บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1099 ช่วยไว้ได้อย่างเหมาะเหม็ง
ในโลกใบนี้ ถ้าจะบอกว่าคนไม่มีหัวใจกลับสามารถเข้าใจจิตใจคนอื่นได้ ก็น่ากลัวว่าจะไม่มีใครเชื่อแน่
ฮุ่ยเทียนเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง แต่แทนที่เขาจะเข้าไปในเรือน เขากลับลังเลอยู่ตรงทางแยกบนถนนครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไปทางด้านซ้าย
ชั่วขณะนั้น ตัวเขาเองไม่สามารถพูดได้ว่าทำไม แต่มันเหมือนว่ามีบางอย่างในความมืด ที่ดึงดูดให้เขาเลือกไปทางซ้าย
หลังจากไล่ตามไปประมาณหนึ่งก้านธูป ก็เห็นเกี้ยวอยู่ข้างหน้า มีคนสี่คนกำลังแบกเกี้ยวหลังนั้นอยู่ ฝีเท้าเบามาก ส้นเท้าแทบไม่แตะพื้น เขาจึงหยุดมองอย่างสงสัย ส่งเสียงตะโกนออกไปเสียงหนึ่งว่า “หยุดก่อน !”
คนแบกเกี้ยวไม่หยุด ตรงกันข้าม พวกเขากลับสะกิดปลายเท้าพร้อมกัน ใช้วิชาตัวเบาเหินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ฮุ่ยเทียนทะยานร่างขึ้นไป ประดุจห่านป่าที่ถลาลงมาจิกเหยื่อ กระบี่ยาวถูกดึงออกจากฝัก ประกายแสงเย็นเยียบส่องวาบผ่านเพียงพริบตา คนแบกเกี้ยวทิ้งตัวลงพื้น สามคนหันหลังมามองอย่างรวดเร็ว ชักกระบี่ออกจากฝักแล้วเหินเข้ามาสู้กับฮุ่ยเทียน
ส่วนอีกคน ไปดึงตัวฮูหยินเหยาออกมาจากเกี้ยว
ฮูหยินเหยาถูกวางยา ถูกแบกง่อนแง่นโงนเงนมาตลอดทาง เมื่อครู่ก่อนจะถึงเรือนแยกนั้น นางก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแล้ว แต่เพราะยามีฤทธิ์แรงมาก นางจึงคล้ายเป็นอัมพาต แทบจะขยับตัวไม่ได้ สติก็ยังไม่ค่อยแจ่มชัดนัก แต่นางก็รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตราย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่คนเหล่านี้เปลี่ยนทิศทางกะทันหัน นางได้ยินคนแบกเกี้ยวพูดว่า “มีคนตามมา แยกย้าย!”
ในเวลานั้น นางรู้สึกว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาแล้ว เพราะทันที่ที่พวกนี้ถอยหนี นางก็จะถูกพาตัวไปขังไว้ที่อื่น และอาจไม่มีใครรู้ว่านางอยู่ที่ไหนอีกเลย
แต่ถึงอย่างไร สุดท้ายนางก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เพื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายถึงชีวิตจะไม่กลัวได้อย่างไรกัน? นางขยับตัวไม่ได้ ทั้งยังไม่มีแรงขัดขืน ทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม
นางได้ยินเสียงร้องตะโกนให้หยุดของฮุ่ยเทียน นางยังคิดอยู่ว่าตัวเองหูฝาด จนกระทั่งคนแบกเกี้ยวจู่ ๆ ก็กระโดดขึ้นเหินหนีอย่างรวดเร็ว นางถูกลากตัวถูลู่ถูกังไปเจ็ดแปดตลบ คลื่นไส้จนแทบจะอาเจียนออกมาให้ได้แล้ว ถึงได้รู้สึกว่านี่คือเรื่องจริง
เขามาแล้วจริง ๆ!
