บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1126 ฮูหยินทังเสียแล้ว
ทังหยางตัวเย็นเฉียบไปหมด ถีบประตูเปิดออกพรวด เห็นนางสัมผัสกำแพงล้มอยู่กับพื้น หน้าผากมีเลือดสดไหลออกมา การกระแทกครั้งนี้นางทำด้วยความคิดที่ต้องตายให้ได้ ไม่เหลือทางรอดให้ตัวเอง
ทังหยางอุ้มนางขึ้น ตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ “หลี่ฉวน หลี่ฉวน”
เลือดฮูหยินทังไหลนองหน้า ยกแขนที่อ่อนแรงขึ้น แต่กลับไม่สามารถสัมผัสใบหน้าเขาได้ ก่อนที่มุมปากจะมีเลือดไหลออกมาได้ปรากฏรอยยิ้มหนึ่ง “ขอโทษ…ตอนนั้นข้า ไม่มีทางอื่นแล้วจึงได้ทำลายบุพเพของเจ้า”
หัวใจทังหยางมีความเศร้าที่พูดไม่ออก “เจ้าอย่าเพิ่งพูด ข้าจะพาเจ้าไปหาพระชายารัชทายาท”
เขาอุ้มนานวิ่งออกไปข้างนอก โซซัดโซเซตะโกนเรียกพระชายารัชทายาทตลอดทางกระทั่งถึงตำหนักเซี่ยวเยว่
พอหยวนชิงหลิงเห็นเขาอุ้มคนที่มีเลือดออกเต็มศีรษะเข้ามาก็ตกใจ พอมองชัดว่าเป็นฮูหยินทังแล้วก็หันไปเอากล่องยามาทันที สั่งให้ทังหยางวางนางไว้ที่เก้าอี้นอนอย่างหนักแน่น
ทังหยางวางนางลง เนื้อตัวเริ่มเหม่อลอย ยืนอยู่ตรงนั้น ภาพที่อยู่ตรงหน้าเป็นรูปแบบสีแดงเลือดสะท้อนเข้าม่านตา
เลือดสดที่ศีรษะห้ามได้แล้ว แต่นางฝืนใช้กำลังภายในกระแทกเข้าไป นอกจากหน้าผากที่มีเลือดออก กะโหลกก็มีเลือดออกรุนแรงเหมือนกัน เลือดออกที่สมองทำให้แรงดันภายในกะโหลดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลือดจะเริ่มออกมาทางช่องหู ลมหายใจกับการเต้นของหัวใจจะแผ่วเบาลงมาก
หยวนชิงหลิงกู้ชีพไปพักหนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้น ส่ายหน้ากับทังหยางอย่าจนใจ
ทังหยางหาเก้าอี้มานั่งช้าๆ ไม่อาจปรับลมหายใจได้ ประเดี๋ยวเร็ว ประเดี๋ยวกลั้นลมหายใจ สีหน้าขาวซีดหนัก
หยวนชิงหลิงตบบ่าเขาเบาๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี พาคนออกไปให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังครู่หนึ่ง
ริมฝีปากฮูหยินทังขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดไม่ออกสักคำ ได้แต่มองทังหยางอยู่อย่างนั้น น้ำตากลิ้งไหลจากดวงตา ชีวิตนี้ จะเลวจะอนาถก็ถึงตอนท้ายแล้ว กลับผ่อนคลายดั่งยกภูเขาออกจากอก
ทังหยางนั่งอยู่ข้างนาง กุมมือนาง ไม่พูดสักคำ อยู่เป็นเพื่อนนางจนวินาทีสุดท้าย
ครั้นหยู่เหวินเห้ารู้ว่าฮูหยินทังเสียแล้วก็เสียดายนัก กว่านางจะยอมปริปาก เดิมยังถามเรื่องวัตถุดิบยาได้อีก ตอนนี้เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด
เรื่องงานศพของฮูหยินทัง เป็นทังหยางจัดการให้นางด้วยตนเอง เคลื่อนศพออกบ้านของพวกเขาแล้ว แต่เรื่องเลือกสุสานเขาให้สวีอีช่วย พอสวีอีให้ซินแซดูฮวงจุ้ยเลือกให้แล้วก็ถามเขา “จะให้คนสลักป้าย บนแผ่นป้ายจะเขียนว่าอะไร?”
ทังหยางนิ่งงันอยู่นานแล้วถึงส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องตั้งแผ่นป้ายแล้ว”
สวีอีตะลึง ยืนนิ่ง
ทังหยางเงยหน้า “ทำไมล่ะ? ยังมีอะไรอีกหรือ?”
