บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1142 อ๋องเว่ยกลับเมืองหลวง
หยวนชิงหลิงมองท่าทีของนางที่ดูอึกๆอักๆ ร้อนใจจนหัวใจแทบจะกระเด็นออกมาแล้ว“เจ้ารีบพูดมาเถอะ ข้าไม่ได้ตาบอด ข้ามองเห็นความผิดปกติ เจ้าห้ายังจงใจส่งข้ามาที่พระที่นั่ง ให้ไท่ซ่างหวงย้ายมาพำนักอยู่ที่นี่ด้วยเชิญสองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอันกลับมาเฝ้ารักษาการณ์ ต้องเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากแน่ๆ”
อะซี่ถอนหายใจหนึ่งเสียง“ท่านก็เดาได้หมดแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่นับว่าปากโป้ง สวีอีบอกกับข้าว่า หลังจากผ่านการตรวจสอบ พบว่ามีโอกาสเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าหงเล่จะปลอมตัวเป็นลูกชายอ๋องผิงหนาน อีกอย่างทางด้านค่ายทหารทางเหนือก็เกิดการกบฏขึ้น นายพลส่วนหนึ่งได้แอบไปพึ่งพาอาศัยอ๋องอันอย่างลับๆ สวีอีบอกว่า คนของหงเล่ได้จับตัวพระชายาอันและจวิ้นจู่น้อยไป ก็เพื่อต้องการจะให้บีบบังคับให้อ๋องอันคิดขบถแย่งชิงบัลลังก์ ”
หยวนชิงหลิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “ลูกชายอ๋องผิงหนานคือหงเล่ ใครเป็นคนพูด มีหลักฐานหรือไม่ เจ้าห้าบอกเองมิใช่หรือว่าหงเล่กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางมาเมืองหลวง ”
อะซี่ส่ายหน้า “คนของท่านชายสี่เหลิ่งได้ไปสืบข่าวกลับมา คนที่เดินทางมาเมืองหลวงนั้นเหมือนหงเล่ราวกับแกะจริงๆ แต่ว่าไม่ใช่หงเล่ ตั้งแต่กิริยาท่าทางไปจนถึงบุคลิกลักษณะนิสัย ล้วนไม่เหมือนหงเล่ เป็นการปลอมตัว เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ที่จริงหงเล่ได้เข้ามาในเมืองหลวงนานแล้ว เข้าเมืองหลวงมาพร้อมกับอ๋องผิงหนาน หลังจากเขาเข้าเมืองหลวงมาแล้วก็อาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลฉู่ ได้ติดต่อเป็นการส่วนตัวกับเหล่าขุนนางใหญ่และอ๋องต่างๆ สวีอีบอกว่า ตอนนั้นรัชทายาทแค่สงสัย หลังจากนั้นท่านชายหงเย่เองก็ได้ไปสังเกตดูด้วยตนเอง บอกว่าเป็นไปได้ว่าลูกชายอ๋องผิงหนานคนนี้จะสวมหน้ากากหนังมนุษย์ อีกทั้งกิริยาท่าทางทุกอย่างของเขา ก็เหมือนหงเล่มาก ท่านชายหงเย่เป็นลูกชายแท้ๆของหงเล่ คำพูดของเขาคงน่าเชื่อถือได้อยู่หลายส่วน”
หยวนชิงหลิงครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่ชั่วครู่ ตั้งแต่หลินเซียวปรากฏตัวขึ้นที่จวนอ๋องผิงหนาน จากนั้นอ๋องผิงหนานก็มีจดหมายส่งกลับมายังเมืองหลวง จากร่องรอยเบาะแสทั้งหมดแล้วเห็นได้ชัดว่าลูกชายอ๋องผิงหนานกับหงเล่นั้นได้มีการสมคบคิดกัน แต่ว่า ลูกชายอ๋องผิงหนานจะเป็นหงเล่จริงหรือ แล้วลูกชายอ๋องผิงหนานคนเดิมเล่า
