บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1135 ทังหยางก่อเรื่องที่จวนอ๋องอาน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1135 ทังหยางก่อเรื่องที่จวนอ๋องอาน
สวีอีไปมีเรื่องกับทังหยาง เพื่อวัดฝีมือกัน ทังหยางเทียบกับสวีอีไม่ติดเลย โดยเฉพาะตอนที่ถูกไล่ออกมาในตอนนั้น เขาดื่มเหล้าย้อมใจตัวเองตลอด ตอนที่สวีอีไปหานั้น เขาดื่มจนเมามายแล้ว สวีอีดึงคอเสื้อของเขาขึ้นมา ก่อนจะชกไปที่หน้าของเขา “ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ได้?รัชทายาททำดีกับเข้ามาน้อย แถมยังให้ที่พักใหญ่โตกับเจ้าอีก เจ้าไม่สังเกตเห็นค่าเอง เอาแต่หลบอยู่ในที่มืด รัชทายาทเลยโบยเจ้าสามสิบทีก่อนจะไล่เจ้าออกจากจวนก็เป็นพระคุณมากแล้ว ถ้าเกิดพูดกันจริงๆ เจ้าก็มีโทษไม่แพ้กันเลย เจ้ารู้ไหม?แต่เจ้าไม่รู้จักขอบคุณ ยังไปพูดอะไรบ้าๆ ข้างนอกอีก เพื่อให้รัชทายาทกับพระชายารัชทายาทเสียชื่องั้นเหรอ?ก่อนหน้านี้ข้ามันตาบอดเอง ที่เห็นเจ้าเป็นพี่ใหญ่”
ทังหยางเมาจนไม่ได้สติ เมื่อโดนต่อยอย่างไม่ทันตั้งตัว เลยโกรธขึ้นมามาก “เจ้าปล่อยข้านะ……เจ้ามันโง่ เจ้าคิดว่ารัชทายาททำดีกับเจ้าจริงๆ เหรอ?ให้ที่พักหรูหรากับเจ้าก็เพื่อให้เจ้าถวายชีวิตให้เขา คฤหาสน์นั่นมันมีที่ดินให้ชัดเจนเลยเหรอ?ไม่ใช่หรอกมั้ง?เพราะที่ตรงนั้น มันเป็นของจวนอ๋อง เวลาเขาอารมณ์ดีเขาก็ให้เจ้าอยู่ เวลาไม่สบอารมณ์ก็ไล่เจ้าออกไป รู้ไหม?ไอ้งั่ง ตอนนี้เจ้ายังไม่ถูกไล่ออกไป เพราะเขายังต้องการให้เจ้าถวายชีวิตให้ ภรรยาของเจ้าเป็นคนของตระกูลหยวน เขายังต้องใช้คนของตระกูลหยวนเพื่อตัวเขาเองอยู่ ข้าอยู่กับเขามาหลายปี เขาเป็นคนอย่างไรคิดว่าข้าไม่รู้เหรอ?”
สวีอีได้ยินดังนั้น ก็ปวดใจเป็นอย่างมาก เลยผลักเขา ก่อนจะพูดด้วยความโมโห “เจ้าพูดไร้สาระ รัชทายาทไม่ใช่คนแบบนั้น”
“นั่นก็เพราะเจ้ามันโง่ เจ้ารอดูก็แล้วกัน เดี๋ยวตอนที่เจ้าต้องเป็นเหมือนข้าเมื่อไหร่ ก็จะถูกคนไล่ตะเพิดออกมาแบบนี้เหมือนกัน”
ทังหยางพูดไป ก่อนจะผลักเขาออกไปอย่างโซเซ แล้วก็จะปิดประตู
สวีอีโกรธเคืองเป็นอย่างมาก ที่มาในวันนี้ก็เพื่อให้เขาได้กลับตัวกลับใจ แล้วเปลี่ยนความคิดที่มีต่อรัชทายาท แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขารู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว เลยพูดด้วยความเคือง “เจ้ารอดูเถอะ เดี๋ยวก็รู้ว่าข้าจะถูกไล่ออกไปไหม ทังหยาง สักวันเจ้าจะต้องรู้ว่าตัวเองทำผิดไปแล้ว”
“สวีอี เจ้าออกจากจวนอ๋องไปกับข้าเถอะ อย่าอยู่ข้างกายเขาเลย” ทังหยางยังยื่นมือออกมาหาเขา ก่อนจะยิ้มด้วยใบหน้าเมาๆ อย่างประหลาด “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ พวกเราทิ้งอ๋องอานไป พวกเรารู้ความลับมากมาย จะร่ำรวยได้ไม่ยากเลย อย่าอยู่ข้างกายเขาอีกเลย”
