บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1113 แอบหนีออกไป
หยวนชิงหลิงเติบโตขึ้นมาในยุคสมัยที่สงบสุขและเจริญแล้ว แต่เพราะมาอยู่ที่ราชวงศ์เป่ยถังนานหลายปีแล้ว นางก็รู้ว่าเรื่องบางเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ นางไม่สามารถทำตัวเป็นพระแม่มารีได้
การคงอยู่ของประเทศชาติ คือความรับผิดชอบของทุกคน นี่ไม่ใช่คำขวัญอะไรทั้งนั้น แต่เป็นจิตวิญญาณอันสูงส่ง ที่ต้องแลกด้วยเลือดและชีวิตเพื่อให้ได้มา
พรุ่งนี้ต้องจัดการเรื่องฉู่หมิงหยาง ดังนั้น หยู่เหวินเห้าจึงพูดว่า “อุดอู้อยู่แต่ในบ้านจนเบื่อมาหลายวันแล้ว วันพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าออกไปพักผ่อนเสียหน่อย ไปกันแค่เราสองคนดีหรือไม่?”
“จะไปไหนรึ?” อันที่จริงหยวนชิงหลิงอาลัยอาวรณ์อยากจะไปทะเลสาบจิ้งสักครั้ง แต่ถ้าไปทะเลสาบจิ้ง ก็ต้องพาซาลาเปาไปด้วย
“ยังไม่ได้กำหนดหรอกว่าจะไปที่ไหน แค่ออกไปเที่ยว แต่อยู่ค้างได้เพียงคืนเดียวนะ วันมะรืนต้องรีบกลับมา ดังนั้นเลยไปทะเลสาบจิ้งไม่ได้” หยู่เหวินเห้าก็รู้ความคิดของนางเช่นกัน ทะเลสาบจิ้งเป็นความอาลัยอาวรณ์ของนางมาโดยตลอด เพราะนั่นเป็นหนทางกลับบ้านของนาง
อันที่จริงแล้วสิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ สำหรับหยวนชิงหลิง ทะเลสาบจิ้งแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงหนทางกลับบ้าน แต่ยังเป็นหนทางที่จะช่วยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วย คำพูดของฟางหวู่ติดตรึงอยู่ในใจนางเสมอ การที่ฟางหวู่ให้ความสนใจการสแกนสมองเป็นอย่างมาก นั่นแปลว่าต้องมีการตรวจพบสิ่งผิดปกติบางอย่างแน่
ไปทะเลสาบจิ้งไม่ได้ หยวนชิงหลิงจึงพูดว่า “ในเมื่อมีเวลาแค่วันเดียว เช่นนั้นพวกเราไปเดินเล่นรอบ ๆ ชานเมืองเมืองหลวงกัน หรือไม่ก็ไปแหล่งการเกษตร ดีหรือไม่?”
“แหล่งการเกษตร?”
“ ถูกต้อง หมู่บ้านการเกษตรของราชวงศ์เป่ยถัง ข้าอยู่ที่นี่มานานแล้ว ดูเหมือนว่าจะยังไม่เคยได้สัมผัสชีวิตของคนในพื้นที่ชนบทที่ทำการเกษตรจริง ๆ มาก่อนเลย ” หยวนชิงหลิงพูดแบบไม่จริงจังนัก แต่ขณะที่พูดอย่างนั้น ในใจกลับเต็มไปด้วยความคาดหวังจริง ๆ
หยู่เหวินเห้ายิ้ม “ไปหมู่บ้านการเกษตรไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หรอกรึ? ในเมืองหลวงก็มีหมู่บ้านการเกษตร ไม่จำเป็นต้องออกจากเมืองหลวงหรอก”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย พรุ่งนี้เราก็ออกเดินทางกันเถอะ ” การได้ออกไปเที่ยวด้วยกันตามลำพังกับเขา ทิ้งความวุ่นวายทุกอย่างไว้ที่นี่ เป็นเรื่องที่นางคาดหวังรอคอยมาโดยตลอด
เมื่อเห็นความสุขในแววตาของหยวนชิงหลิง หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่าตัวเองติดค้างนางมากมายเหลือเกิน เข้าไปสวมกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ประทับริมฝีปากบนเรือนผมเงางามของนางเบา ๆ
หลังจากใช้เวลาร่วมกันมาห้าปี นอกจากตอนที่เขาไปเข้าร่วมรบในแนวหน้า ก็เหมือนว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันแทบจะทั้งวันทั้งคืน เขาไม่สามารถจินตนาการได้จริง ๆ ว่า ถ้าจู่ ๆ วันหนึ่งหยวนชิงหลิงหายไปจากชีวิตเขา ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรดี
ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยนาง ดวงตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “ทำไมเราไม่ไปให้เร็วขึ้นสักหน่อยล่ะ?”
