟันหน้าสองซี่ ตะเกียบที่คีบข้าวคีบอยู่ประมาณ……..นางนับดูแล้ว คีบข้าวอยู่ประมาณห้าเม็ด คำแค่นี้ก็ใส่เข้าไปในปาก ปิดปากเคี้ยวอย่างเบาๆไปหลายที จากนั้นค่อยๆกลืนลงไป ท่าทางนี้ดูสง่ามาก โดยเฉพาะตอนที่ข้าวถูกกลืนลงคอนั้น คอได้ยื่นขึ้นมาเล็กน้อย มองตรงนั้นขยับไปหนึ่งที ดูสง่างามและสวยงาม
สำหรับการกินกับข้าว โดยพื้นฐานแล้วนางไม่กินเนื้อสัตว์เลย กินเพียงรากบัวกับผัดเห็ด คีบรากบัวหนึ่งชิ้นขึ้นมา กัดไปเพียงแค่…..นางประมาณดูก่อน น่าจะกัดไปแค่หนึ่งมิลโดยประมาณ ท่าทางที่กัดก็สง่างามมาก เห็นฟันแวบเดียว ไม่มีเสียงอะไรเลย ยังคงปิดปากแล้วเคี้ยวอย่างเบาๆ แล้วกลืนลงไป
พระชายาจี้ก็เช่นกัน
หยวนชิงหลิงมองหมูสามชั้นตุ๋นน้ำแดงที่อยู่ในถ้วยข้าวตัวเองอย่างสับสน
จริงๆมันก็แค่หมูสามชั้นหนึ่งชิ้น ที่เต็มไปด้วยไขมัน อีกอย่างนางคิดว่าการกัดแค่หนึ่งมิลนั้นไม่สามารถที่จะลิ้มรสความนุ่มเด้งและความหอมหวนของเนื้อได้ จำเป็นต้องกินเข้าไปทั้งชิ้น ให้ไขมันไปแตกกระจายในปาก ตรงกระพุ้งแก้มเหลือไว้ความหอม มันถึงจะเป็นสุดยอดแห่งการกิน
นางไม่อยากที่จะวิจัยพฤติกรรมการกินของผู้หญิงสมัยนี้ มันช่างไม่ดีเอาเสียเลย
เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม นางทำได้เพียงคีบหมูสามชั้นตุ๋นที่อยู่ในถ้วยให้กับหยู่เหวินเห้าอย่างจำใจ “มันเกินไป ข้ากินไม่ลง ข้ากินผักละกัน”
หยู่เหวินเห้าคิดก็ไม่คิด ก็คีบมันขึ้นมาใส่เข้าไปในปาก จากนั้นก็เลือกชิ้นที่ไม่ค่อยมันให้นาง “ชิ้นนี้ไม่ค่อยมัน”
ช่วงเวลานี้แม้ว่าจะทะเลาะกันไปมา แต่ว่า มันได้ชินกับการมีตัวตนของอีกฝ่ายไปแล้ว ก็รู้ใจกันโดยปริยาย เรื่องนี้สำหรับเขาทั้งสองมันเป็นการกระทำที่เขาทำการในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว
แต่ในสายตาของฉู่หมิงชุ่ย มันเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนใจมาก
แม้นางกับอ๋องฉี ในสายตาคนนอกเป็นผัวเมียที่รักกัน เขาก็ไม่เคยกินของที่นางเคยกิน
ท่านพี่เห้าเคยเกลียดหยวนชิงหลิงมากไม่ใช่เหรอ? มันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน พวกเขาถึงได้สนิทชิดเชื้อกันเพียงนี้?
ไม่ได้ ไม่ได้ เขาเคยบอกว่าจะช่วยนาง
ฉู่หมิงชุ่ยอารมณ์ขึ้นอย่างกะทันหัน เลือดที่อัดอยู่ในใจ พุ่งไปสู่สมองโดยตรง คิดยังไม่ทันคิด นางก็กุมหน้าอก แล้วล้มลงไป
อ๋องฉีอุ้มนางเอาไว้ กล่าวอย่างตกใจ “ชุ่ยเอ๋อ ชุ่ยเอ๋อ เจ้าเป็นอะไร?”
หยวนชิงหลิงวางตะเกียบลง วิ่งไปสั่งการ “รีบอุ้มนางไปที่เรือนรับรอง ให้นางนอนราบ เมื่อก่อนนางเป็นโรคอะไร? ช่วงนี้กินยาอะไรไปบ้าง?”
นี่เป็นทักษะทางการแพทย์ล้วนๆ
อ๋องฉีอุ้มนาง ตื่นตระหนก “ไม่ป่วยนะ นางไม่เป็นไร และก็ไม่ได้กินยาอะไร ยา……ใช่ มี มียาบำรุงเพื่อตั้งครรภ์ที่หมอหลวงสั่ง”
พระชายาจี้ได้ยิน รอยยิ้มในแววตาปิดบังไม่อยู่เลย “เป็นเพราะร่างกายอ่อนแอจึงบำรุงไม่ได้หรือเปล่า?”
อ๋องฉีส่งเสียงอ๋าไปหนึ่งที ก็กล่าวอย่างตกตะลึง “ร่างกายอ่อนแอบำรุงไม่ได้เหรอ?”