สวีอีโกรธเป็นอย่างมาก ก่อนจะหันไปตบหัวของเขา ตะโกนพลางเบิกตาโพลง “ถ้าเจ้าพูดอีก ข้าจะฆ่าเจ้า”
ทังหยางเองก็แสดงความร้ายกาจออกมา เลยชกต่อยร่วมกับเขาด้วย คนละหมัดสองหมัด ผ่านไปไม่นาน ก็ต่อยกันจนหน้าบวมแดง แม้สวีอีจะโกรธเกลียดเขา แต่กลับไม่ได้ลงมือหนักมาก สุดท้ายเลยออกไปด้วยความโกรธ สวีอีก็ร้องไห้เสียงดัง
เขาไม่เคยคิดเคยฝัน ว่าร่วมทางมาด้วยกัน แต่มาในวันนี้ ทังหยางกลับเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้
ทังหยางเองก็เหนื่อยมาก เลยนอนลง ฟังเสียงร้องไห้ของสวีอีด้านนอก เขายิ้มขึ้น “เจ้าโง่ เดี๋ยวเจ้าต้องเสียใจภายหลัง เดี๋ยวจะถูกคนไล่ออกแน่ๆ อย่าหาว่าพี่ไม่เตือนก่อนล่ะ”
เมื่อนอนอยู่นาน เขาก็หยิบเหล้าเดินออกไป พลางเดินไปอยู่ด้านหน้าของจวนอ๋องอานด้วยความโซเซ แล้วเคาะประตูเต็มแรง “ท่านอ๋องอาน เชิญออกมาเจอกันหน่อย”
ผู้เฝ้าประตูจำเขาได้ ขวางไว้ไม่ได้เลยต้องไปรายงานอ๋องอาน อ๋องอานกำลังให้คนในจวนจัดแจงสิ่งของ เตรียมจะออกจากพระนครพรุ่งนี้ เมื่อได้ยินว่าทังหยางมา ก็ขมวดคิ้ง “ไม่อยากเจอ ให้เขาไปเถอะ”
ผู้เฝ้าประตูรับคำสั่ง ก่อนจะพูดกับทังหยาง “ใต้เท้าทังเจ้ากลับไปเถอะ ท่านอ๋องพักผ่อนไปแล้ว”
ทังหยางกองอยู่บริเวณประตู เหล้าจอกนั้นได้ดื่มไปหมดแล้ว เลยเมาจนไม่เหลือความเป็นคน เมื่อได้ยินคำของผู้เฝ้าประตู เขาก็เอามือไปกระชากคอเสื้อของผู้เฝ้าประตู ปากนั้นมีแต่กลิ่นเหล้า “ไป ไปหาอ๋องอาน บอกว่าข้าจะมาร่วมมือกับเขา ข้าจะช่วยเขาชิงตำแหน่งรัชทายาทมาให้ได้ ไปสิ!”
ผู้เฝ้าประตูได้ยินดังนั้น ก็ตกใจแทบตาย เลยรีบเอามือไปปิดปากเขา “อั้ยหยา ใต้เท้าทังอย่าพูดอะไรมั่วๆ ท่านอ๋องของพวกเราไม่มีความคิดแบบนั้นหรอก เจ้ารีบกลับไปเถอะ”
ทังหยางเอามือของเขาออก ก่อนจะหัวเราะอย่างร้ายกาจออกมา
“มีสิ ใครจะไม่มีความคิดแบบนั้น?ใครก็มี ท่านอ๋องยอมจริงๆ เหรอ?” ทังหยางตะโกนสุดเสียง “ท่านอ๋อง รีบออกมา มาหารือกับข้าเร็ว”
ผู้เฝ้าประตูกำหมัดแน่น ก่อนจะกลับเข้าไปในจวนเพื่อเรียกองครักษ์ออกมา “พวกเจ้ารีบส่งเขากลับไป ดึกดื่นขนาดนี้มันเงียบสงัดไปหมด ถ้าเกิดเรื่องนี้แพร่ออกไป ท่านอ๋องคงจะลือกันไปสามบ้านแปดบ้าน”
องครักษ์หลายคนมาหามเขา แต่ทิ้งไปก็ไม่มีประโยชน์ ปากเขาเอาแต่เรียกท่านอ๋องอานให้ทำการหารือ จะโยนทิ้งไปกลางถนนใหญ่ก็ไม่ดีนัก เลยต้องตีเขาให้สลบ แล้วก็ลากไปไว้ในโรงเตี๊ยม กำชับให้คนจับตาดูไว้ให้ดี อย่าให้เขาได้ส่งเสียงออกมา เพื่อไม่ให้ฟื้นขึ้นมาบนถนนใหญ่ แล้วยังพูดพร่ำอะไรได้ ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครคุมเขาอยู่แล้ว
