บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1115 จางหายไปตลอดกาล
ลู่หยวนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้วจริง ๆ เขาคิดว่าหลังจากช่วงเวลาที่ได้ใช้ด้วยกันมา จะทำให้เขาคาดเดาได้ว่านางคิดอะไรอยู่ เขาคิดมาตลอดว่านางเกลียดหลินเซียวจนเข้ากระดูกดำ เกลียดจนอยากฆ่าให้ตาย
แต่ถึงอย่างนั้น นางกลับเอาเหล้ามา เพื่อจะรื้อฟื้นความหลังที่น่าจดจำอย่างนั้นรึ?
ลู่หยวนหัวเราะอย่างขมขื่นสามครั้ง หัวเราะที่ตัวเองโง่เขลา ภายใต้การยุยงของอ๋องฉี เขาเทเหล้าแล้วดื่มรวดเดียวหลายแก้วติดต่อกัน
เสี้ยวหงเฉิงเข้าไปในคุก เห็นนางมา ก็เป็นไปตามการคาดการณ์ของหลินเซียว
เขายืนอยู่หน้ารั้วเหล็ก จ้องไปที่ใบหน้าของนาง จากนั้นค่อยเลื่อนสายตาไปที่ไหเหล้าที่อยู่ในมือนาง ยิ้มอย่างประชดประชัน “เหล้าตัดหัว? ก็ดี เจ้าเป็นคนมาส่งข้าไปยมโลกเองสินะ อุตส่าห์เป็นเจตนาดีของเจ้าทั้งทีชดใช้ด้วยชีวิตของข้า นับจากนี้ไป ก็ถือได้ว่าไม่ติดค้างอะไรใครอีกแล้ว”
เสี้ยวหงเฉิงไม่พูดอะไร แค่หยิบกุญแจมาเปิดโซ่เหล็ก แล้วผลักเปิดประตูห้องขังเดินตรงเข้าไปนั่งลงบนกองฟาง จากนั้นก็วางไหเหล้าลงบนพื้น “นั่งดื่มด้วยกันสักจอกสิ”
นางไม่ได้มองหน้าเขาตรง ๆ ด้วยซ้ำ รอจนเขาค่อย ๆ เดินมานั่งลง นางค่อยเงยหน้าขึ้น มองไปยังใบหน้าที่คุ้นเคย แต่ก็เหมือนไม่คุ้นเคยอย่างนึกแสลงในใจ
นางจ้องมองเช่นนี้ครู่หนึ่ง หัวใจของนางไม่ได้เต้นไม่เป็นจังหวะ แม้แต่ความเกลียดชังที่คาดหวังรอคอยก็ไม่มีมา กลับกลายเป็นว่ามันสงบลงกว่าแต่ก่อนมาก
เสี้ยวหงเฉิงเปิดไหเหล้า ยื่นให้เขาแล้วพูดด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า: “เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่ได้มาสอบปากคำแทนรัชทายาท ข้าแค่อยากรู้ว่าครั้งแรกที่เจ้าทิ้งข้าไป เป็นเพราะความจำใจไม่มีทางเลือกจริง ๆ หรือไม่? เจ้าไม่เคยรู้สึกอะไรกับข้าเลยใช่หรือไม่?”
“ตอนนี้ มันยังสำคัญอีกหรือ?” หลินเซียวยิ้มจาง ๆ ยังคงยกคิ้วขึ้นอย่างแดกดัน
ดวงตาของเสี้ยวหงเฉิงโศกเศร้าขณะมองดูเขา ราวกับว่ายังมีความแค้น ความเกลียดชัง และอารมณ์ที่ซับซ้อน “สำหรับคนอื่นแล้ว มันคงไม่สำคัญ แต่สำหรับข้า มันสำคัญมาก”
หลินเซียวจ้องมองนาง มองดูอยู่นานมาก ราวกับว่าเขากำลังวิเคราะห์ข้อมูลที่เขาต้องการจากใบหน้าของนาง เสี้ยวหงเฉิงก็ปล่อยให้เขามองไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ อดทนต่อความเกลียดชัง อดทนต่อความขุ่นเคือง และอดทนกับน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตาคู่นั้น
ใบหน้าประชดประชันของหลินเซียวค่อย ๆ จางลง เงียบไปครู่หนึ่ง “ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเจ้า สองมือถือดาบ ฆ่าคนร้ายด้วยท่าทางน่าเกรงขาม สวมชุดแดงฉาน ท่วงท่าฮึกเหิมกล้าหาญ นี่ไม่ใช่คำโกหก ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ หากเวลานั้น ข้าไม่มีตระกูลที่ต้องแบกอยู่บนบ่า ไม่มีสำนัก มีแค่ความสุข ความโกรธแค้น ความโศกเศร้าของตัวเอง ข้าจะขอทุ่มเททั้งชีวิตไล่ตามเจ้าทุกวิถีทาง ชีวิตนี้ของข้าไม่เคยเป็นแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อน