ขอบตาของฮูหยินเหยาพลันร้อนผ่าว รู้สึกว่าวันนี้ต่อให้ต้องมาตายที่นี่ก็คุ้มค่าแล้ว อย่างน้อย ก็ยังมีคนที่เต็มใจยอมแลกด้วยชีวิตเพื่อนาง
เมื่อถูกคนแบกเกี้ยวลากตัวออกมา ท่ามกลางความตื่นตระหนก นางจึงหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง ทันได้เห็นเขาเหินกายพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางเงากระบี่ ประกายแสงที่ฉวัดเฉวียน ดวงตาแดงก่ำด้วยไอสังหาร นางก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร จมูกของนางพลันแสบร้อน และแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้น
ฮุ่ยเทียนกำลังต่อสู้ติดพัน เห็นว่านางถูกคนแบกเกี้ยวลากตัวไป ทั้งยังหันกลับมามองด้วยน้ำตานองหน้า จึงเข้าใจว่าถูกคนแบกเกี้ยวทำให้บาดเจ็บ ในใจพลันโกรธสุดขีด กระตุ้นปราณกระบี่อย่างรุนแรง พลังปราณพวยพุ่งออกมาอย่างดุร้ายเฉียบขาดน่าสะพรึง ทุ่มพลังทั้งหมดเข้าสู้อย่างไม่คิดชีวิต จนทำให้คนแบกเกี้ยวคนอื่นต่างตกใจกลัว ฝืนต้านเพื่อเปิดทางให้คนแบกเกี้ยวที่จับตัวฮูหยินเหยาไว้คนนั้นหนีไปให้จงได้
แต่เพลงกระบี่ของฮุ่ยเทียนนั้น มีความรุนแรงดุดันอย่างยิ่ง มีหรือที่สายลับอย่างพวกเขาจะต้านทานได้? หลังจากผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า พวกที่รุมล้อมเขาอยู่ก็ถูกกำจัด ฮุ่ยเทียนเหินไปข้างหน้า พริบตาที่ทิ้งตัวลงกับพื้น กระบี่ก็ไปจ่ออยู่ที่คอของคนแบกเกี้ยว
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า คนแบกเกี้ยวก็รู้แล้วว่าถ้าตกไปอยู่ในมือคนพวกนี้ ตัวเองก็คงไม่สามารถอยู่รอดปลอดภัยได้แน่อยู่แล้ว จึงแข็งใจตวัดกระบี่แล้วส่งตรงไปที่หน้าอกของฮูหยินเหยา มือของฮุ่ยเทียนพลันยื่นออกไปอย่างรวดเร็ว สกัดกั้นอยู่ตรงส่วนหน้าอกของฮูหยินเหยา กำปลายดาบไว้แน่น เลือดสด ๆ พลันไหลอาบลงมาจากฝ่ามือของเขา ในเวลาเดียวกัน กระบี่ในมืออีกข้างของฮุ่ยเทียนก็วาดผ่านลำคอของคนแบกเกี้ยว เป็นการออกแรงเพียงเบา ๆ เลือดก็พุ่งสาดกระจายออกมา คนก็ล้มลงไปกับพื้นทันที
ฮูหยินเหยาแทบจะยืนไม่อยู่ ฮุ่ยเทียนช่วยพยุงนาง ฮูหยินเหยามองที่มือของเขา ในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง “เจ้า… ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย?”