“ข้านึกว่า…เจ้าดูเสียใจขนาดนี้ คงจะตั้งแผ่นป้ายให้นาง” สวีอีก็ไม่ใช่คนที่เก็บคำพูดอยู่ ดังนั้นจึงโพล่งปากออกไป
ดวงตาทังหยางมีอารมณ์คลุมเครือปกคลุมอยู่ ความหนักอึ้งและเจ็บปวดค่อยๆ ทวีขึ้น “ข้าเคยตั้งแผ่นป้ายแล้ว จะไม่ตั้งให้ผู้หญิงอื่นอีก ที่ข้าเสียใจเพราะนางเป็นคนที่ข้ารู้จักมาแต่เด็ก อยู่กับข้ามาหลายปี แต่ถึงหลายปีมานี้เป็นเรื่องจอมปลอม เป็นคำโกหก แต่นางก็เป็นคนที่เคยอยู่ข้างกายข้าจริงๆ มีเพียงเท่านี้”
สวีอีฟังจนเหงื่อตก อะไรคือตั้งแผ่นป้ายแล้วจะไม่ตั้งให้หญิงอื่นอีก? และมิตรภาพอะไรเป็นสิ่งจอมปลอม? สวีอีคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ช่างเถอะ เขาบอกไม่ตั้งแผ่นป้ายก็ไม่ตั้ง ผู้หญิงคนนี้ก็ทำจนพวกเขาแย่กันหมด หลายปีมานี้ก็ไม่รู้ว่าปล่อยข่าวออกไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว แถมนางยังจับใต้เท้าทังไป ทำจนใต้เท้าทังซึมกะทือ ขืนยังตั้งแผ่นป้ายให้นางอีก มิต้องคิดว่าจวนอ๋องรังแกง่ายอย่างนั้นหรือ?
เมื่อจัดการงานศพของฮูหยินทังเสร็จ ในเมืองหลวงก็เริ่มเป็นหวัดกันหนักจริงๆ ในจวนอ๋องฉู่ก็มีหลายคนที่ไม่สบาย โดยเฉพาะอะซี่ สองสามวันนี้เอาแต่ไอ แถมยังตัวร้อนด้วย หยวนชิงหลิงตรวจอาการนางแล้ว ไม่เหมือนกับไข้หวัดธรรมดา สงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่
หมอที่นี่ไม่แยกระหว่างไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดธรรมดา ในความเข้าใจของหยวนชิงหลิง ไข้หวัดหมายถึงหวัดธรรมดา ความเป็นเอกเทศค่อนข้างน้อย การแพร่กระจายไม่มาก คนที่ภูมิคุ้มกันดีต่อให้ไม่กินยาก็หายเองได้
แต่ไข้หวัดใหญ่เป็นการแพร่เชื้อของไวรัส ทั้งยังเปลี่ยนแปลงได้ง่าย จะแพร่กระจายเป็นบริเวณกว้าง
หยวนชิงหลิงจ่ายยาต้านไวรัสให้อะซี่ ส่วนตัวเองก็สวมผ้าปิดปาก เอ่ย “ช่วงนี้เจ้าไปไหนมา?”
อะซี่คิดแล้วจึงตอบ “ช่วงนี้ก็ไม่ได้ไปทำงานนอกจวน ตอนเช้าแค่ไปที่ฮูหยินเหยา แล้วก็กลับตระกูลหยวนมา ”
“ฮูหยินเหยา? จริงสิ ข้าจำได้ว่าวันนั้นเจ้าบอกว่าฮูหยินเหยาป่วย ไม่รู้ตอนนี้นางเป็นยังไงบ้างแล้ว? เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปถาม” หยวนชิงหลิงคิดว่าโดยรวมฮูหยินเหยาน่าจะถูกแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ จากนั้นก็แพร่ให้อะซี่ต่อ
ไม่รอให้หยวนชิงหลิงส่งคนไปถาม ฮุ่ยเทียนก็มา
เขาบอกว่าฮูหยินเหยาไข้ขึ้นหลายวัน ไม่ลดเลย ขอให้หยวนชิงหลิงไปดูสักหน่อย
หยวนชิงหลิงถือกระเป๋ายาออกไปทันที ตอนที่ฮุ่ยเทียนควบม้ามา หยวนชิงหลิงก็เห็นใบหน้าเขาแดงนิดๆ ทั้งเสียงก็แหบแห้งเล็กน้อย ดูมีเค้าอาการเหมือนกัน
“ฮุ่ยเทียน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? เจ้าไอ ตัวร้อนหรือเปล่า?”