เขาใช้วิธีการที่แสนจะง่ายดาย ก่อนอื่นก็สร้างอำนาจให้อ๋องอันด้วยเสียงข้างมาก จากนั้นก็จับตัวพระชายาอันบังคับให้อ๋องอันแย่งชิงบัลลังก์ เป่ยถังต้องเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงแน่นอน เชื่อว่าในเวลานี้เอง กองทัพของเป่ยโม่ได้เตรียมพร้อมโจมตีอยู่แล้ว
ส่วนทางด้านหนานเจียง เกรงว่าก็คงจะไม่สงบสุข เดิมทีหงเย่ควบคุมเจียงเป่ย แต่ว่าเมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เจียงเป่ยสามารถถูกเขารวบรวมคืนมาในเวลาอันรวดเร็ว นั่นก็เพราะเดิมทีเขาได้รับช่วงต่อในการควบคุมอำนาจมืดของหงเล่ ถ้าหากคนที่มีอำนาจมืดเหล่านั้นเกิดการทรยศหักหลัง เช่นนั้นที่จริงเจียงเป่ยก็ยังคงอยู่ในการควบคุมของหงเล่ แต่หงเย่กลับคิดว่าหงเล่ได้ตายไปแล้ว ทำให้เลิกสนใจไป กับเจียงเป่ยก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย นั่นตรงกับความคิดที่แอบแฝงอยู่ในใจของหงเล่พอดี
การวางแผนเป็นขั้นตอน และค่อยๆกลืนกินทีละเล็กทีละน้อยเช่นนี้ สงบเยือกเย็น ไม่ต้องสู้รบก็ชนะได้ ช่างน่ากลัวจริงๆ
หยวนชิงหลิงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน หงเล่คนนี้แผนการลึกล้ำมากจริงๆ การวางแผนเหล่านี้เกรงว่าคงจะไม่สามารถสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น เขาได้วางสายลับแทรกซึมเข้ามาในเป่ยถังตั้งแต่ต้น ไม่เพียงแต่เป่ยถัง การต่อกรกับต้าโจวก็เป็นเช่นนี้ แต่เกรงว่าในแคว้นต้าเยว่กับแคว้นต้าซิงก็มีสายลับอยู่เช่นกัน คนคนนี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่
เลียนแบบจักรพรรดิองค์แรกในการรวมเจ็ดแคว้นให้เป็นหนึ่งหรือ
สถานการณ์ที่เจ้าห้าต้องเผชิญอยู่ในตอนนี้นั้นที่จริงรุนแรงเป็นอย่างมาก นอกจากต้องควบคุมความวุ่นวายในเมืองหลวง ยังต้องคอยป้องกันการรุกรานจากเป่ยโม่อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเป่ยโม่กับหงเล่ได้ฝึกฝนและพัฒนาอาวุธของแคว้นต้าโจวออกมาได้แล้ว เช่นนั้นการสู้รบครั้งนี้คงเป็นการรบที่ต้องทุ่มเทเสียสละอย่างมากจริงๆ อีกทั้งยังเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดพร้อมปะทุได้ทุกเวลา
เมื่อพูดถึงหยู่เหวินเห้าหลังจากที่ออกมาจากพระที่นั่งแล้ว ได้มีการส่งราชโองการออกไปสามฉบับ
ฉบับแรกส่งไปยังหนานเจียง ส่งให้กับอ๋องชุน จำเป็นต้องให้เขาควบคุมเจียงเป่ยให้ได้ รักษาหนานเจียงเอาไว้
ฉบับที่สองส่งไปยังค่ายทหารทางใต้ ให้กองทัพใหญ่แห่งค่ายทหารทางใต้รีบเดินทางไปยังชายแดนอย่างเร็วที่สุด
ราชโองการฉบับที่สามได้ส่งไปยังขุนนางตามเมืองต่างๆที่มีกองทัพใหญ่ดูแลอยู่ ให้พวกเขารับประกันว่ามีเสบียงเพียงพอและสามารถจัดหาให้ได้
เขายังเขียนจดหมายขึ้นมาอีกหนึ่งฉบับส่งให้กับจิ้งถิงแห่งแคว้นต้าโจว จดหมายฉบับนี้ได้ให้คนของสำนักเหลิ่งหลังเป็นคนส่งออกไป ไม่ให้เสียเวลาระหว่างทางอย่างเด็ดขาด แคว้นต้าโจวกับเป่ยถังเป็นพันธมิตรต่อกัน ขอร้องให้ต้าโจวขายอาวุธและต้องส่งกองกำลังมาช่วยเหลือในยามจำเป็น