เขามองไปที่หยวนชิงหลิง “งั้น ท่านพี่สะใภ้ห้าเขามาช่วยเถอะ”
หยู่เหวินเห้าจับแขนของนางเอาไว้ แล้วกล่าว “พาไปที่เรือนรับรองก่อน ในจวนมีหมอหลวง เดี๋ยวให้หมอหลวงไปดูอาการ”
“ได้!” อ๋องฉีอุ้มฉู่หมิงชุ่ยแล้วเดินออกไป มีแม่นมฉีนางทาง
ทุกคนั่งลงไปอีกครั้ง ต่างไม่มีความอยากอาหารแล้ว นอกจากอ๋องซุน
พระชายาจี้หัวเราะกล่าว “คิดไม่ถึงเพิ่งแต่งงานยังไม่ถึงปี ก็ใจร้อนขนาดนี้แล้ว”
อ๋องซุนที่กินไปพูดไป “จะไม่ให้ใจร้อนได้อย่างไร? บัดนี้พวกเราพี่น้องยังไม่มีใครมีลูกชายแม้แต่คนเดียว”
อ๋องจี้ยิ้มอย่างลำบากใจ “งั้นน้องรองก็พยายามหน่อยละกัน”
“ข้าพยายามอยู่แล้ว พี่ใหญ่ก็ต้องพยายามด้วยนะ” อ๋องซุนที่กินอยู่ยังเจียดเวลามามองอ๋องจี้แวบหนึ่ง “ท่านพี่ใหญ่ใจร้อนแล้วใช่มั้ย?”
อ๋องจี้เพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้นมา ได้ยินคำพูดนี้ ก็ค่อยๆวางมันลง กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้ามีความคิดเห็นต่อข้ายังไงก็พูดออกมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องพูดเหน็บแนม ข้าจำได้ว่าไม่เคยล่วงเกินเจ้า”
“ไม่มีนี่นา อ๋องซุนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ แต่ไหนแต่ไรข้าก็พูดจาแบบนี้ พูดเหน็บแนมตั้งแต่เมื่อไหร่? เรื่องมีลูกชายใครไม่ใจร้อนบ้าง ข้าก็ยังใจร้อนเลย ก็พูดไปอย่างนั้น ท่านพี่ใหญ่จะตื่นเต้นทำไม?”
อ๋องจี้ทำเสียงฮึ่มไปหนึ่งที ดึงตัวพระชายาจี้ “คุยกันไม่รู้เรื่อง ไป”
พระชายาจี้กล่าวขอโทษหยวนชิงหลิง “งั้นพวกเราไปก่อนนะ”
หยวนชิงหลิงทำความเคารพ “ค่อยๆเดิน”
พี่น้องแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ว่าหยวนชิงหลิงนั้นดีใจมาก อย่างน้อยมื้อนี้ก็กินได้แบบสบายมากขึ้น
นางนั่งลง กล่าวกับอ๋องซุน “พวกเขาไม่กิน เรากินเยอะหน่อย อย่าสิ้นเปลือง ล้วนเป็นผักสดและเนื้อสด”
“ที่จริงข้าอิ่มแล้ว เพียงแต่อาหารเยอะขนาดนี้ ใช้วัตถุดิบชั้นดี ก็เป็นความตั้งใจของพ่อครัวในวัง หากไม่กินก็น่าเสียดาย กินอีกหน่อยละกัน”
หยู่เหวินเห้ากลับไม่กินแล้ว เพียงนั่งลงมาแล้วมีท่าทางที่ครุ่นคิด
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาเป็นห่วงฉู่หมิงชุ่ย ก็เลยกล่าวขึ้น “นางไม่เป็นอะไรหรอก”
ฉู่หมิงชุ่ยนั้นแกล้งสลบ เมื่อตอนที่นางลุกขึ้นถามได้มองดูแล้ว ขนตาของฉู่หมิงชุ่ยกำลังขยับ หายใจปกติ สีหน้าแดงก่ำไม่ได้ซีดขาวหรือคล้ำ เห็นได้ว่านางนั้นอารมณ์ขึ้นอย่างกะทันหัน
เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆนางก็อารมณ์ขึ้น ตอนนั้นทุกคนกำลังกินข้าว นางโมโหเรื่องอะไร?
หยู่เหวินเห้ามองนางอย่างเฉยชา “อวดฉลาด”
เขานั้นไม่ใช่เพราะฉู่หมิงชุ่ย เขามองแวบเดียวก็รู้ว่าฉู่หมิงชุ่ยนั้นแกล้งสลบ
เขารู้สึกแปลกใจ เมื่อกี้ท่านพี่รองแค่พูดแบบนั้น ทำไมท่านพี่ใหญ่จึงโกรธขนาดนั้น? ยังมีอีก สีหน้าของพระชายาก็ไม่ธรรมชาติไปทันที
โดยปกติคนอย่างท่านพี่รองก็พูดจาแปลกๆอยู่แล้ว เมื่อก่อนยังหนักกว่านี้อีก ทำไมวันนี้เขาถึงโกรธ?
หากเพราะเรื่องไม่มีลูกชาย ในบรรดาอ๋องที่มากมาย ก็ไม่มีใครมีลูกชายเลย ไม่ใช่เขาคนเดียวสักหน่อย
อย่างไรก็ตาม พูดขึ้นมาแล้ว ทำให้นึกถึงบัดนี้ท่านพี่ใหญ่มีชายารองแค่เพียงคนเดียว เดิมในจวนมีชายารองสองคน ป่วยตายไปแล้วหนึ่งคน ก็ไม่ได้แต่งเพิ่ม ถึงขนาดที่เมียน้อยที่หน้าตาดีก็จากไปทีละคน
บัดนี้เขามีเพียงลูกสาวสองคน อายุเกือบสิบขวบแล้ว
อ๋องจี้กับชายารองก็ไม่มีลูกสักที เขาก็ได้แต่งชายาเพิ่ม