บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1125 คำสารภาพของฮูหยินทัง
ทันใดนั้นฮูหยินทังก็ฉุดแขนของเขา ดวงตาโกรธแค้น “ทำไมเจ้าถึงไร้หัวใจอย่างนี้นะ? ต่อให้ตีข้า ด่าข้า ก็ยังดีกว่าเย็นชาอย่างนี้ หลายปีขนาดนี้แล้ว ข้ายังทำให้ใจเจ้าอบอุ่นขึ้นมาไม่ได้หรือ? สุดท้ายเจ้าก็ยังลืมผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ หย่ากับข้าเพื่อเจ้าจะได้ไปแต่งกับนางใช่ไหม?”
ดวงตาทังหยางหนักอึ้งและเจ็บปวดเกิดขึ้นมา ควบไอเย็นที่ยะเยือกแบบไร้ที่สิ้นสุด ริมฝีปากเจือความเย็นชืด “แต่งกับนาง? ชาตินี้มันเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะวันที่ข้าแต่งกับเจ้า นางก็ตายพอดี”
“เป็นไปไม่ได้!” ฮูหยินทังยิ้มเย็น สะดุดเท้าถอยไปก้าวหนึ่งแล้วจ้องเขา “เจ้าอยากให้ข้ารู้สึกผิดใช่ไหม? หลายปีนี้ข้าหยั่งเชิงเจ้ามาตลอด รับนางเป็นอนุก็ได้ เจ้าบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับนาง แล้วนางก็มีความสุขดี ไม่อยากรบกวน แล้วจู่ๆ นางจะตายได้ยังไง? ข้าไม่รู้สึกผิดหรอก นายตายไปพอดี ตายซะก็ดี ครองหัวใจเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ นางสมควรตาย แต่ถึงนางจะตายเพราะเรื่องนี้จริง งั้นคนที่ทำให้นางตายก็คือเจ้า ไม่ใช่ข้า!”
ดวงตาทังหยางมีประกายที่เย็นยะเยือก ความเจ็บปวดที่หนักอึ้งและหมดกำลังไม่อาจปัดเป่า เขาเอ่ยขึ้นอย่างสงบ “ถูกต้อง คนที่ทำให้นางตายเป็นข้าจริงๆ ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
เขาหมุนตัวไปครู่หนึ่ง ฮูหยินทังขาอ่อนล้มไปอยู่กับพื้น ถามขึ้นด้วยเสียงเศร้า “เจ้าไม่มีอะไรที่อยากรู้หรือ? เจ้าไม่อยากรู้ว่าทำไมข้าถึงช่วยพวกเขาทำงานหรือ? เจ้าไม่อยากรู้ ว่าคนนั้นเป็นใครกันแน่หรือ?”
ทังหยางหันกลับมา จ้องนาง “คนนั้นก็คือหงเล่ พวกเรารู้แล้ว แต่ทำไมเจ้าถึงช่วยเขา นั่นเป็นเรื่องของเจ้า”
“เกี่ยวกับเจ้า!” นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้า “ตอนนั้นดวงตาข้าบาดเจ็บจริง เป็น นายท่านที่ช่วยข้า รักษาดวงตาให้ข้า แต่เข้าไม่ช่วยคนโดยไม่มีสาเหตุ สักวันต้องให้ข้าชดใช้ ปีจี๋พิ่นอายุสิบห้า ข้าก็มอบตัวให้เขา สิบสองปีก่อนเขาเริ่มวางเส้นสายลับในทุกแคว้น ข้าจึงไปๆ มาๆ ต้าโจวกับเป่ยถังให้เขาก่อน” ตอนที่ข้าอยู่ต้าโจวทำงานไม่สำเร็จสักเรื่อง และเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว ถ้าข้ายังทำงานที่เป่ยถังให้เขาไม่ได้อีก เขาก็จะฆ่าข้า แต่ไหนมาเขาก็ไม่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ ตอนนั้นพวกเรากำลังเครียดที่แทรกซึมเข้าราชวงศ์เป่ยถังไม่ได้ แต่แล้วสวรรค์ก็สงสารข้า ส่งเจ้ามาอยู่ตรงหน้าข้า พอรู้ว่าเจ้าทำงานให้อ๋องฉู่ข้าก็เลยรีบจัดฉาก สร้างเรื่องน่าอนาถของข้าหลายปีนี้ การเมาเหล้าในครั้งนั้นก็เป็นแผนข้าเหมือนกัน ตอนนั้นเจ้าเมามายไร้สติ ที่จริงไม่ได้ทำอะไรเลย ข้าวางยาเจ้า ทำให้เจ้าเสียความทรงจำสั้นๆ ไป บวกกับสิ่งที่พบเห็นตอนตื่น เจ้าก็เลยคิดว่ามีอะไรกับข้า บวกกับการตรวจสอบการบาดเจ็บทางตาของข้าหลายนี้เป็นเพราะเจ้า อยู่อย่างน่าอนาถ เพราะเจ้านึกถึงมิตรภาพเก่าก่อน ต้องไม่ทิ้งข้าไม่สนใจข้าแน่ ที่ตัดบุพเพของเจ้า ข้าไม่ได้ปรารถนาเช่นนั้น และข้าก็ไม่ใช่คนชั่วช้าสามานย์ ทุกอย่างที่หลายปีนี้ก็จนใจเหมือนกัน ก็แค่มีนายคนละคนกับเจ้า แล้วข้าผิดอะไร?”
