บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1124 ทังหยางหายป่วย
ถึงหยู่เหวินเห้าจะปลอบนางไปแบบนี้ แต่ที่จริงเขาก็รู้อยู่แก่ใจ เมืองหลวงประชากรมาก ยาจากเขตรอบข้างหากถูกซื้อจนหมด เช่นนี้เมืองใกล้เคียงก็คงพากันส่งให้นายทุนใหญ่ไปแล้ว เพราะราคาสูงกว่าตลาดถึงสองส่วน ใครก็อยากได้เงิน ดังนั้นยาในพื้นที่จึงอาจไม่พอส่งให้เมืองหลวง
การซื้อยามโหฬารเช่นนี้ ค่าใช้จ่ายไม่น้อย อย่างน้อยต้องสองพันตำลึงหรืออาจไม่แค่นั้น ปีก่อนๆ ในราชสำนักก็มีคนแบบนี้เหมือนกัน มีพ่อค้ากักตุน แล้วขายในราคาสูงตอนที่เกิดโรคระบาด แรงสะเทือนกับราชสำนักก็มีไม่น้อย ดังนั้นจึงลงโทษคนพวกนี้หนัก แม้มีการสั่งห้ามข่มขู่ แต่ก็ยังขจัดคนที่อยากเสี่ยงรวยไม่ได้
โดยเฉพาะราชสำนักในตอนนี้เป็นเวลาที่ค่อนข้างวุ่นวาย มีพ่อค้าคิดฉวยโอกาสช่วงชุลมุน การแสวงหาผลกำไรจากวิกฤตแคว้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
อีกอย่างตอนนี้เป่ยถังเปิดเสรีทำการค้ากับต้าโจว ส่วนทางแคว้นต้าเย่กับแคว้นต้าซิงก็เริ่มลงนามนโยบายสั่งสินค้าแลกเปลี่ยนแล้ว และเป็นไปได้ว่าพ่อค้าแคว้นอื่นอาจมาได้เงินที่เป่ยถัง แล้วก็นำสินค้าจำนวนมากหรือทองคำกลับไป
แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ต้องดำเนินการลับๆ จะมีพิรุธไม่ได้ เห็นได้ว่าเป็นแผนการใหญ่ ต้องผนวกคิดแผนการเบื้องหลังของหงเล่เข้าไปด้วย อย่างน้อยก็ตัดเขาออกไม่ได้
วันถัดมาหยวนชิงหลิงก็นำรายการวัตถุดิบยานี้ไปหาย่าที่โรงเรียนแพทย์ เรื่องแพทย์แผนจีนนางนั่นแหละถึงจะแน่นอน
พอย่าหยวนดูแล้วก็ขมวดคิ้วแน่น เอ่ย “ยาพวกนี้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดธรรมดาได้หมด แต่ในนี้มียาหลายตัวใช้กับทางเดินหายใจอักเสบได้ดีที่สุด แล้วยาพวกที่ขับร้อนได้ก็อยู่ในรายการนี้หมด นังหนู ฤดูกาลในตอนนี้ขาดยาพวกนี้ไม่ได้นะ ต้องให้คนหาทางซื้อมา อย่าว่าแต่ที่อื่น ที่โรงเรียนแพทย์ช่วงนี้ก็มีนักเรียนหลายคนเป็นไข้ ไอ ดีที่โรงเรียนแพทย์มี ถ้าข้างนอกซื้อไม่ได้ ไข้หวัดยังพอจัดการง่าย ด้วยภูมิต้านทานแต่ละคนไม่กี่วันก็หาย แต่ไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ ต้องมียารักษา แถมฤดูนี้ก็เป็นช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ระบาดมากด้วยสิ”
“งั้นมียาตัวอื่นใช้แทนได้ไหมคะ?” หลักๆ แล้วหยวนชิงหลิงอยากถามเรื่องนี้
ย่าหยวนมองแล้วส่ายหน้า “กับอาการโรคพวกนี้ ยาที่ร่ายมาในรายการก็ครบครันมาก มียาบางตัวใช้แทนกันได้ แต่ก็อยู่ในรายการนี้หมด ที่เหลือพวกนั้นไม่ค่อยได้ผลเท่าไร”