ในขณะเดียวกัน เขาได้ปิดกั้นเส้นทางจากเจียงหนานกับจื๋อลี่ที่สามารถเข้ามายังเมืองหลวงได้ ได้จัดตั้งด่านตรวจ ถ้าหากเป็นใบผ่านทางของประชาชนทั่วไปหรือไม่ได้รับการอนุญาตจากทางการ ทั้งหมดไม่ให้เข้าเมืองหลวงอย่างเด็ดขาด
เขายังมีราชโองการอีกหนึ่งฉบับ กรมการพระนครกับกู้ซือรับหน้าที่กุมอำนาจทหารรักษาพระองค์ในวังในการลาดตระเวนในเมือง รวมไปถึงกองทัพที่เฝ้ารักษาการณ์ในเมืองหลวง มีกำลังพลอยู่ประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นนาย ทหารเหล่านี้ล้วนมอบให้กู้ซือเป็นผู้บัญชาการมอบหมายงานทั้งหมด มีอ๋องฉีคอยช่วยเหลือ
อีกด้านหนึ่ง เขาได้ทำการลงดาบกับกรมทหาร ได้ย้ายอ๋องซุนไปรับตำแหน่งในกรมทหาร โยกย้ายและเปลี่ยนร้องเจ้ากรมทหารคนเดิม มีอ๋องซุนมาแทนที่ เขาเองก็แต่งตั้งตัวเองเป็นเลขานุการกรมทหาร คุมอำนาจทหาร
สุดท้าย เขาได้ทำตามรายชื่อที่ได้รวบรวมก่อนหน้านี้ ทำการโยกย้ายขุนนางในกรมต่างๆอย่างเอิกเกริก รายชื่อที่ปรากฏออกมาในใบรายชื่อทั้งหมด ให้หยุดงานชั่วคราว ตำแหน่งงานของพวกเขามีคนมาทำหน้าที่แทนอย่างรวดเร็ว และคนเหล่านี้หยู่เหวินเห้าได้คัดเลือกไว้แล้ว ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ เขาได้แต่รอให้วันนี้มาถึง สามารถสับเปลี่ยนได้อย่างเด็ดขาด
โดยไม่มีการปรึกษาหารือในเน่ย์เก๋อมาก่อน ใช้อำนาจในตำแหน่งรัชทายาทผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสั่งการลงไปโดยตรง ทางด้านกรมข้าราชการพลเรือนก็ได้สับเปลี่ยนคนไปชุดหนึ่ง รักษาไว้เพียงตำแหน่งเลขากรมราชการพลเรือน
การกระทำในครั้งนี้ของหยู่เหวินเห้า ทำให้ผู้คนไม่น้อยรู้สึกตื่นตระหนก
เห็นได้ชัดว่ารัชทายาทก็ถูกบีบไปอยู่ในจุดที่ไร้ซึ่งทางออกแล้ว ไม่มีความคาดหวังจากประชาชนอีกต่อไป ทั่วทั้งเป่ยถังเต็มไปด้วยเสียงประกาศโทษของเขา
ใครก็คิดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะใช้เวลาที่ชื่อเสียงของตนเองตกต่ำมากที่สุด และเป็นเวลาที่ควรจะกระทำการอย่างรอบคอบที่สุด ทำการโยกย้ายสับเปลี่ยนขุนนางอย่างใหญ่โต
พวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไร ความอดทนซ่อนเร้นของหยู่เหวินเห้าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ก็เพียงแค่รอโอกาสที่เหมาะสมที่จะโจมตีกลับอย่างหนักหน่วง
ช่างเป็นการโจมตีด้วยการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดจริงๆ
แต่การโจมตีครั้งนี้ กลับทำให้ชาวบ้านเกิดความสงสัยต่างๆนานาขึ้นมา ไม่มีคนพูดถึงเรื่องที่อ๋องอันมอบยาให้อีกแล้ว ทุกคนต่างก็รอดูว่ารัชทายาทจะทำอะไรกันแน่ เพราะว่าการเปลี่ยนขุนนางขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