หลังจากที่ฮุ่ยเทียนช่วยพยุงนางให้นั่งลงแล้ว ก็ฉีกชายผ้าออกมาชิ้นหนึ่ง นำมาพันที่ฝ่ามือ รัดให้แน่นเพื่อหยุดเลือด สีหน้าของเขาดูเรียบสนิทไม่แยแส พูดว่า “ผิวหยาบหนังเหนียวอย่างข้าน่ะ ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ฮูหยินเหยาส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร แค่ไม่มีแรงเฉย ๆ”
ฮุ่ยเทียนนั่งลงข้าง ๆ นาง “ เช่นนั้นข้าจะพักผ่อนกับเจ้าที่นี่สักครู่ รอให้ฤทธิ์ยาของเจ้าบรรเทาลงแล้ว ค่อยกลับไปพร้อมเจ้า ”
เขาเคยสาบานไว้ว่า ถ้าหากนางไม่อนุญาต ก็จะไม่แตะต้องนางแม้แต่น้อยนิด เมื่อครู่ที่เขายื่นมือไปช่วยนาง เป็นเพราะเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนั้น
ที่แก้มของเขามีรอยฟกช้ำ กับมีรอยคราบเลือดสายหนึ่งเปื้อนอยู่เล็กน้อย คราบเลือดเริ่มจับตัวเป็นลิ่มอย่างรวดเร็ว พอเช็ดออก คราบเลือดนั้นดูเหมือนตะขอที่แขวนอยู่บนแก้มกับใต้ดวงตาของเขามากผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย เสื้อผ้าตรงไหล่ก็ขาดเป็นรอยโหว่อีกจุดหนึ่งด้วย
เขาเห็นสายตาของนางจ้องมองมา จึงรีบอธิบายว่า: “ข้ากำลังฝึกวรยุทธ์อยู่บนยอดเขาหมาป่าหิมะ อะซี่ไปตามหาข้าที่นั่น ตอนที่ข้าลงจากภูเขามาไม่ทันระวัง ก็เลยล้มกลิ้งลงมานิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
ฮูหยินเหยาจ้องมองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง พูดขึ้นว่า “ขอบคุณมาก!”
“ข้าได้รับคำสั่งให้คอยปกป้องเจ้า!” ฮุ่ยเทียนย้ายสายตาออกไป ไม่กล้าสบตากับนางตรง ๆ
คำพูดเหล่านี้ ทำให้ฮูหยินเหยาไม่รู้จะพูดอะไรดีไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบา ๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรออกมาด้วยเช่นกัน
หยู่เหวินเห้ากับท่านชายสี่ร่วมมือกันได้ดีมาก คนหนึ่งนำกำลังคนของสำนักเหลิ่งหลังแอบย่องเข้ามาจากด้านข้างกำแพง ส่วนคนที่อยู่ด้านในก็เตรียมพร้อมปะทะเต็มที่ ทันทีที่หยู่เหวินเห้าขึ้นมาจากทางน้ำ ก็สามารถฆ่าคู่ต่อสู้ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
แต่ว่า ทั้งสองต่างก็เป็นกองกำลังชั้นยอดทั้งคู่ จึงให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการใช้ทรัพยากรที่ทับซ้อนกัน จนกลายเป็นการใช้กำลังคนที่ออกจะฟุ่มเฟือยเกินไปหน่อย
ท่านชายสี่ยังไม่ได้ออกสักกี่กระบวนท่า คนทั้งหมดก็ถูกกำจัดเสียแล้ว ทังหยางถูกขังอยู่ในห้องมืดห้องหนึ่ง ตอนที่หยู่เหวินเห้าไปถึง สายลับกำลังจะพาเขาหนีออกไป เมื่อเห็นว่าหยู่เหวินเห้ามาถึงแล้ว ก็ยกดาบขึ้นเพื่อจะฆ่าทังหยางทิ้ง
กระบี่เร็วของหยู่เหวินเห้าพุ่งออกไปทันที กระบี่เหินตรงไปแทงทะลุหัวใจของสายลับ จนขาดใจตายลงตรงนั้น
พริบตาที่ได้เห็นทังหยาง หัวใจของหยู่เหวินเห้าก็เหมือนถูกบีบจนเครียดเขม็ง ทั่วทั้งร่างของเขาแทบไม่มีส่วนที่เป็นผิวเนื้อดี ๆ หลงเหลืออยู่เลย ต้องอ้าปากกว้างเพื่อสูดหายใจอย่างยากลำบาก
เมื่อเห็นลิ้นของเขาถูกตัดออก ดวงตาของหยู่เหวินเห้าก็พลันแสบร้อน เกิดความโกรธแค้นเหลือจะเอ่ย ชั่วขณะที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงทังหยาง ท่านชายสี่ก็พาตัวทังหยางอีกคนเข้ามา
เมื่อเห็นทังหยางที่อยู่บนพื้น ท่านชายสี่ก็ตกตะลึง “นี่มันอะไรกัน? มีทังหยางสองคนรึ!?”