อย่างนั้นก็วุ่นวายล่ะ
“เรื่องนี้หนักมาก พ่อหลานเขยจัดการได้ไหม?” ย่าหยวนถาม
เรื่องนี้หยวนชิงหลิงไม่เก็บซ่อนหมกเม็ด เอ่ย “ยากหน่อย แต่ก็จะพยายามให้ถึงที่สุดค่ะ ช่วงนี้ท่านก็ไม่ต้องกังวลมากไป”
ย่าหยวนถอนหายใจเบา “ช่วงนี้เรื่องเยอะ เจ้าต้องช่วยพ่อหลานเขยให้มากหน่อย เขาเหนื่อยมากจริงๆ ครั้งที่แล้วเจอเขา เขา ซูบไปเยอะเลย”
หยวนชิงหลิงเข้าไปกอดย่าหยวน เมื่อได้กลิ่นสมุนไพรทั้งตัวแล้วก็รู้สึกสงบใจทันที “วางใจเถอะค่ะ เรื่องใหญ่แค่ไหนก็มีคนแบก แต่โบราณมาก็เป็นแบบนี้ คนอื่นทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน”
ย่าหยวนคิดแล้วก็เอ่ย “เรื่องนี้อะนะ ค่อนข้างเร่งด่วน ไม่งั้นก็ลองถามทางต้าซิงดูว่าจะส่งวัตถุดิบยามาสักหน่อยได้ไหม?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้น “คุณย่าผู้แสนดีของข้า ยังไม่ต้องพูดถึงหนทางต้าซิงกับเป่ยถังไกลโข เอาแค่การขนส่งยาแล้วกัน ต้องใช้คนใช้ของเท่าไร? อีกอย่างกว่าจะส่งมาถึงก็คงสิ้นปีแล้ว ”
คุณย่าเอ๋อแบบน่ารักไปพลัน “จริงสิ ข้าลืมคิดว่าที่นี่ล้าหลัง การคมนาคมไม่เจริญ”
หยวนชิงหลิงพูดปลอบ “ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก เจ้าห้าจัดการเองนั่นแหละ ยาพวกนี้พวกเขาเก็บไป ต้องหาที่เก็บตุนแน่ ถ้าหาที่เก็บตุนวัตถุดิบยาเจอก็เสนอราคาซื้อกลับมาได้ ถ้าซื้อกลับมาไม่ได้ก็มีวิธีอื่น”
เมื่อได้ฟังดังนั้นแล้วย่าหยวนก็วางใจ “เรื่องนี้เร่งด่วน รีบหากลับมาเถอะ ในตลาดจะขาดยาพวกนี้นานไม่ได้ ไม่งั้นประชาชนจะต่อว่าราชสำนักหนัก”
“ค่ะ วางใจเถอะ” หยวนชิงหลิงสนทนากับนางพักหนึ่งแล้วก็กลับจวน
สองวันนี้ทังหยางค่อยๆ กลับคืนเป็นปกติแล้ว ถึงสมองยังช้าอยู่บ้าง แต่ก็จำทุกคนกับเรื่องที่ผ่านมาได้
เรื่องฮูหยินทังก็ยังไม่ได้จัดการ คาเรื่องไว้ให้เขา เพียงแต่กุมขังไว้ในจวนอ๋องชั่วคราว
สำหรับคนที่ปลอมตัวเป็นทังหยาง อาการบาดเจ็บก็ใกล้หายแล้ว แต่เพราะลิ้นถูกเฉือนไป ทั้งเขียนหนังสือไม่เป็น ดังนั้นจึงไม่อาจไต่สวน หยู่เหวินเห้าให้คนส่งเขาไปที่กรมการพระนครนานแล้ว ขังเอาไว้ รอเรื่องนี้ผ่านไปแล้วค่อยตัดสินอีกที
หลังจากทังหยางได้สติ ก็ไปที่ห้องหนังสือเป็นอันดับแรก จากนั้นถึงไปพบฮูหยินทัง
ระหว่างที่ฮูหยินทังถูกกุมตัวก็เงียบสงบมาตลอด แต่ก็ไม่ตอบคำถามใดๆ เช่นกัน แน่นอนว่าหยู่เหวินเห้าไม่คิดงัดอะไรออกมาจากปากนางอยู่แล้ว
ประโยคแรกที่ฮูหยินทันพูดขึ้นเมื่อพบเขา ก็คือหวังว่าเขาจะพานางกลับไปคุยที่บ้าน
พอทังหยางเห็นนาง บัดนี้ดวงตานางใสสว่าง ในรูม่านตามีประกายส่องเข้าไป เขาส่ายหน้าไม่หยุด “ปิดข้าดีจริงนะ!”