และในเวลานี้เอง อ๋องเว่ยและจวิ้นจู่จิ้งเหอก็กลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว
จวนอ๋องเว่ยได้เก็บรักษาไว้ให้เขามาตลอด แต่ว่าจวิ้นจู่จิ้งเหอกลับไม่ได้กลับไปพร้อมกับเขา และไม่ได้กลับบ้านมารดา แต่ไปพำนักอยู่ที่จวนอ๋องซุนเป็นการชั่วคราว
ในบรรดาสะใภ้ร่วมตระกูลมากมาย พระชายาซุนและจวิ้นจู่จิ้งเหอนั้นมีสัมพันธไมตรีดีที่สุด และคนที่สงสารนางที่สุด ก็เป็นพระชายาซุน นางมาพักอาศัยอยู่ทนจวนอ๋องซุนเป็นการชั่วคราว พระชายาซุนย่อมยินดีต้อนรับมาก
จากนั้นทั้งสองคนก็เข้าวังไปคำนับจิ้งเฟย ตอนนั้นหลังจากที่เสด็จแม่ของอ๋องเว่ยตายไปแล้ว อ๋องเว่ยก็ถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างกายจิ้งเฟยตลอดมา จวิ้นจู่จิ้งเหอเองย่อมต้องนับถือจิ้งเฟยเป็นเหมือนดั่งแม่สามี มีความกตัญญูมา ตอนที่จิ้งเหอกับอ๋องเว่ยหย่ากัน จิ้งเฟยรู้สึกเสียใจมากเกินไป จนทำให้ไม่สบาย
หลายปีมานี้ จิ้งเฟยยังคงเป็นห่วงจิ้งเหออยู่ตลอด แม้จะซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาที่ห่างไกล แต่ก็ยังคงส่งคนไปถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบของจิ้งเหอที่จวนอ๋องซุนอยู่เสมอ เพียงแต่ตั้งแต่จิ้งเหอไปจากเมืองหลวง นอกจากเรื่องที่ต้องเผชิญที่เจียงเป่ยครั้งนั้นแล้ว แทบจะไม่มีข่าวคราวอะไรส่งกลับมาเลย
ตอนนี้แม่สามีและลูกสะใภ้ได้พบหน้ากัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจจนร้องไห้โฮออกมา ต่างก็เล่าถึงสถานการณ์ในหลายปีที่จากกันไป พวกหวงกุ้ยเฟยและเต๋อเฟยกุ้ยเฟยต่างก็รู้ว่าจิ้งเหอเข้าวัง ต่างก็รีบเดินทางมาพบ ทำเอาจิ้งเหอตกใจจนคุกเข่าลงไปกับพื้น เป็นเวลานานก็ไม่ยอมลุกขึ้นมา
หวงกุ้ยเฟยถามเรื่องของอ๋องเว่ยขึ้นมา นางเองก็รู้ว่าอ๋องเว่ยแขนขาดตอนที่อยู่เจียงเป่ย หลังจากนั้นเขาทั้งสองก็ไปยังแคว้นต้าโจว แต่ว่าสถานการณ์ที่แท้จริง ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครรายงานเลย
จิ้งเหอพูดว่า “ในตอนแรก อ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ฉินเทียนไม่ยอมช่วยต่อแขนให้ หลังจากนั้นได้รับการขอร้องจากแม่ทัพใหญ่จิ้งถิงเป็นเวลานาน แม้แต่ไทเฮาก็ช่วยเกลี้ยกล่อม อ๋องสำเร็จราชการแทนพระองค์ฉินเทียนจึงยอมช่วย ตอนนี้เขาไม่เป็นไรแล้ว ตลอดทางที่กลับมา ค่อยๆคุ้นเคย และใช้การได้อย่างอิสระแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี ”ทุกคนได้ยินแล้ว จึงวางใจ โดยเฉพาะจิ้งเฟยที่เป็นห่วงเจ้าสามมากที่สุด หลังจากเจ้าสามจากเมืองหลวงไปแล้ว นางก็ได้แต่คิดถึงและเป็นห่วงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พอได้รู้ข่าวเรื่องแขนขาดก็ยิ่งทำให้ร้องไห้อยู่เป็นเวลานาน ตอนนี้ได้ยินว่าไม่เป็นไรแล้ว หัวใจที่เป็นกังวลก็นับว่าสงบลงได้เสียที