มีแค่เจ้าเพียงคนเดียว ช่วงเวลาที่ข้าได้อยู่ร่วมกับเจ้า ข้ามีความสุขที่สุดในชีวิต แต่มันก็เป็นแค่ความสุขเท่านั้น เมื่อเรายังเด็ก พวกเราจะทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง แต่เมื่อภารกิจของตระกูลตกมาอยู่ในมือของข้า ข้าเข้ารับตำแหน่งผู้นำ ได้รับคำชื่นชมจากทั่วสารทิศ มียอดฝีมือในยุทธภพตั้งเท่าไหร่ที่ก้มหัวลงต่อหน้าข้า ข้าถึงได้รู้ว่า ชีวิตของคนเราอาจมีอะไรที่มากกว่าแค่เรื่องง่าย ๆ ที่คนทั่วไปต้องการ อย่างการหาผู้หญิงที่ชอบสักคน แต่งงานกับนาง มีลูกและแก่เฒ่าไปพร้อม ๆ กับนาง แต่ข้าไม่ใช่คนธรรมดา ข้าไม่ควรพอใจกับสิ่งธรรมดาสามัญแบบนี้ ดังนั้น ข้าจึงเลือกเส้นทางที่ทำให้เจ้าผิดหวัง และทอดทิ้งเจ้าไป ข้ารู้สึกเสียดายมาก แต่นี่เป็นทางเลือกของข้า ข้าต้องลืมเจ้าเพื่อที่จะได้ทุ่มเทให้กับตัวเอง และพันธมิตรอู่หลินได้เต็มที่ ข้าจะได้รับการชื่นชมจากผู้คนจำนวนมากขึ้น ”
เสี้ยวหงเฉิงคว้าไหเหล้ามาดื่มอึกใหญ่ ๆ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า: “ ดังนั้น ไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของเจ้าที่บังคับให้เจ้าทิ้งข้า แต่เป็นความต้องการของเจ้าเองสินะ”
เสียงของหลินเซียวเต็มไปด้วยความขมขื่น “ถูกต้อง มันเป็นความต้องการของข้าเอง เพราะอย่างนี้ ข้าถึงต้องทรมานใจมาเป็นเวลานาน แต่ข้าก็ไม่มีหนทางให้หวนกลับได้”
เสี้ยวหงเฉิงจ้องเขา “แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ตอนที่เจ้ามาหาข้าครั้งที่สอง ที่จริงแล้วเจ้าหมดรักหมดเยื่อใยไปจนสิ้นแล้ว ทำไมถึงยังทำท่าว่ารักใคร่เสน่หาแบบนั้นออกมาได้อีก?”
หลินเซียวมองนาง ดวงตาฉายแววสับสน “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่จริงแล้วก็ไม่ถึงกับไม่ไปหาเจ้าไม่ได้หรอกนะ การจะเข้าใกล้รัชทายาท ยังมีทางเลือกอีกมากมาย ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องไปหาเจ้า สร้างเรื่องโกหกเหล่านั้นกับเจ้า เสี้ยวหงเฉิง เจ้าจะเกลียดข้า หรือจะฆ่าข้าก็ได้ ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ถ้าหากต้องตายด้วยน้ำมือเจ้า อย่างน้อยข้าก็ยินดี”
“จะฆ่าหรือไม่ฆ่า ข้ารู้อยู่แก่ใจ เจ้าแค่ตอบข้ามาว่าตอนที่เจ้ากลับมาหาข้าเป็นครั้งที่สอง เจ้าหมดสิ้นเยื่อใยไปแล้วใช่หรือไม่? ” เสี้ยวหงเฉิงบังคับถามเอาคำตอบ
หลินเซียวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า: “ข้าไม่รู้!”
“ไม่รู้?” เสี้ยวหงเฉิงแค่นยิ้มเย็นชา น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาค่อย ๆ ไหลออกมาในที่สุด “แน่นอนว่าเจ้าต้องรู้อยู่แล้ว ว่าการจะเข้าใกล้รัชทายาท เจ้ายังมีทางเลือกอีกมากมาย แต่ข้ามักจะทำงานต่าง ๆ ให้รัชทายาท ส่วนเจ้าก็เป็นสายลับของหงเล่ คิดจะล้วงข้อมูลแผนการของรัชทายาทจากข้า หากเข้าใกล้ข้าได้ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเข้าหาใครทั้งหมด”
หลินเซียวถอนหายใจเบา ๆ “บางทีก็คงจะใช่ ข้าไม่ปฏิเสธว่าเป็นเช่นนั้น”
เสี้ยวหงเฉิงปาดน้ำตา นัยน์ตาฉายแววเย็นชาและขุ่นเคือง “ตั้งแต่ต้นจนจบข้าไม่เข้าใจเลยว่า เจ้าเป็นผู้นำของพันธมิตรอู่หลินแล้วแท้ ๆ ทำไมถึงยังต้องพึ่งพาหงเล่?”
