บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1116 ยินดีจะแต่งข้าหรือไม่
เสี้ยวหงเฉิงเดินสะบัดชายแขนเสื้อออกไป ถามคนในกรมการพระนครว่า “ท่านอ๋องกับใต้เท้าลู่หยวนดื่มเหล้ากันอยู่ที่ไหนรึ ?”
“ในศาลาหลังกรมการปกครองขอรับ” เจ้าหน้าที่ในกรมตอบ
เสี้ยวหงเฉิงเดินกลับไปหลังกรมปกครอง อารมณ์ทั้งหมดในใจตอนที่มา เมื่อถึงตอนนี้ก็สงบลงมาก ถึงขั้นที่ว่า เหมือนมีบางอย่างล่องลอยออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างยิ่ง
หลังจากเข้าไปด้านหลังกรมปกครอง ที่ศาลามีเสียงดังกับแสงไฟ นางก้าวเท้ายาว ๆ เดินเข้าไปที่นั่น ลู่หยวนเพิ่งเงยหน้าขึ้นพอดี ก็เห็นดวงตาของนางเลิกสูง ท่าทางที่เดินเข้ามาหาเขาก็ดูร่าเริงมาก ในใจพลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงจนเจ็บแปลบ ได้เจอหลินเซียวแล้ว ทำให้นางมีความสุขขนาดนี้เลยเชียวรึ?
อ๋องฉีก็เห็นแล้วเช่นกัน รีบพูดเสียงเบาปลอบใจลู่หยวนไปว่า “ทำเหมือนกับว่าไม่เห็นนางไปก็แล้วกัน ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
อ๋องฉีเองก็โกรธแทนลู่หยวน เสี้ยวหงเฉิงยัยผู้หญิงตาต่ำ ลู่หยวนดีขนาดไหนไม่รู้จักเห็นคุณค่า หลินเซียวมันก็แค่ผู้ชายกาก ๆ แค่นั้นแหละ
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เสี้ยวหงเฉิงกลับเดินตรงมาข้างหน้าลู่หยวน ท่าทางนั้นทำให้ลู่หยวนถึงกับตกใจจนผงะ รีบก้าวเท้าถอยหลังไปทันที แล้วมองนางด้วยสายตานิ่งงัน
ในสายตาของเสี้ยวหงเฉิงมีความกล้า ไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ “ลู่หยวน ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าจะแต่งข้าเป็นภรรยา คำพูดนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
เมื่อลู่หยวนได้ยินประโยคนี้ ก็ทั้งเบิกตากว้างทั้งอ้าปากค้างอย่างรวดเร็ว อ๋องฉีก็มีสภาพไม่ต่างกัน ทั้งคู่มองเสี้ยวหงเฉิงพร้อมกัน นี่ถูกอารมณ์แบบไหนโจมตีเข้าหรือ?
“พูดมา!” เสี้ยวหงเฉิงดูมีท่าทางร้อนใจ แต่ในดวงตากลับมีความระมัดระวัง และอารมณ์ที่ติดจะอ่อนไหว ซึ่งอารมณ์ที่สื่อออกมานี้เองที่ทรยศนาง ทำให้รู้ว่านางใส่ใจกับคำตอบมาก
ลู่หยวนลุกขึ้นยืนทันที “ถ้าหากเจ้ายินดีแต่ง ต่อให้ข้าต้องเผชิญเคราะห์กรรมลำบากแค่ไหน ก็จะแต่งกับเจ้าให้ได้”
เสี้ยวหงเฉิงหันหลังได้ก็เดินออกไป “เจ้าไปหาแม่สื่อที่ทำหน้าที่เจรจา เลือกฤกษ์งามยามดีได้เมื่อไหร่ ก็ไปเจรจาสู่ขอที่สำนักเหมยแดงซะ”
ชั่วพริบตานั้น ในดวงตาของนางมีแสงสว่างวับวามขึ้นมาเล็กน้อย รอยยิ้มที่งดงามดั่งดอกไม้แรกแย้มผลิบานพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง
ลู่หยวนมองตามเงาแผ่นหลังของนางอย่างแข็งทื่อเป็นตอไม้ หันไปพึมพำกับอ๋องฉีว่า “ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่? นางบอกให้ข้าแต่งนางเป็นภรรยา?”