“ตอนนี้เลยรึ?” หยวนชิงหลิงตกตะลึง “แต่ตอนนี้มันใกล้จะค่ำแล้วนะ”
“พวกเราเช่าเรือนางโลม สักลำออกจากทะเลสาบ เราไปพายเรือในทะเลสาบเล่นกันก่อน รอถึงพรุ่งนี้เช้าเราค่อยขี่ม้าเข้าไปในเขตชนบท”
หยู่เหวินเห้ายิ่งพูดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น จูบที่แก้มนาง คิ้วยกสูงอย่างมีความสุข
รอยยิ้มที่ผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ ไม่ปรากฏบนใบหน้าของเจ้าห้ามานานมากแล้ว หยวนชิงหลิงรู้สึกเจ็บแปลบในใจ ยกยิ้มให้เขาน้อย ๆ “ดี!”
แอบหนีออกไปโดยไม่บอกลูก ๆ ทั้งสองคนดูเหมือนจะทิ้งความกังวลวุ่นวายทั้งหลาย แล้วย่องออกไปกันแบบเงียบ ๆ แต่เมื่อพวกเขาขี่ม้าอยู่บนท้องถนน หยวนชิงหลิงกลับรู้สึกว่า สิ่งที่เรียกว่าการย่องออกมาแบบเงียบ ๆ นี้ ก็เป็นได้แค่ภาพลวงตาเท่านั้น ที่ด้านหลังพวกเขายังมีคนมากมายที่ติดตามมาด้วยอย่างลับ ๆ
แต่ก็ไม่สนแล้วดีกว่า ได้ออกไปเที่ยวกับเขาแบบนี้สักครั้ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลืมมันได้ทั้งนั้น ทำเหมือนว่าคนข้างหลังพวกนั้นไม่มีตัวตนอยู่ก็แล้วกัน
ในตอนที่เจ้าห้าทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หยวนชิงหลิงมองดูเขาแล้ว ในใจก็แอบสัมผัสได้ว่า ยิ่งนับวัน เขาก็ยิ่งมีความงามสง่าของผู้ดำรงตำแหน่งรัชทายาทมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว บรรยากาศอันราบเรียบ กับนิสัยประมาทเลินเล่อได้หายไป เริ่มมีท่าทางสมฐานะของผู้สืบเชื้อสายแห่งขัตติยะ ซึ่งดูได้จากทุกอิริยาบถที่เขาแสดงออกมาให้เห็น
ส่วนนาง กลับไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากมายอะไรเลย
มาถึงริมทะเลสาบ ที่นี่ยังคงคึกคักอยู่ มีบรรดานักวิชาการและผู้มีความสามารถทางวรรณกรรมมากมายมาเช่าเรือนางโลม แล้วก็ยังมีพวกพ่อค้าหาบเร่ต่าง ๆ เบียดเสียดกันอย่างคับคั่ง แสงไฟสว่างไสวส่องให้ทะเลสาบเป็นประกายพร่างพราว ราวกับค่ำคืนที่มีดวงดาวลอยอยู่เต็มท้องฟ้า
ถ้ายอมจ่าย ก็ง่ายที่จะเช่าเรือนางโลม ตัวเรือนั้นมีขนาดเล็กแต่ตกแต่งได้หรูหรามาก นาน ๆ จะได้ออกมาทั้งที หยู่เหวินเห้าจึงไม่ขี้เหนียวเงินทอง ยอมควักเงินห้าตำลึงในหนึ่งคืน จ่ายออกไปแบบไม่นึกเสียดายแม้แต่น้อย
เจ้าของเรือเป็นคู่สามีภรรยา พวกเขายังจ้างผู้ช่วยลูกเรือคนหนึ่ง มารับสองคนที่ฝั่งไปขึ้นเรือนางโลม
