บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1102 อ๋องผิงหนานมาถึงเมืองหลวง
หลายปีมานี้สำนักเหมยแดงไปมาจนทั่ว ทำงานให้กับหยู่เหวินเห้าไม่น้อย และก็เพราะพวกนางทำงานให้กับองค์ชายรัชทายาท ดังนั้น ไม่ว่าจะในเมืองหลวงหรืออยู่ในยุทธภพ ล้วนตั้งหลักรากฐานได้อย่างรวดเร็ว คนสำนักเหมยแดงไม่ว่าไปถึงไหน ในมือถือตราสัญลักษณ์สำนักเหมยแดง ล้วนรู้สึกมีเกียรติอย่างมาก
ครั้งนี้เพราะมีไส้ศึกทำให้องค์ชายรัชทายาทเกือบเอาชีวิตไม่รอด คนในสำนักต่างก็รู้ดี แต่ทุกคนต่างก็ไม่ยินยอมที่จะสลายสำนักเหมยแดง ต่างคุกเข่าร้องไห้ บอกว่าพวกนางอยู่ด้วยกันมาตลอด เมื่อสลายจากกันแล้ว ก็ต้องต่างคนต่างไป พวกนางส่วนใหญ่ไม่มีบ้านแล้ว ต่อให้มีบ้าน แต่ก็ทนจากลาจากกันได้อย่างไร?
เสี้ยวหงเฉิงฟังอยู่อย่างเสียใจ พร้อมพูดขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะให้เงินพวกเจ้าจำนวนหนึ่ง ภายในสามถึงห้าปี พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อน ส่วนต่อไปภายหน้า ข้าก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
พูดเสร็จ ก็อดกลั้นน้ำตาไว้แล้วก็ออกไป
กลับคิดไม่ถึง เมื่อนางไปแล้ว คนของสำนักเหมยแดง กลับมาไปขอร้องถึงจวนอ๋องฉู่ ขอให้องค์ชายรัชทายาทช่วยพูดกับเจ้าสำนัก ว่าไม่ต้องสลายสำนักเหมยแดง
เรื่องนี้ หยู่เหวินเห้าไม่ออกหน้า ให้หยวนชิงหลิงออกหน้าไปจัดการ ยังไงผู้หญิงกับผู้หญิงก็คุยกันได้ดีกว่า
หยวนชิงหลิงก็รู้เรื่องที่เสี้ยวหงเฉิง จะสลายสำนักเหมยแดง และก็รู้ว่าเพราะมีไส้ศึก ทำให้เสี้ยวหงเฉิงท้อแท้หมดกำลังใจ พี่น้องที่ติดตามนางมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ ยังสามารถทรยศนางได้ ยังฆ่ารองเจ้าสำนักเหมยแดงอย่างโหดเหี้ยม นางรับไม่ได้
หยวนชิงหลิงจึงออกหน้า อยากที่จะพูดโน้มน้าวทุกคน สลายก็สลายเถอะ นางเองก็จะให้เงินจำนวนหนึ่งกับทุกคน ยังไงหลายปีมานี้สำนักเหมยแดง ก็ทำงานให้กับเจ้าห้ามาตลอด
แต่แล้วหญิงสาวพวกนี้กลับก็ไม่รับเงิน พูดเพียงว่าไม่ยอมที่จะสลายสำนักเหมยแดง พวกนางส่วนมากต่างก็พูดว่า จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ก็จะไม่ไปจากสำนักเหมยแดง จะจงรักภักดีต่อเจ้าสำนักไปจนตาย ฟังจนหยวนชิงหลิงซาบซึ้งใจ
สุดท้าย จึงทำได้เพียงไปคุยกับเสี้ยวหงเฉิง
ที่จริงเสี้ยวหงเฉิงเองก็ทำใจไม่ได้ เมื่อรู้ว่าคนของสำนักมาขอร้องถึงจวนอ๋องฉู่ พูดว่าจะไม่พรากจากกันตลอดชั่วชีวิตนี้ น้ำตาของนางก็ไหลร่วงหล่นลงมา
นางยกมือทั้งคู่ปิดหน้า พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าก็ทำใจทิ้งพวกนางไม่ได้ ทำใจไม่ได้ที่จะแตกสลายจากกัน แต่บางทีอาจเป็นเพราะข้าอ่อนแอแล้ว เปราะบางแล้ว กลัวที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้อีกครั้งอย่างมาก การทรยศสำหรับข้า เป็นความเจ็บปวดใจอย่างที่สุด สำนักเหมยแดงทำงานให้กับองค์ชายรัชทายาท หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก จะเป็นการทำร้ายองค์ชายรัชทายาท ทำร้ายเป่ยถัง ข้ารับผิดชอบไม่ไหว”