อ๋องฉีชกที่หน้าอกของเขาไปหมัดหนึ่ง “รีบตามไปถามเร็ว ถามให้กระจ่าง หลีกเลี่ยงไม่ให้นางกลับคำ!”
ลู่หยวนเหมือนตื่นจากความฝัน รีบวิ่งขาขวิดไล่ตามนางออกไปอย่างดุเดือด อ๋องฉีนั่งลงมองดูเขาอยู่ไกล ๆ เห็นเขาเข้าไปดึงแขนของเสี้ยวหงเฉิน พอเสี้ยวหงเฉิงผลักเขาออก เขาก็เข้าไปเกาะแกะนางอีก นางก็ผลักเขาออกไปอีก จนสุดท้ายก็กึ่งผลักกึ่งสมยอม และแล้วทั้งคู่ก็จูงมือกันเดินออกไป
อ๋องฉีนั่งดูขนอิจฉาตาร้อนไปหมดแล้ว ในหัวใจเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ในเวลาแบบนี้ยังมีโอกาสได้ยินข่าวดีบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ มันช่างเป็นสิ่งที่สร้างกำลังใจให้เขาได้มากจริง ๆ
เขาสั่งให้คนรีบเก็บของ คิดว่าจะรีบไปจวนอ๋องฉู่เพื่อแจ้งให้พี่ห้ารู้ข่าวดีนี้ด้วย
เมื่อไปที่จวนอ๋องฉู่ กลับไม่พบพี่ห้า เพราะตอนนี้พี่ห้าของเขาอยู่บนเรือนางโลม กำลังมีความสุขจนเกินบรรยายอยู่นั่นเอง
หยวนชิงหลิงหลับไปได้ราว ๆ ครึ่งชั่วยามแล้ว ตอนที่ตื่นขึ้นมายังอยู่ในอ้อมแขนของเจ้าห้า แม้ว่าลมกลางคืนจะหนาวเย็นเล็กน้อย แต่เพราะอยู่ในอ้อมแขนของเขาจึงไม่รู้สึกหนาว
เมื่อเงยหน้าขึ้นไป ในดวงตาของเขาก็เป็นประกายราวทะเลดวงดาว ที่ส่องแสงสกาวระยิบระยับ เขายังไม่ได้หลับตานอนแม้แต่น้อย
“ไม่ง่วงรึ?” หยวนชิงหลิงลุกขึ้นนั่ง น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
“ไม่ง่วง ดูเจ้านอนก็พอ” เขาเอื้อมมือไป ช่วยจัดผมของนางให้เรียบร้อย ดวงตาดื่มด่ำ รอยยิ้มบริสุทธิ์จริงใจ “เจ้านอนหลับไปแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น ไม่นอนอีกสักหน่อยรึ?”
หยวนชิงหลิงงอขาเข้ามากอดเข่าเอาไว้ เอนศีรษะลงซบบนไหล่ของเขา มองดูเรือนางโลมที่ค่อย ๆ ลอยเข้ามาล้อมอยู่รอบ ๆ “ไม่นอนแล้วล่ะ ในคืนที่วิเศษเช่นนี้จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้ ตอนนี้เราอยู่กันที่กลางทะเลสาบแล้วรึ?”
“ ถูกต้อง เรือหยุดแล้วล่ะ” หยู่เหวินเห้าตอบ
หยวนชิงหลิงหันกลับไปมอง เห็นว่าเจ้าของเรือกับภรรยาเดินไปอีกด้าน ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่ว่าทั้งคู่คุยไปหัวเราะไปอย่างมีความสุข
เป็นคืนที่เงียบสงบ และผ่อนคลายสบายใจจริง ๆ
นางหันหน้ากลับมา แต่กลับเห็นประกายแสงคมปลาบวาบผ่านหางตาไป แม้ว่าจะสามารถกลับสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
“ เจ้าห้า คืนนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่? ” หยวนชิงหลิงถาม
หยู่เหวินเห้าก้มหน้าลงมองนาง “หือ? จะเกิดอะไรขึ้นได้รึ?”