หลังจากที่ทังหยางถูกทิ้งเอาไว้ในโรงเตี๊ยมแล้ว ก็รู้สึกมึนๆ ตลอด ก่อนจะอ้วกออกมา แล้วก็นอนลงบนพื้น แต่ไม่ร้องอะไรเสียงดัง เพียงแค่พึมพำเท่านั้น “พระองค์ พวกเรามาร่วมมือกัน ล้มหยู่เหวินเห้า……”
มีคนเปิดประตูห้อง ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามา
“ใครน่ะ!” ทังหยางมองรองเท้าบูตลายเมฆ ค่อยๆ ขยับ ดวงตาที่เมามายนั้นเหมือนเห็นเงามากมาย อันที่จริงในแววตานั้นไม่มีความกังวลเลย เขาค่อยๆ หัวเราะขึ้นมา “พระองค์หรือเปล่า?ท่านมาแล้ว ดีเลยๆ เดี๋ยวกระหม่อมลุกขึ้นมา ค่อยๆ คุยกับเจ้าอย่างละเอียด……”
เขาลุกขึ้นอย่างละบำ ก่อนจะปรี่เข้ามาอย่างโซเซ “พระองค์……”
มีเพียงมือหนึ่งที่จับแขนของเขา “ใต้เท้าทัง ดูให้ชัดเถอะ”
จวนอ๋องอาน
คืนนี้อ๋องอานโกรธเกลียดมากจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าทังหยางจะมาก่อเรื่อง การก่อเรื่องแบบนี้ มีคนรอบๆ ตั้งไม่รู้มากมายที่ได้ยิน ในวันนี้เขาลำบากเป็นอย่างมาก แม้เขาจะให้คนไล่ทังหยางออก เกรงว่าจะมีคนเข้าใจผิดอยู่ดี
พระชายาอานอุ้มอานจือขึ้น เขาที่มองด้วยใบหน้ากระสับกระส่าย ก่อนจะถอนหายใจออกยาวเบาๆ “พรุ่งนี้จะไปตั้งแต่เช้าเลยเหรอ?ไม่เข้าไปลาท่านแม่ที่พระราชวังก่อนเหรอ?”
อ๋องอานมีความจนปัญญาอยู่ระหว่างคิ้ว “ถ้าเกิดเข้าไปในพระราชวัง อย่างน้อยก็ประวิงเวลาไปได้ถึงช่วงเที่ยงๆ ถึงจะออกได้”
“งั้นรอให้ถึงเที่ยงก่อน” พระชายาอานกล่อมลูกเบาๆ “ไม่รู้ว่าจะกลับไปได้เมื่อไหร่ ก็ต้องบอกลานางก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าจากไปอย่างเงียบๆ นางจะต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ”
อ๋องอานปวดใจ ครั้งก่อนที่ไปจวนเจียงเป่ย ท่านแม่เขียนจดหมายถึงไม่ขาด ไม่ยอมวางใจสักที นางระหกระเหินไปในเมืองหลวง น้อยเนื้อต่ำใจมากมาย ถ้าเกิดตัวเองไปโดยไม่บอก คงจะเลวไม่น้อย
แถมทางเสด็จทวด……แม้จะยังโกรธจนถึงทุกวันนี้ แต่บางครั้งก็ยังให้ความสำคัญกับเสด็จทวด แถมร่างกายเขาไม่ค่อยแข็งแรง การไปครั้งนี้ อาจจะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้วก็ได้ เขาเลยต้องเข้าไปคำนับสักหน่อย
เมื่อคิดอยู่สักพัก เขาก็พูดขึ้น “พรุ่งนี้เจ้ารอข้าอยู่ในจวน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปในวังสักหน่อย เจ้าไม่ต้องไปหรอก”
พระชายาอานพยักหน้าเบาๆ “ได้!”
ภายใต้แสงไฟ ได้เห็นใบหน้าของอานจือ ในใจของพระชายาอานก็รู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก จวนเจียงเป่ยนั้นผ่านวันเวลาอันสงบสุขได้ แต่คนรักของเมืองหลวงนั้น เกรงว่าจะไม่ได้เจอเลยในระยะเวลาสามถึงห้าปีนี้