หลินเซียวพูดเสียงเบา: “อำนาจ รสชาติิของอำนาจ เมื่อไหร่ที่เจ้าได้ลิ้มรสมันแล้ว เจ้าจะไม่อาจย้อนกลับไปได้อีก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนจำนวนมากในพันธมิตรอู่หลินถูกเก็บเงียบไปอย่างกะทันหัน เจ้ารู้ไหมว่าคนเหล่านี้สวามิภักดิ์ต่อใคร? ”
“ใคร?” เสี้ยวหงเฉิงถาม
หลินเซียวทำท่าเกือบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หน่วยองครักษ์ฟ้าผ่าภายใต้อ๋องชินเฟิงอัน พวกคนสำคัญจำนวนมากในสำนักต่างยอมสวามิภักดิ์ให้เขา ทำให้สำนักของเราว่างเปล่าขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นอย่างนี้ต่อไปนาน ๆ พันธมิตรอู่หลินก็จะมีแต่ชื่อ แต่ไร้ซึ่งความสามรถ เมื่อเทียบกับสิ่งที่หงเล่สัญญากับข้า แค่ได้เป็นผู้นำของพันธมิตรอู่หลิน ไม่มีค่าให้พูดถึงเลยด้วยซ้ำ ”
“แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าพระยาให้เจ้ารึ?”
หลินเซียวพูดอย่างเย่อหยิ่งจองหอง: “ตำแหน่งเจ้าพระยามันก็เป็นแค่เรื่องของสถานะ ถึงข้าได้มาก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ข้าต้องการคืออำนาจสั่งการของจริง เขาจะอนุญาตให้ข้าสั่งการในตำแหน่งจอมพลพิทักษ์สามเหล่าทัพ”
เสี้ยวหงเฉิงกลับหัวเราะเย้ยหยันเสียงดังลั่น “แม่ทัพสั่งการ? เป็นแม่ทัพของเซียนเปยน่ะรึ? ตอนนี้แม้แต่จะกลับไปเซียนเปยเขาก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้าคิดว่าเขาจะยึดครองเป่ยถังได้จริง ๆ น่ะรึ? กระทั่งทหารหรือม้าสักตัวเขาก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ เขาพึ่งพาเป่ยโม่ คิดว่าเป่ยโม่จะแบ่งอะไรให้เขากัน? เจ้าไม่เหมือนคนที่ดูไร้เดียงสาขนาดนั้นเลยนี่ ทำไมไม่ลองคิดดูดี ๆ บ้างล่ะ?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่มีทหารกับม้า?” หลินเซียวโต้กลับทันควัน แต่ทันทีที่เขาพูดออกมา ก็รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดไปเสียแล้ว จึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ต่อให้ไม่มีทหารกับม้า ด้วยเส้นสายของหน่วยสายลับของเขาในราชวงศ์เป่ยถัง กับความเฉลียวฉลาดของเขา ผู้คนในเป่ยโม่ย่อมต้องแบ่งปันใต้หล้านี้กับเขาอย่างเท่าเทียมแน่”
เสี้ยวหงเฉิงจ้องมองเขาเขม็ง “เขามีกำลังทหารกับม้า?”
หลินเซียวพูดน้ำเสียงราบเรียบ : “เจ้าลองเดาดูสิ?”
เสี้ยวหงเฉิงหยิบไหเหล้าขึ้นมาแล้วลุกขึ้นยืน หันหลังกลับ ไม่คิดจะพูดอะไรไร้สาระอีกแม้แต่ประโยคเดียว
หลินเซียวมองตามเงาแผ่นหลังของนาง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความโกรธ “นี่เจ้าแค่มาล้วงข้อมูลอย่างนั้นรึ?”
เสี้ยวหงเฉิงไม่ตอบ ก้าวเท้ายาว ๆ เดินออกไป
หลินเซียวรีบวิ่งตามออกไป แต่ถูกผู้คุมเข้ามารั้งตัวไว้แล้วลากกลับไป ตอนนี้เขาสูญเสียวรยุทธ์ไปจนหมดแล้ว กระทั่งผู้คุมธรรมดา ๆ เขาก็ไม่สามารถเอาชนะได้ จึงทำได้แค่ถูกลากตัวกลับไปในสภาพอับจนหนทาง
เขาแผดเสียงตะโกนลั่น : “เสี้ยวหงเฉิง เจ้ายอมได้รึ? เจ้าไม่ใช่ว่าอยากจะฆ่าข้าหรอกรึ ? เจ้าจะเสแสร้งทำเป็นว่าอ่อนโยนมีเยื่อใยไปทำไม? เมื่อครู่ข้าโกหกเจ้าทั้งหมด ครั้งแรกที่ข้าเจอเจ้า ข้าก็แค่คิดจะล้อเล่นกับหัวใจเจ้าเท่านั้นแหละ”
เสี้ยวหงเฉิงเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ จากนี้ไป นางไม่สนใจทั้งนั้น
นางเงยหน้าขึ้นดื่มเหล้า จากนั้นก็เหวี่ยงไหเหล้าทิ้ง ไหหล่นลงกับพื้น แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!
จากนี้ไป คนคนนี้จะจางหายไปจากชีวิตของนางตลอดกาล และจะไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่ในใจอีก