หยวนชิงหลิงเห็นนางเช่นนี้ การออกไปในครั้งนี้ บาดแผลบนตัวยังไม่หาย ยังต้องมาแบกรับความกดดันทางสภาพจิตใจขนาดนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ นางแทบไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “สำนักเหมยแดง ยังไม่ต้องสลายจะดีกว่า พวกนางอยู่กับเจ้ามาตั้งนานหลายปีแล้ว แยกจากกันแล้วเจ้าเองก็ทำใจไม่ได้ ส่วนต่อไปจะทำงานให้กับเจ้าห้าหรือไม่ ที่จริงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ในมือของเขาก็มีคนจำนวนหนึ่งแล้ว เจ้าควรที่จะอยู่เพื่อตนเอง”
เสี้ยวหงเฉิงร้องห่มร้องไห้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าลองคิดดูก่อน”
นางพาคนกลับไปแล้ว ส่วนจะสลายสำนักหรือไม่ หยวนชิงหลิงคิดว่า ให้เจ้าห้าไม่ต้องยุ่งจะดีกว่า ให้นางตัดสินใจด้วยตนเอง
อ๋องผิงหนานกำลังจะมาถึงเมืองหลวง ทางด้านผู้ใหญ่ทั้งสาม ล้วนตื่นเต้นอย่างมาก ขนสุราอย่างดีเข้าวังไปอย่างมากมาย ไท่ซ่างหวงถึงขั้นสั่งคนไปยังหมู่ตึกเหมย ดูว่าอ๋องชินเฟิงอันสองสามีภรรยาอยู่ที่นั่นไหม หากอยู่ ก็ให้กลับมาเจอกันที่เมืองหลวง
เดิมตอนนี้ในราชสำนักก็มีคนสงสัย ว่าเบื้องหลังนี้มีอำนาจของอ๋องชินเฟิงอันเคลื่อนไหวอยู่ ตอนนี้ไท่ซ่างหวงเรียนเชิญมา เท่ากับเป็นการทำลายคำพูดร่ำลือพวกนี้ ถึงแม้จะมีคนเชื่อ แต่ก็มีคนคิดว่า ไท่ซ่างหวงเลอะเลือนไปแล้ว ภายใต้ความระแวงเช่นนี้ ทำไมถึงไม่ป้องกัน?
ตอนที่เน่ย์เก๋อ(คณะรัฐมนตรี)คุยเรื่องการเมือง ก็มีขุนนางถวายฎีกาว่า หลังจากอ๋องผิงหนานมาถึงเมืองหลวง จัดให้อยู่ที่โรงเตี๊ยมจะดีที่สุด รอเมื่อเรื่องราวสืบสวนกระจ่างแล้ว ค่อยเข้าวังหลวง หยู่เหวินเห้ากับอ๋องชินลุ่ยต่างไม่ยอม บอกว่าไท่ซ่างหวงรอคอยมานาน หากจัดให้อ๋องผิงหนานพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม จะเป็นการไม่ให้เกียรติ
จึงเกิดการโต้เถียงขัดแย้งกันขึ้น แต่เพราะท่าทีอ๋องชินลุ่ยกับหยู่เหวินเห้าค่อนข้างมุ่งมั่น การขัดแย้งจึงถูกระงับลง แต่ยังไงคนก็ยังมาไม่ถึง ก็ทำให้คนในราชสำนักเกิดความระแวง แสดงว่า การมาเมืองหลวงของอ๋องผิงหนานในครั้งนี้ จะดึงดูดความสงสัยขนาดไหน
นี่ยังเป็นเพียงการคุยเรื่องการเมืองของเน่ย์เก๋อ(คณะรัฐมนตรี) หากเป็นในที่ว่าราชการเช้า เกรงว่าจะต้องเป็นคำพูดที่ยิ่งไม่น่าฟังกว่านี้
หยู่เหวินเห้าคิดว่า โชคดีที่เซียวเหยากงกับโสวฝู่ไม่อยู่ ไม่เช่นนั้น คงจะทำให้พวกเขาโกรธจนกระอักเลือด
เพราะระหว่างทางมีคนมาส่งจดหมาย ดังนั้นตามที่คาดการณ์การเดินทาง เช้าวันที่สิบ อ๋องผิงหนานก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว
หยู่เหวินเห้าออกไปต้อนรับที่หน้าประตูเมืองด้วยตนเอง กลับเห็นเซียวเหยากงกับโสวฝู่ฉู่ก็มาด้วย รอจนถึงตอนเที่ยง ก็ไม่เห็นขบวนรถม้ามาถึง จึงส่งคนไปดู ค่อยทราบเรื่องว่า ระหว่างทางมีเหตุบางอย่างทำให้ต้องล่าช้า อย่างน้อยตอนพลบค่ำค่อยมาถึง
