บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1110 ไม่ใช่เขาแน่นอน
เรื่องที่ฉู่หมิงหยางถูกจับตัวขังไว้ ถือเป็นความลับไม่ให้คนภายนอกรู้
หยวนหย่งอี้รู้เรื่องอยู่แล้ว อ๋องฉีไม่มีความลับกับนาง หลังจากกลับไปแล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง
เช้าวันรุ่งขึ้น หยวนหย่งอี้พาจวิ้นจู่น้อยมายังจวนอ๋องฉู่ พูดถึงเรื่องนี้กับหยวนชิงหลิงว่า “ความหมายของเจ้าเจ็ดก็คือ ฉู่หมิงหยางน่าจะไม่มีทางรอด ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะโหดเหี้ยมขนาดนี้ แม้แต่ท่านปู่ก็ยังลงมือทำร้ายได้อย่างโหดเหี้ยม พวกนางสองพี่น้องต่างเป็นคนประเภทเดียวกัน สงสารตระกูลฉู่ ตอนนี้ไม่มีแม้แต่คนที่จะขึ้นมาเป็นประมุขได้ เจ้าเจ็ดพูดว่า ไม่ว่าจะถามอะไรแม้เพียงนิด ล้วนผลักไสอ้างโน้นนี่ ใครก็ไม่กล้าออกหน้า”
หยวนชิงหลิงได้ยินเจ้าห้าพูดแต่แรกแล้ว ดังนั้นหยวนหย่งอี้บอกนาง นางก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เพียงแค่คิดถึงคนที่อยู่เต็มจวนตระกูลฉู่ หลังจากโสวฝู่ล้มลง ก็ไม่มีใครสามารถยืนออกมาประคับประคองสถานการณ์นี้ได้ ช่างรู้สึกเศร้ายิ่งนัก
“ได้ยินมาว่า นายท่านใหญ่ตระกูลฉู่ เคยไปเชิญท่านแม่ของเขากลับมาควบคุมสถานการณ์ แต่ฮูหยินโสวฝู่พูดว่า นางมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้ว จะไม่ยุ่งเรื่องภายในจวนอีก เจ้าเห็นว่า ให้แม่นมไปดีไหม?”
หยวนชิงหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ดี หากให้แม่นมไปเฝ้าโสวฝู่พอได้ จัดการเรื่องภายในจวนของคนอื่น ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จะทำให้แม่นมลำบากใจ”
“นั่นก็ถูก” หยวนหย่งอี้คิดว่าที่หยวนชิงหลิงพูดก็มีเหตุผล ถึงแม้ตอนนี้แม่นมกับโสวฝู่ จะสนิทสนมกันมาก แต่ยังไงก็ไม่ได้มีสถานะเป็นสามีภรรยา ไปจัดการเรื่องภายในจวนของคนอื่น จะต้องถูกคนครหาแน่
หยวนหย่งอี้มองสถานการณ์ทั้งหมดเพียงด้านเดียว นางคิดว่าโสวฝู่ล้มลงจริงๆแล้ว จึงเสียดายแทนตระกูลฉู่
สะใภ้ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคน คุยกันถึงเรื่องอื่นอยู่สักพัก ก็พูดถึงลูกสาวของอ๋องอาน หยวนหย่งอี้พูดว่า “ได้ยินว่าหลายวันก่อนมีอาการตัวเหลือง ไม่รู้ว่าตอนนี้หายหรือยัง?”