“กระหม่อมไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ!” ฮุ่ยเทียนกุมบังเหียนตอบไปเสียงหนึ่ง แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ไอไปสองสามที จากนั้นก็กระแอมเอ่ย “เจ็บคอนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นก็ใช่แล้วไง
หยวนชิงหลิงพาหมันเอ๋อตามเขาไปที่บ้านทางนั้น ข้างกายฮูหยินเหยาเพิ่งจ้างสาวใช้มาคนหนึ่ง ขี้กลัว ดูเงอะๆ งะๆ แต่ก็ปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินเหยาอย่างขยันขันแข็ง
พอหยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าฮูหยินเหยาซีดเซียว ริมฝีปากไร้สีแล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ยังไงกัน? ท่านป่วยก็ไม่ให้คนไปบอกข้า”
ฮูหยินเหยาหัวเราะใส่นาง แล้วยื่นมือจับหยวนชิงหลิงที่ทิ้งอยู่ข้างเตียง “รู้ว่าช่วงนี้พวกเจ้ายุ่งมาก ไม่อยากรบกวนพวกเจ้า”
หยวนชิงหลิงคับอก “พูดเสียห่างเหิน เห็นข้าเป็นคนอื่นแล้วหรือยังไง?”
ฮูหยินเหยาเฮ้อเสียงหนึ่ง คิ้วงามก็ขมวดตาม เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ข้าแค่คิดว่าป่วยเล็กน้อยไม่เป็นไรหรอก คิดไม่ถึงว่าจะไม่เอาไหนแบบนี้ ตั้งแต่เจ้ารักษาโรคนั้นหายแล้ว ข้าก็ไม่เคยป่วยอีก คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะติดต่อกันหลายวันก็ไม่ดีขึ้น”
นางเห็นหยวนชิงหลิงสวมผ้าปิดปากอีกก็เริ่มกลัว “หรือข้าป่วยเป็นโรคนั้นอีก?”
หยวนชิงหลิงถลึงตาใส่นาง “ท่านเพ้อเจ้ออะไรน่ะ? แค่สงสัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่เท่านั้น”
นางสอบถามอาการ เริ่มแต่ตอนแรกแค่หมดแรง จากนั้นก็ไอ เจ็บคอ ตัวร้อน อาการพวกนี้เป็นขั้นตอนของไข้หวัดใหญ่ กอปรกับฮุ่ยเทียนให้ยาที่รักษาไข้หวัดจำนวนหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ผล โดยรวมแน่ชัดว่าเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว นางเอ่ย “โรคท่านเนี่ย ไม่เหมือนกับไข้หวัดธรรมดา เรียกว่าไข้หวัดใหญ่ แพร่กระจายได้ แถมยังแพร่ได้เร็วด้วย ฮุ่ยเทียนก็คงถูกท่านแพร่เชื้อใส่แล้ว”
ฮูหยินเหยาหน้าซีด รีบยันมือขึ้น “อะไรนะ? ข้าแพร่เชื้อให้เขาหรือ?”
นางมองฮุ่ยเทียนแล้วถาม “เจ้าไม่สบายใช่ไหม?”
ฮุ่ยเทียนส่ายหน้า ยังคงพูดขึ้นด้วยหน้าเย็นชาสุดขั้ว “ไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ช่วงนี้จวิ้นจู่ มาหรือเปล่า?” หยวนชิงหลิงถาม
“ช่วงก่อนเมิ่งเยว่มา” ฮูหยินเหยาสะดุ้งจนรีบลุกขึ้นนั่ง “งั้นเมิ่งเยว่ก็ถูกแพร่เชื้อด้วยหรือเปล่า? แต่ตอนที่นางมาข้ายังรู้สึกสบายดีอยู่เลย”
หยวนชิงหลิงนึกถึงคุณย่าที่บอกว่าโรงเรียนแพทย์ก็มีนักเรียนหลายคนที่มีอาการป่วย บางทีอาจเป็นเมิ่งเยว่แพร่เชื้อให้ฮูหยินเหยา จึงเอ่ย “งั้นถ้าตอนนั้นท่านสบายดี งั้นก็อาจหมายถึงยังไม่ป่วย ไม่แพร่เชื้อให้เมิ่งเยว่หรอก แต่ถึงจะแพร่เชื้อจริง เมิ่งเยว่ก็อยู่ที่โรงเรียนแพทย์ จะกลัวอะไร?”
หยวนชิงหลิงจงใจพูดว่าไม่มีอาการก็ไม่แพร่เชื้อ นางจะได้ไม่เป็นห่วงเมิ่งเยว่