“คืนนี้… แค่ออกมาเที่ยวกันธรรมดา ๆ เท่านั้นสินะ?” หยวนชิงหลิงจำได้ว่าตอนที่ออกมา เป็นแค่ความคิดแบบกะทันหันของเขา เพราะเดิมทีวางแผนกันไว้ว่าจะออกไปวันพรุ่งนี้ ดังนั้นพูดตามความจริงก็คือไม่ได้มีแผนการอะไร
เพียงแต่ว่าในหลายวันมานี้ สถานการณ์รอบตัวมันตึงเครียดเกินไป นางจึงค่อนข้างอ่อนไหว
หยู่เหวินเห้าเอื้อมมือไปลูบผมของนาง “ข้าไม่มีแผนอะไรหรอก”
“เช่นนั้นก็ดี!”หยวนชิงหลิงค่อยยิ้มออกมาได้ ในคืนที่วิเศษเช่นนี้ จริง ๆ แล้วนางก็ไม่อยากให้มีเหตุร้ายเหนือคาดอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น
หยู่เหวินเห้าเอื้อมมือออกไปกอดนาง ถอนหายใจอย่างเศร้าสลด เขาแค่อยากออกมาเที่ยวกับเจ้าหยวนดี ๆ สักครั้งก็เท่านั้น แต่ก็แอบกลัวว่าจะมีคนไม่เต็มใจให้มันเป็นเช่นนั้นน่ะสิ
ตั้งแต่ออกจวนมา เขาก็รู้ว่ามีคนตามมาด้วย แน่นอนว่า แม่ทัพหลอก็ต้องจัดคนไว้คอยติดตามเขาอย่างลับ ๆ อยู่แล้ว ที่จริงตอนที่พบ ตัวเขาเองก็คิดจะกลับไปไม่ออกมาแล้วดีกว่า แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าที่มีความสุขของเจ้าหยวน เขาก็ตัดใจทำไม่ลง
ตอนนี้เขาก็หวังแค่ว่า คนพวกนั้นจะไม่ลงมือทำอะไรคืนนี้ อย่าทำลายคืนที่วิเศษเช่นนี้ และอย่าทำลายคำสัญญาของเขาที่มีให้เจ้าหยวน
แต่เห็นได้ชัดว่า เขาไม่อาจได้ในสิ่งที่ปรารถนา
เรือนางโลมหลายลำแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทะลวงผ่านทะเลสาบอันเงียบสงบ ไอสังหารรุนแรงเจาะทะลุผ่านค่ำคืนอันแสนสงบผ่อนคลาย หยู่เหวินเห้าดึงตัวหยวนชิงหลิงให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องไปที่เรือนางโลมที่กำลังใกล้เข้ามา
เมื่อครู่หยวนชิงหลิงเพิ่งได้ยินคำรับรองจากปากเขา แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีอันตรายเข้ามาอย่างกะทันหัน จึงตกใจ หันไปมองหยู่เหวินเห้าด้วยสายตาจนใจอย่างยิ่ง “เป็นเจ้าเตรียมการไว้รึ?”