ทังหยางมองนาง ในดวงตามีอารมณ์สับสน “ที่เจ้าพูดอยู่ตอนนี้ ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จแล้ว”
ฮูหยินทังหัวเราะกลบเกลื่อนความระทม “ได้ งั้นข้าจะบอกบางเรื่องที่พวกเจ้าอยากรู้ หงเล่ยังไม่ตายจริงๆ ตอนที่ต้าโจวกับเป่ยถังล้อมเขาอยู่ เขาก็รู้ว่าชะตาแคว้นซู่จบแล้ว เขาก็เลยจัดการทหารองครักษ์หาทางหนี ตอนแรกทำไมต้าโจวรุกเข้าเมืองมาได้ง่ายอย่างนั้นล่ะ? ถ้าเขาอยู่ ยังไงก็ต้องต้านทานสุดกำลังกว่าค่อนเดือนถึงบุกเข้ามาได้ใช่ไหม? ตอนนั้นพวกเจ้าก็ควรสงสัยได้แล้ว”
ทังหยางชะงัก “ถ้าพูดแบบนี้ งั้นเขาแกล้งตาย แล้วก็นำทหารไป?”
“เขานำทหารห้าหมื่นนาย และตอนนี้ก็กำลังแอบศึกษาผลิตรถรบแบบของต้าโจวอย่างนั้นอยู่ จะสำเร็จหรือไม่ข้าก็ไม่รู้ แต่เป่ยโม่ยินดีร่วมมือกับเขา นอกจากไส้ศึกแล้วยังต้องคนอื่นแน่ เป่ยโม่เคยเสียเปรียบด้านอาวุธ พวกเขาเคยเป็นแคว้นที่มีอาวุธล้ำเลิศที่สุด ตอนนี้กลับล้าหลังกว่าเป่ยถังกับต้าโจว นี่จะยอมได้ยังไง? ข่าวลือในเมืองหลวงตอนนี้ก็เป็นพวกเขาปลุกปั่นขึ้น”
เรื่องพวกนี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของทังหยาง เว้นแต่เรื่องอาวุธทหารและรถรบ เขาชายตาฉงนใจ “พวกเขาจะศึกษาผลิตรถรบได้ยังไง?”
“รายละเอียดพวกนี้ข้าไม่รู้ ข้าแค่เคยได้ยินไส้ศึกพูด พวกเขาได้อาวุธกับรถรบมาจากต้าโจว แล้วก็หาช่างผลิตอาวุธชื่อดังจากต่างละแคว้นมาร่วมหล่อขึ้น เห็นว่ารถรบหล่อขึ้นมาได้คันหนึ่งแล้ว ใกล้เคียงกับของต้าโจว”
ทังหยางแปลกใจ หากเป็นเช่นนี้ ถ้าหงเล่เปิดศึกกับเป่ยโม่ แผนการความวุ่นวายสถานการณ์การเมืองของเป่ยถังก็เป็นแค่ฉากบังหน้าหรือ?
หากสายตาของผู้วางแผนของเป่ยถังเล็งอยู่กับการเปลี่ยนสถานการณ์ภายในของเมืองหลวง กระทั่งระแวงอิจฉาใครต่อใคร แล้วพวกเขาค่อยรวมกำลังทหารแบบสายฟ้าแลบ เคลื่อนพลไปทางใต้ กองกำลังแข็งแกร่ง บวกกับอาวุธรถรบเหล่านั้น แล้วเป่ยถังจะต้านทานได้อย่างไร?