ขบวนต้อนรับ จึงต้องรอถึงตอนพลบค่ำค่อยมายังประตูเมืองอีกครั้ง และแล้ว ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังค่อยๆตกดิน ก็เห็นขบวนรถม้าของจวนอ๋องผิงหนานมาถึง
ขบวนรถม้าหยุดลง หยู่เหวินเห้าเดินนำหน้าไป ก่อนที่ผ้าม่านจะถูกเปิดออก ก็ยกมือประสานทำความเคารพแล้ว แสดงถึงความเคารพ
ผ้าม่านของรถม้าเปิดออก ก็มีคนมาประคองทันที มีคนแก่คนหนึ่งกับคนวัยกลางคนคนหนึ่งออกมาจากรถม้า คนแก่สวมชุดสีเขียว ภูมิฐานสง่างาม ความเป็นนักอ่านเผยให้เห็นชัดเจน ดูมีชีวิตชีวา ใบหน้าก็ไม่เห็นถึงความเมื่อยล้า
กลับกันกับคนวัยกลางคนคนนั้น อ๋องผิงหนานซื่อจื่อ กลับแลดูหงอย สีหน้าเหมือนคนป่วย ยังต้องมีคนประคองถึงจะสามารถเดินได้
คนแกชุดเขียว ก็คือหยู่เหวินจี๋พระราชนัดดาองค์ใหญ่ของฮ่องเต้เซี่ยน อ๋องผิงหนานในตอนนี้
เขามองดูหยู่เหวินเห้า สายตาเต็มไปด้วยความดีใจ
“เสด็จปู่ใหญ่ เสด็จลุง เดินทางมาลำบากแล้ว” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
คนที่มาต้อนรับ ก็เดินมาถวายบังคมอ๋องผิงหนาน
อ๋องผิงหนานยกมือ สายตามองผ่านทุกคน มองไปยังสองคนที่อยู่ข้างหลังขบวนนั่น
เซียวเหยากงเดินฝ่าฝูงคน ตะโกนอย่างสุดเสียงว่า “พี่จี๋เอ๋อร์”
พูดยังไม่ทันสุดเสียง คนก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว โผล่เข้ากอดอ๋องผิงหนานไว้ ตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด
โสวฝู่ฉู่ก็เดินมา มองดูทั้งสองเฒ่ากอดกัน น้ำตาแทบไหล
หยู่เหวินเห้าหลบให้ ให้พวกเขาสามคนได้คุยกันถึงเรื่องในอดีตก่อน ได้ยินเซียวเหยากงพูดพร้อมทั้งร้องไห้ว่า “จากกันครั้งนี้ นานหลายปีมากเลย ข้าจำได้ครั้งนั้นที่เจอกัน เป็นตอนที่ข้าเดินทางผ่านผิงหนาน ดื่มสุรากับเจ้าสองวัน สองวันนั้น ข้าอ้วกไปตั้งสองวัน เจ้าก็อ้วกไปตั้งหลายรอบ ตอนนี้กระเพาะยังดีอยู่ไหม?”
อ๋องผิงหนานหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “วันนี้ลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”
เขาจับมือเซียวเหยากงไว้ แล้วก็มองดูโสวฝู่ฉู่ จากนั้นมือทั้งสามก็ค่อยๆประสานจับมือกันไว้ บนใบหน้าของทั้งสามคน มองเห็นร่องรอยของวันเวลาที่ผ่านมา แต่เปี่ยมไปด้วยความสุขไม่รู้จบ
พระอาทิตย์อัสดงค่อยๆสาดส่องลงมาบนใบหน้าของทั้งสามคน แสงอันอบอุ่นนั่น สาดส่องบนใบหน้าของทั้งสามคนนั้น จนดูอ่อนโยนอย่างมาก ต่างน้ำตาซึม ตื่นเต้น ฮือฮา มีอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่าง หากไม่มีร่องรอยของวันเวลาที่ผ่านมา จะไม่สามารถเข้าใจ ว่าแววตาของเขานั้นหมายความว่าอะไร
เป็นภาพที่ เมื่อคนเห็นแล้วต่างก็ตื้นตัน
ในใจหยู่เหวินเห้าก็ตื้นตันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนมีบางอย่าง ล่วงผ่านไปหลายปี แล้วกลับคืนสู่ทั้งสามคน