“ ไม่ใช่ อีกฝ่ายแอบตามมาอย่างลับ ๆ” หยู่เหวินเห้ารู้สึกผิดมาก จูงมือนางไปที่ห้องโดยสารเรือ “เจ้าซ่อนตัวอยู่ข้างในนี้อย่าออกมาเด็ดขาด จะไม่มีอันตรายใด ๆ แน่ มีองครักษ์ลับผีตามพวกเรามาด้วย”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าวรยุทธ์ของตัวเองใช้ไม่ได้ ไปอยู่ข้าง ๆ เขาก็มีแต่จะกลายเป็นภาระของเขาเท่านั้น ทันทีที่หันหลังกลับ ก็เห็นเจ้าของเรือกับภรรยา รวมถึงลูกเรือผู้ช่วยคนนั้นต่างก็ยืนขึ้น แล้วจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาตื่นตระหนก หยวนชิงหลิงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า: “มีอันตราย พวกเจ้าทุกคนรีบเข้ามาซ่อนในนี้เถอะ”
เมื่อพวกเจ้าของเรือได้ยินดังนั้น สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พากันมองดูเรือที่กำลังแล่นเข้ามาอย่างหวาดกลัว เจ้าของเรือรีบผลักภรรยาเข้าไป ตัวเองวิ่งขึ้นไปที่ดาดฟ้าแล้วหยิบไม้พายขึ้นมา จากนั้นมายืนขวางอยู่หน้าประตูห้องโดยสาร สอดส่ายสายตาระวังอันตราย ผู้ช่วยคนนั้นก็ไม่รู้ว่าไปหามีดทำครัวมาจากที่ไหน เอามาถือไว้ในมืออย่างสั่น ๆ สายตาก็มองไปบนผิวน้ำอย่างระแวดระวัง
เมื่อเรือนางโลมเข้ามาใกล้ จู่ ๆ ก็เห็นนับสิบที่สวมชุดดำและถือกระบี่ยาว วิ่งบนผิวน้ำในสภาพไม่ต่างจากเหยียบบนพื้นดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าโจมตีหยู่เหวินเห้าอย่างพร้อมเพรียง
หยู่เหวินเห้ายังไม่ทันยกกระบี่ขึ้นต้าน กลุ่มองครักษ์เงาที่ซุ่มซ่อนอยู่ใต้น้ำ ก็โผล่ทะยานขึ้นมาจากใต้น้ำอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝูงปลาบินที่โผนดีดตัวขึ้นมาเหนือผืนน้ำ กระบี่ยาวส่งเสียงกระทบกันดังเคร้ง ๆ กลางอากาศ จากนั้นก็มีเสียงต่อสู้ฆ่าฟันตามมาอย่างดุเดือด
หยวนชิงหลิงกับภรรยาเจ้าของเรือซ่อนตัวอยู่ในห้องโดยสาร ภรรยาเจ้าของเรือตกใจจนแทบคุมสติไม่อยู่ ตัวสั่นงันงกขณะถามว่า “เจ้า…เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงมีคนอยากจะฆ่าเจ้า?”
หยวนชิงหลิงมองดูสถานการณ์ข้างนอกอย่างกังวลใจ พอได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของภรรยาเจ้าของเรือ ก็คิดจะพูดปลอบใจให้นางสงบลงสักสองสามคำ แต่กลับได้ยินเสียงบางอย่างพุ่งแหวกอากาศเข้ามาอย่างรวดเร็ว
นางหันไปมองทันที ก็เห็นลูกธนูที่ไฟลุกโชนพุ่งออกมาจากเรือนางโลมรอบ ๆ บินเข้ามาราวกับฝนลูกธนู เจ้าห้ายืนอยู่บนดาดฟ้า และลูกธนูเหล่านั้นต่างก็พุ่งตรงเข้ามาหาเขา
หยวนชิงตะโกนเสียงดัง “เจ้าห้า รีบหลบสิ!”
แต่หยู่เหวินเห้ากลับไม่หลบ ยืนขึ้นอย่างสบาย ๆ แล้ววาดกระบี่เป็นแนวขวาง กระบี่เล่มหนึ่งถูกเขาฟาดลงไปในทะเลสาบ ซึ่งดูเท่าทางนั้นชำนาญมากชนิดที่แทบไม่ต้องออกแรง แต่ในสายตาของหยวนชิงหลิง มันน่าตกใจมาก จนนางเผลอหลุดเสียงกรีดร้องแหลมออกจากปาก หัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบจะกระเด็นลอยออกไปให้ได้แล้ว