หลังจากที่เจ้าของเรือกับผู้ช่วยลูกเรือช่วยกันพาย เรือก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากฝั่ง หยู่เหวินเห้ามีท่าทีอยากเล่นสนุกมาก ถึงขั้นลงไปนอนคว่ำอยู่บนกราบเรือ แล้วมองลงไปในน้ำ “มีปลาหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาพลางมองดูผืนน้ำสีดำสนิท ยกเว้นดวงดาวที่สะท้อนแสงและดวงไฟแล้ว ก็มองไม่เห็นอะไรใต้น้ำเลยจริง ๆ
เขากวนผิวน้ำในทะเลสาบ ใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนนั้นบางส่วนก็ลอยกระเพื่อมไปมา หมุนไปรอบ ๆ ปลายนิ้วของเขา เขาแกว่งมือกวนผิวน้ำอีกครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มใส่หยวนชิงหลิงอย่างร่าเริง
หยวนชิงหลิงรู้สึกใจเต้นกับความสุขล้นที่ปรากฏในดวงตาคู่นั้นของเขา จึงคว่ำตัวลงไปนอนข้างๆ เขาจึงใช้โอกาสนี้โอบกอด แล้วฉกจูบบนริมฝีปากของนางอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มค่อย ๆ เริ่มเบ่งบานจากมุมปาก ดวงตาก็ฉายชัดถึงความลำพองใจอย่างอธิบายไม่ถูก
วัยหนุ่มสาวนี่ล่ะ ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุด
หยวนชิงหลิงรู้สึกหน่วง ๆ ในใจ คืนนี้ไม่รู้ว่าทำไม นางถึงเอาแต่รู้สึกว่าตัวเองแค่อยากจะมองเขาอย่างโง่ ๆ อย่างเดียวก็พอ อยู่ข้าง ๆ เขา ทุก ๆ รอยยิ้ม ทุก ๆ รอยจูบของเขา มันทำให้นางรู้สึกทั้งเศร้าทั้งสะเทือนใจน้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา
นางรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้มานานมากแล้ว
ทั้งสองนอนอยู่บนดาดฟ้าเรือ มองขึ้นไปในท้องฟ้ายามค่ำที่ดาวลอยเกลื่อน งดงามราวกับความฝัน ตั้งแต่ออกจากบ้านมาอย่างเร่งรีบจนถึงขึ้นเรือ พวกเขาไม่เคยวางแผนมาก่อน การทำอะไรหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบนี้กลับมีความสุขได้อย่างไม่น่าเชื่อ
นางเม้มปากแล้วยิ้มน้อย ๆ เจ้าห้าพลันเอนตัวเข้ามา แนบริมฝีปากที่เต็มไปด้วยท่วงท่าความเป็นชายบดทับลงบนริมฝีปากของนาง หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปผลักอย่างรวดเร็ว “มีคนอยู่นะ!”
เขาหันหลังกลับไปดู ก็พบว่าเจ้าของเรือกับผู้ช่วยสนใจแต่การพายเรืออย่างเดียว ไม่ได้สนใจมองพวกเขาเลยสักนิด พวกคนที่หากินกับทะเลสาบนี้ ทุกคนต่างก็รู้กฎดี จะไปมีใครคิดจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องของลูกค้ากันล่ะ?