“ตอนนี้น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ไม่เห็นพวกเขามาหาข้า” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรก็ดี อ๋องอานรักลูกสาวคนนี้มาก บางทีเพื่อลูกสาวแล้ว อ๋องอานสามารถสงบจิตใจลง ครุ่นคิดแต่เรื่องดีๆ”
หยวนชิงหลิงคิดถึงเรื่องที่อ๋องอานไปที่วัดฮู่กว๋อ มักรู้สึกว่าข้างในนี้มีความลับอะไรซ่อนอยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าหักสืบได้ความอย่างไรบ้าง นางพูดขึ้นอย่างใจลอยว่า “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
สถานการณ์ในราชสำนักเลวร้ายลง อ๋องผิงหนานเข้ามาถึงเมืองหลวง โสวฝู่ถูกวางยาพิษ ตอนนี้อ๋องผิงหนานก็พักอยู่ในวัง เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างก็ยื่นข้อเสนอ ให้อ๋องผิงหนานไปพักที่โรงเตี๊ยม ให้ความร่วมมือในการสอบสวน เขาเป็นผู้ต้องสงสัย
หยู่เหวินเห้าไม่ยอมอยู่แล้ว ในราชสำนักตลอดจนถึงในหมู่ประชาชนต่างก็ร่ำลือไปทั่ว ว่าอ๋องผิงหนานกลับมาเพื่ออ๋องชินเฟิงอัน ฆ่าโสวฝู่ก่อน แล้วค่อยยึดอำนาจ พูดว่าตอนนี้อ๋องชินเฟิงอันหลบอยู่ในที่ลับ รอเมื่อราชสำนักวุ่นวาย ก็จะนำทัพมายึดครองพระราชวัง
มีข่าวร่ำลือออกมาอย่างไม่ขาดสาย เดี๋ยวก็พูดว่าอ๋องชินเฟิงอัน รวบรวมกำลังทหารอยู่ที่ผิงหนานไว้แต่แรกแล้ว ขยายกำลังทหาร ขโมยอาวุธแผนที่ทางการทหารที่ส่งมาจากแคว้นต้าโจว แอบผลิตอาวุธเป็นการส่วนตัว
ในที่ว่าราชการเช้าวันนี้ ก็มีเหล่าขุนนางหลายคนเสนอพระราชฎีกา ขอให้องค์ชายรัชทายาทกับอ๋องชินลุ่ยมีคำสั่ง คุมตัวอ๋องผิงหนานเพื่อสืบสวน มีขุนนางเน่ย์เก๋อ(คณะรัฐมนตรี)สองคน ยืนกรานด้วยความตาย ดีที่กู้ซือว่องไว ไม่เช่นนั้น ทั้งสองคนคงจะใช้เลือดทำให้ท้องพระโรงปนเปื้อน
แต่คนพวกนี้ก็ไม่สามารถจะสงบลงได้ พูดว่าจะขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้หมิงหยวนอย่างเดียว
มู่หรูกงกงห้ามไว้ บอกว่าฮ่องเต้กำลังประชวรอยู่ จะต้องพักผ่อนพระวรกาย ไม่พบใครทั้งนั้น พวกเหล่าขุนนางจึงต่างคุกเข่าอยู่ด้านนอก จะรอเข้าเฝ้าฮ่องเต้หมิงหยวนให้ได้ถึงจะยอม
มู่หรูกงกงสั่งคนไปแจ้งองค์ชายรัชทายาทหยู่เหวินเห้า หลังจากหยู่เหวินเห้าฟังแล้ว ก็พูดเพียงว่า “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ให้พวกเขาคุกเข่าไปเถอะ”
เมื่อกลับไปพูดเช่นนี้ มีขุนนางบางคนผิดหวังในตัวหยู่เหวินเห้า บอกว่าองค์ชายรัชทายาทเลือดเย็น ไม่เห็นแก่ขุนนางเก่าแก่ หยู่เหวินเห้าต่างไม่สนใจ
เหล่าขุนนางเห็นว่าไม่สามารถได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หมิงหยวน จึงไปที่พระตำหนักฉินคุนเพื่อขอเข้าเฝ้าไท่ซ่างหวง
ไท่ซ่างหวงไม่ให้พวกเขาเข้าเฝ้าอยู่แล้ว เขาจึงร้องให้คร่ำครวญอยู่ด้านนอกพระตำหนัก บัณฑิตผานยิ่งโคกหัวจนหัวแตก ร้องไห้พร้อมพูดขึ้นว่า “ไท่ซ่างหวง ท่านจะเลอะเลือนไม่ได้ อ๋องชินเฟิงอันกับอ๋องผิงหนานคิดกบฏ อยากที่จะครอบครองตำแหน่งฮ่องเต้มานานหลายปี ท่านจะเชื่อพวกเขาไม่ได้ โสวฝู่ถูกวางยาพิษแล้ว ท่านให้อ๋องผิงหนานอยู่ในวัง เท่ากับเป็นการให้ผู้ร้ายอยู่ใกล้ตัว จากกระทำการเลอะเลือนเช่นนี้ไม่ได้”
ไท่ซ่างหวงกับอ๋องผิงหนานนั่งดื่มชาอยู่ในพระตำหนัก ฉางกงกงก็นอนเอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ทั้งสองพี่น้องไม่ได้เจอหน้ากันมานาน เพิ่งได้อยู่ด้วยกันเพียงแค่สองสามวัน ก็เดือดร้อนวุ่นวายมาถึงหน้าประตูตำหนัก ไท่ซ่างหวงจะไม่โกรธได้อย่างไร?
เขาพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ปิดประตูพระตำหนักไว้ ไล่พวกเขาไปให้หมด”
อ๋องผิงหนานโบกมือ พร้อมพูดขึ้นว่า “น้องหก ไม่ต้องทำเช่นนั้น ในบรรดาพวกเขามีบางคนที่รักประเทศด้วยใจจริง เพียงแค่ถูกคนอื่นยั่วยุเท่านั้นเอง การกระทำเกิดจากความหวังดี”
ไท่ซ่างหวงพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “อยู่ในราชสำนักมากว่าครึ่งชีวิต ยังถูกคนอื่นยั่วยุหลอกใช้ เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าโมโหอย่างที่สุด”
อ๋องผิงหนานหัวเราะ แล้วก็ไม่พูดอะไร นิ่งมองดูฝูเป่า มองอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า “ไม่เห็นหมาป่าหิมะนานแล้ว”
“หมาป่าหิมะ?” ไท่ซ่างหวงไม่รู้ว่าเขาหมายถึงหมาป่าหิมะตัวไหน จึงพูดขึ้นว่า “จวนอ๋องฉู่มี หาดเจ้าอยากเจอหมาป่าหิมะ ไปจวนอ๋องฉู่ก็ได้เจอแล้ว”
อ๋องผิงหนานส่ายหัว สายตาค่อนข้างเม่อลอย พร้อมพูดขึ้นว่า “หมาป่าหิมะของหอจัยซิง”
ไท่ซ่างหวงหัวเราะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
“ยังมีชีวิตอยู่” อ๋องผิงหนานพูดขึ้น
ไท่ซ่างหวงค่อนข้างประหลาดใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ยังมีชีวิตอยู่? ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว หมาป่าสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้เลยหรือ?”
อ๋องผิงหนานอืมหนึ่งคำ หันหน้าไปครุ่นคิดอยู่สักพัก ลมหายใจที่สงบบนใบหน้าของเขาค่อยๆจางหายไป กลายเปลี่ยนเป็นมึนๆหน่อย พร้อมพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้บอกว่าหมาป่าหิมะสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายปี สามารถไม่ตายก็ได้”
น้ำเสียงของอ๋องผิงหนาน ค่อนข้างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฟังดูเหมือนเด็กกำลังพูด ไม่เหมือนกับเมื่อตะกี้
เขาคุกเข่าลง ยื่นมือลูบหน้าผากของฝูเป่า ลูบขนของฝูเป่า พร้อมพูดขึ้นว่า “ว่าง่าย คืนนี้ข้าพาเจ้าไปเดินเล่น”
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูไท่ซ่างหวง พร้อมคำถามขึ้นว่า “น้องหก เจ้าว่าดีไหม?”
แววตาไท่ซ่างหวง เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาในทันใด พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ดี เดี๋ยวทานอาหารค่ำเสร็จแล้ว พวกเราพาฝูเป่าไปเดินเล่น”
อ๋องผิงหนานสะบัดอย่างดีใจ เหมือนอย่างกับเด็ก ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เคร่งขรึมเหมือนเมื่อกี้แล้ว
ไท่ซ่างหวงมองดูเขา แล้วก็ถอนหายใจเบาๆ
“น้องหก ข้าง่วงแล้ว” อ๋องผิงหนานหาวพร้อมพูดขึ้น
ไท่ซ่างหวงสั่งคนส่งเขาไปพักผ่อน เขาหันกลับมาหัวเราะให้กับไท่ซ่างหวง พร้อมพูดว่า “รอข้าตื่นขึ้นมาแล้ว เราค่อยพาฝูเป่าไปเดินเล่นด้วยกัน”
“ได้” ไท่ซ่างหวงพยักหัว สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่รักใคร่
อ๋องผิงหนานเดินไปอย่างมีความสุข
ไท่ซ่างหวงมองดูแผ่นหลังของเขา นานสักพักกว่าจะหันกลับ
ฉางกงกงที่นอนเอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย พูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “พระราชนัดดาองค์ใหญ่ยังเหมือนเดิม เดี๋ยวมีสติ เดี๋ยวเลอะเลือน”
“แบบนี้ก็ดี อย่างน้อย ตอนที่เลอะเลือนคือตอนที่มีความสุข” ไท่ซ่างหวงเอนพิงเก้าอี้ยังอ่อนล้า ค่อยๆหลับตาลง หากบอกว่าคนโลกนี้ ต่างก็มีความทะเยอทะยานที่จะแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ เขาเชื่อมั่นว่ามีสองคนที่ไม่คิดเช่นนี้ นั่นก็คือพี่จี๋เอ๋อร์กับพี่เหว่ย
หลายปีมานี้พี่จี๋เอ๋อร์อยู่ในช่วงเวลาเลอะเลือนค่อนข้างมาก แล้วก็ช่วงที่แก่มากแล้ว ค่อยมีสติมากหน่อย อำนาจความร่ำรวยสำหรับเขา เท่ากลับเป็นปุยเมฆ ตลอดชีวิตนี้คนที่เขาให้ความสนใจที่สุดก็คือพี่สะใภ้ เป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นสามารถทำให้เขาสนใจได้
เสียงร้องไห้คร่ำครวญด้านนอกยังดังมาให้ได้ยิน ไท่ซ่างหวงลืมตาขึ้น พร้อมพูดขึ้นว่า “ไล่พวกเขาไปให้หมด”