“อ๋องอานสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาด้วยหรือเปล่า?” ทังหยางถาม
ฮูหยินทังเอ่ย “ก็ต้องเคยติดต่ออยู่แล้ว แต่ภายหลังเป็นยังไงข้าก็ไม่รู้ แต่ด้วยที่ผ่านมา ยังไงอ๋องอานหนีไม่พ้นอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงจะตีตนออกหากก็คงเหมือนขี่หลังเสือ ดูสิว่าเขาจะเลือกยังไง ไม่อย่างงั้นอ๋องอานก็จะเป็นหินขัดขาขององค์รัชทายาท เป็นหินขัดขาก้อนโตด้วย”
ทังหยางยังอยากถามอีก แต่ฮูหยินทังกลับส่ายหน้า “ข้าพูดได้แค่นี้ ถ้าถามอีกข้าก็ต้องเผยร่องรอยของเส้นทางลับของคนอื่น ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้ พวกเขาเคยสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า ข้าจะไม่หักหลังพวกเขา”
ทังหยางมองนาง ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรเชื่อคำพูดพวกนี้ของนางหรือไม่ ยังไม่แยกส่วนที่ข่มขู่พูดเกินเลยที่ทำให้พวกเขาเกิดความวุ่นวายกันเองก่อน แต่ก็ไม่ปัดตกจากข้อเท็จจริง เพราะตอนแรกก็เคยคิดอย่างนี้เหมือนกัน
ฮูหยินทังมองเขานิ่งๆ “พอข้าออกเมืองหลวงแล้วก็ยากหนีรอดความตาย เจ้าคงรู้เหมือนกัน ที่เจ้าไม่ฆ่าข้าก็แค่กลัวเปื้อนมือตัวเองละสิ? ข้ารู้จักเจ้ามาแต่เล็ก สายใยกว่าค่อนชีวิต ไม่ขออย่างอื่น ถ้าเจ้าลงมือฆ่าข้าได้ ข้าจะซาบซึ้งใจมาก แต่ถ้าเจ้าลงมือไม่ลง งั้นก็ให้เหล้าพิษข้าสักจอกเถอะ ”
น้ำตานางไหลพราก โศกเศร้าสิ้นหวังเหลือคณา “พอข้าตายแล้ว ก็รบกวนเจ้าเก็บศพข้าด้วย ใส่โลงแล้วฝัง ไม่ต้องตั้งแผ่นป้าย ในเมื่อใช้แซ่ของเจ้าไม่ได้ งั้นแผ่นป้ายก็ไม่มีความหมายอะไรกับข้า”
ใบหน้าทังหยางเคร่งเครียด อย่างไรก็ทนเห็นนางร้องไห้เสียใจไม่ได้ ดังนั้นจึงหมุนตัวออกไป
พอออกไปก็สงบจิตใจสักหน่อย แล้วตรงดิ่งไปยังห้องหนังสือของหยู่เหวินเห้า บอกเล่าคำพูดที่นางสารภาพทั้งหมดให้เขาฟัง
หยู่เหวินเห้าได้ฟังแล้วก็พิจารณาอยู่พักหนึ่ง “ข้ากลับคิดว่าที่นางพูดเป็นความจริง ตอนแรกข้ากับท่านชายหงเย่เคยคุยกัน เขาก็คิดเหมือนกันว่าถ้าหงเล่แกล้งตายแล้วหนีไป ต้องนำทหารไปด้วยแน่ การล้อมเมืองในตอนนั้น ตอนนี้พอคิดดูแล้วก็ง่ายเกินไปจริงๆ แต่ไหนมาหงเล่ก็ขึ้นชื่อว่าใช้ทหารดั่งเทพ ถูกทะลวงได้ง่ายแบบนี้ แม้แต่เขายังตายอยู่ในกำแพงเมืองอย่างอเนจอนาถ เป็นไปไม่ได้จริงๆ”
เสียแต่ตอนนั้นทุกคนต่างถูกชัยชนะมอมเมาสติ คิดว่าอาวุธในตอนนั้นล้ำเลิศ ทำให้ทัพแคว้นซู่แค่ได้ยินก็ต้องสะท้าน ถึงได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว
“จริงสิ เกี่ยวกับเรื่องสมุนไพร เจ้าลองถามนางดู เป็นหงเล่แอบชักใยอยู่หรือเปล่า? พวกเขาซ่อนยาไว้ที่ไหน” หยู่เหวินเห้า คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เอ่ย
ทังหยางเพิ่งได้สติมาไม่นาน ยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ เมื่อได้ยินหยู่เหวินเห้าพูดรายอย่างละเอียดกับเขาแล้วถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด วกกลับไปอีกครั้งทันที
ทว่าเขาเพิ่งถึง ก็ได้ยันเสียงโศกเศร้าสิ้นหวังดังออกมาจากข้างใน “ทังหยาง..