แต่หยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้จูบนางอีก แค่กอดนางไว้เงียบ ๆ แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว อย่าว่าแต่เจ้าหยวนเลย แม้แต่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายแบบนี้มานานมากแล้วเหมือนกัน
แม้ว่าเรื่องราวที่อยู่ข้างหลัง จะยังกดดันอย่างหนักหน่วงทุกย่างก้าว แต่เขาก็รู้สึกผ่อนคลายลงมากกว่าตอนแรกมากแล้ว อย่างน้อย สิทธิ์อำนาจที่ใช้ควบคุมเหล่านั้น ก็ไม่ได้อยู่ในมือของคนอื่นทั้งหมดอีกแล้ว
ตกลงกันแล้วว่าต้องทำสมองให้ว่าง ไม่ควรคิดเรื่องจุกจิกกวนใจอะไรในตอนนี้ทั้งนั้น
“ เจ้าหยวน เจ้ายังจำตอนที่ถูกตัวต่อต่อยได้หรือไม่? ” ในสมองอดคิดไปถึงเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เพิ่งได้อยู่ร่วมกันไม่ได้ ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากจริง ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วพูดว่า: “ข้าโดนตัวต่อต่อยเสียที่ไหนล่ะ? เป็นเจ้าเองต่างหากที่คิดร้ายกับข้า ทำร้ายข้าไม่สำเร็จ ยังโดนเองเสียด้วย สมน้ำหน้าแล้ว”
“ นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าเลยที่โดนตัวต่อต่อย ไม่คิดว่าจะเจ็บขนาดนี้ ทำเอานอนทรมานไปตั้งนาน”
“สมน้ำหน้า!” หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางสมน้ำหน้าอีกครั้ง แต่กลับเอียงหน้ามองเขา ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ปลายนิ้วปัดไล้ผ่านแก้มของเขาเบา ๆ “แต่พอมานึกถึงใบหน้าของเจ้าในตอนนั้น ข้ากลับรู้สึกปวดใจนัก”
หยู่เหวินเห้าก็เอียงหน้ามองนาง ยื่นปลายนิ้วไปพันรอบเส้นผมของนางเล่น แววตาปรากฏความรักใคร่เอ็นดูอย่างสุดซึ้ง ทั้งเสียใจอย่างสุดซึ้ง “ถ้ามีโอกาสย้อนกลับไปได้อีกครั้ง ข้าจะไม่ทำกับเจ้าแบบนั้นอย่างแน่นอน ตลอดทางที่ผ่านมาข้าติดค้างเจ้ามากมายจริง ๆ ขอโทษนะ ที่ทำให้เจ้าต้องติดตามข้าด้วยความกลัว ทั้งยังเกือบต้องตายตั้งหลายครั้ง”
เมื่อเห็นขอบตาเขาแดงเรื่อ หัวใจของหยวนชิงหลิงก็หน่วงขึ้นมาอีก “ไม่หรอก ตลอดเส้นทางนี้ แม้ว่าจะทั้งลำบากทั้งอันตราย แต่ก็มีวันเวลาที่มีความสุขมากกว่าความทุกข์อยู่นะ”
“เด็กโง่!” เขาเอื้อมมือไปแตะริมฝีปากของนางแล้วพูดอย่างทึ่มทื่อ : “ถ้าหากสัญญาไว้เผื่อชาติหน้าได้จะดีสักแค่ไหนนะ ข้าสัญญาว่าจะรีบไปปรากฏตัวอยู่ข้าง ๆ เจ้าเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ เลย ”
คำพูดเหล่านี้ ถ้ามันอยู่บนอินเทอร์เน็ตในโลกสมัยใหม่ มันสามารถเรียกได้ว่าเป็นประโยคที่พูดแบบชุ่ย ๆ อย่างขอไปที แต่เมื่อพูดออกมาจากปากของคนตรง ๆ แบบเจ้าห้า มันจึงเป็นอะไรที่ชวนให้ใจสั่นสะท้านได้จริง ๆ
นางจ้องไปที่ดวงตาอันลึกซึ้งของเขา “ในชีวิตนี้ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแบบนี้ ข้าก็รู้สึกพอใจมากแล้ว ชาติหน้า…”
มือของเขากดลงบนริมฝีปากของนาง “ชาติหน้า เราก็จะอยู่ด้วยกันอีก”
นางยิ้มอย่างอบอุ่น “ได้!”