หยู่เหวินเห้าเองก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน ทังหยางที่ท่านชายสี่พยุงมาดูมึนงงไม่ค่อยมีสติ ทั่วทั้งร่างไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่งตัวเรียบง่าย มีไฝที่คางเม็ดหนึ่ง นอกไปจากนั้น อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าล้วนเหมือนกันหมดทุกประการ
ทังหยางที่นอนอยู่บนพื้นสวมชุดสีเขียว เสื้อผ้าชุดนี้เป็นชุดที่ทังหยางมักสวมอยู่บ่อย ๆ แค่เห็นแวบแรกหยู่เหวินเห้าก็จำได้ทันที
และที่สำคัญ ทังหยางไม่มีไฝที่คาง
ท่านชายสี่กับหยู่เหวินเห้าหันมองหน้ากัน ท่านชายสี่ยื่นมือไปดึง ๆ ที่ใบหน้าของทังหยางคนที่อยู่ข้างเขา แต่กลับดึงอะไรออกมาไม่ได้เลย “เป็นผิวหน้าคนจริง ๆ!”
หยู่เหวินเห้าพยุงทังหยางบนพื้นขึ้นนั่ง ใช้มือจับ ๆ ที่ใบหน้าของเขาแล้วพูดด้วยความงงงันว่า: “นี่ก็เป็นผิวหน้าของคนจริง ๆ เหมือนกัน ไม่ใช่การปลอมตัว”
ทังหยางที่อยู่บนพื้นเอื้อมไปจับมือหยู่เหวินเห้า ส่งเสียงอึกอักในลำคอเบา ๆ แววตาของเขาดูจริงจัง ราวกับพยายามจะบอกหยู่เหวินเห้าว่าเขาคือทังหยางตัวจริง
ในทางกลับกัน คนที่ยืนอยู่ข้างท่านชายสี่ยังคงมีอาการมึนงงเหมือนคนสมองเสื่อม ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ทั้งสิ้น ราวกับว่าเขาไม่รู้จักหยู่เหวินเห้าเลยด้วยซ้ำ
นี่มันแปลกจริง ๆ
หยู่เหวินเห้าพูดว่า: “ต้องมีคนหนึ่งที่เป็นตัวปลอม พวกนั้นคงวางแผนไว้ว่าจะฆ่าทังหยางตัวจริง แล้วให้พวกเราช่วยตัวปลอมออกไป แต่เห็นได้ชัดว่ายังเตรียมการได้ไม่พร้อม พวกเราก็มาถึงกันก่อนแล้ว”
ท่านชายสี่ถามเขาว่า “เจ้าคลุกคลีอยู่กับทังหยางมาหลายปีแล้ว คนไหนคือตัวจริงล่ะ?”
เป็นธรรมดาที่หยู่เหวินเห้าย่อมให้ภาษีคนที่นอนอยู่บนพื้นมากกว่า แต่เพราะลิ้นของเขาถูกตัดขาดไปแล้ว ทั้งยังเห็นว่าสิบนิ้วของเขาถูกใช้เครื่องทรมานจนมันผิดรูป นิ้วจึงทั้งบวมและบิดเบี้ยวมากจนถ้าให้เขาเขียนหนังสือ เขาก็คงจะเขียนไม่ได้แล้วแน่ ๆ
เส้นผม ใบหน้า สีผิว ส่วนสูง คิ้ว ตา ไม่มีทางไหนที่จะค้นหาความแตกต่างได้เลยแม้แต่น้อย ยกเว้นเพียงอย่างเดียว ก็คือไฝใต้คางเม็ดนั้น
หยู่เหวินเห้าตกตะลึงอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง ค่อยพูดกับท่านชายสี่ว่า : “อย่างที่ทุกคนรู้ ที่ใต้คางของทังหยางไม่มีไฝ”
ท่านชายสี่ย่อมรู้ดี เขายื่นมือออกไปหยิกไฝที่ใต้คางของทังหยางคนที่ยืนอยู่ข้างเขา ไฝนั้นไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เขาโพล่งออกมาว่า “เป็นไฝจริงๆ!”