เขาคิดว่าตนเองฉลาดมาครึ่งชีวิต แต่กลับถูกนางปั่นหัวกุมอยู่ในมือหลายปี แม้แต่นางตาบอดจริงหรือไม่ก็แยกไม่ออก
นางมองเขาอย่างเหม่อลอย “ถ้าเจ้าใกล้ชิดข้ามากหน่อยก็จะรู้ แต่หลายปีมานี้ถึงเราได้ชื่อว่าเป็นผัวเมีย แต่กลับไม่ได้เป็นจริงๆ จะว่าไปก็เพราะเจ้าไร้หัวใจเกินไปนั่นแหละ”
“ไม่ต้องมาทำท่าอย่างกับรักซึ้งตรึงใจ เจ้าทำให้เข้ารู้สึกขยะแขยงนัก” คำพูดโหดเหี้ยมที่สุดที่ทังหยางคิดได้ก็คือประโยคนี้ การหลอกลวงหลายปีนี้ นางแอบส่งข่าวสารออกไปแล้วเท่าไร? มิน่าล่ะ สองปีมานี้ทุกความเคลื่อนไหวในจวนอ๋องฉู่จึงถูกอีกฝ่ายรู้ได้โดยพลัน เรื่องหนอนบ่อนไส้เขาคิดมาหลายตลบ ตรวจสอบมาหลายครั้งแต่ก็ได้ไม่ได้ความ ไหนเลยจะคิดว่าเป็นนาง?
เขาไม่ได้เห็นนางเป็นภรรยาอย่างเดียว แต่เห็นนางเป็นมิตรสหาย นอกจากเรื่องที่เป็นความลับสุดยอด บางเรื่องเขาก็จะพูดคุยกับนาง โดยเฉพาะเวลาออกบ้านก็มักบอกนางก่อน ดังนั้นการเคลื่อนไหวจึงถูกคนอื่นรู้
ฮูหยินทังหัวเราะขึ้น หัวเราะอย่างขื่นขม “ขยะแขยงหรือ? เจ้าก็ต้องขยะแขยงข้าอยู่แล้ว หลายปีมานี้ใจเจ้าไม่เคยมีข้า นอกจากคืนนั้นแล้วเจ้าก็แทบเห็นข้าเป็นคนตาย”
ทังหยางมองนาง ขนาดว่าเดินเข้าใกล้ก็ไม่อยาก “ข้าไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้อีก องค์รัชทายาทบอกข้าว่าเจ้าถูกจับกุม ไม่ยอมบอกคนที่อยู่เบื้องหลัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่ถามเจ้า ข้าจะขอร้องให้องค์รัชทายาทละเว้นชีวิตเจ้า ส่งเจ้าไปจากเมืองหลวง ต่อไปเจ้าก็ภักดีกับนายของเจ้าต่อเถอะ หรือมีทางไปอื่นก็ไม่เกี่ยวกับข้า”
เขาเอาหนังสือหย่าออกมาจากแขนเสื้อ โยนไปที่ตัวนางแล้วหมุนตัวจากไป
ฮูหยินทังฉีกหนังสือหย่าทันที พูดอย่างเคียดแค้น “ข้าไม่รับหนังสือหย่า สัญญาที่เจ้าเคยให้ไว้ ชาตินี้จะไม่ละทิ้งห่างหาย ตอนนี้เจ้าอย่าคิดจะทิ้งข้า! และข้าก็จะไม่ไปจากเมืองหลวงด้วย ทังหยาง ข้าจะเกาะติดกับเจ้าไปทั้งชาติ!”
ทังหยางไม่ไหวติงแม้แต่น้อย “งั้นก็กลัวแต่ตามใจเจ้าไม่ได้ เรื่องที่เจ้าทำเดิมควรตัดหัว ให้เจ้าไปจากเมืองหลวงถือเป็นความพยายามที่สุดของข้าแล้ว แต่ถ้าเจ้าไม่รู้จักถนอมโอกาส ออกจากจวนอ๋องฉู่แล้วจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวกับข้า”