บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1143 รอดูพวกเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1143 รอดูพวกเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ที่ขาดไม่ได้เลยที่จิ้งเฟยต้องถามจิ้งเหอแล้ว “เจ้ากับเขา หรือว่าไม่มีทางที่จะกลับไปคืนดีกันได้แล้ว”
จิ้งเหอครุ่นคิด “ตอนนี้ข้ากับเขาก็นับว่าเป็นเพื่อนกัน เป็นอย่างนี้ก็ดีมากแล้ว”
ทุกคนได้ยินแล้วก็อดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้ พระชายาซุนก็รู้สึกเสียดาย แต่ว่าแน่นอนนางนั้นเกลียดเจ้าสามมากจริงๆ หลังจากวันเวลาผ่านพ้นไปแล้ว ความเกลียดชังนั้นก็ลดน้อยลง และเริ่มรู้สึกเสียดาย แต่ว่าตอนนี้ได้ยินคำพูดของจิ้งเหอ นางนั้นสนับสนุนจิ้งเหออย่างไร้เงื่อนไข พูดว่า“ตอนนั้นเจ้าสามทำเกินไปจริงๆ จะสามารถให้อภัยง่ายๆได้อย่างไร ทดสอบเขาอีกสักหน่อย หลังจากทดสอบแล้ว ค่อยดูว่ามีความจริงใจหรือไม่”
จวิ้นจู่จิ้งเหอยิ้ม “ตอนนี้ได้ผ่านเรื่องราวกันมามากมาย จะอยู่ด้วยกันหรือไม่ไม่สำคัญแล้ว ต่างคนต่างรู้สึกสบายใจและเป็นอิสระก็พอ”
นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “สุขภาพของไท่ซ่างหวงเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไท่ซ่างหวงไปพักฟื้นอยู่ที่พระที่นั่ง”หวงกุ้ยเฟยพูด
จิ้งเหอได้ยิน ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง “เป็นอะไรมากหรือไม่ ทำไมต้องไปพักฟื้นที่พระที่นั่ง”
“ไม่เป็นไรมาก พระชายารัชทายาทก็อยู่เป็นเพื่อนไท่ซ่างหวงอยู่ที่พระที่นั่งด้วย”หวงกุ้ยเฟยพูด
จิ้งเหอจึงยิ้มบางๆออกมา “มีพระชายารัชทายาทอยู่ด้วย เช่นนั้นก็ไม่เป็นไรแน่นอน”
“ถ้าหากเจ้าคิดถึงพระชายารัชทายาท พรุ่งนี้ข้าจะชวนหรงเยว่กับฮูหยินเหยาไปที่พระที่นั่งพร้อมกัน พวกเราพบปะรวมตัวกันสักหน่อย”พระชายาซุนพูด
จิ้งเหอพยักหน้า “ก็ดี ข้ายังต้องขอบคุณพระชายารัชทายาทต่อหน้าด้วย”
สมาชิกหญิงในครอบครัวต่างก็พูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ หวงกุ้ยเฟยได้ใช้ให้คนไปบอกกล่าวฮ่องเต้หมิงหยวน ว่าจิ้งเหอกลับมาแล้ว ถามฮ่องเต้หมิงหยวนว่ายินดีจะพบหรือไม่ ผ่านไปไม่นานนัก มู่หรูกงกงก็มาเชิญด้วยตนเอง บอกว่าฮ่องเต้ต้องการพบจวิ้นจู่จิ้งเหอ
พระชายาซุนจึงไปน้อมทักทายฮ่องเต้หมิงหยวนพร้อมกับจิ้งเหอ ตอนนี้ฮ่องเต้หมิงหยวนยังไม่ได้เสด็จออกว่าราชการ แต่ว่าหลังจากพักฟื้นมาสักระยะหนึ่ง อ้วนขึ้นเล็กน้อย สีหน้าก็ดูดีขึ้นมาก มีฮู่เฟยคอยอยู่เคียงข้าง ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้และพระสนมนั้นเข้ากันได้ดีและหวานซึ้งอย่างไร้ที่เปรียบ
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ถามไถ่จิ้งเหอถึงสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้พูดถึงอ๋องเว่ยต่อหน้านาง ได้แต่กำชับไม่กี่ประโยค ท่าทียังคงเหมือนดั่งวันวาน ไม่ได้คิดว่านางเป็นคนนอก ดวงตาของจิ้งเหอแดงก่ำอยู่ตลอดเวลา รู้สึกปวดแปลบที่หัวใจอยู่ลึกๆ ออกจากราชวงศ์ไปแล้ว ที่เสียดายไม่ใช่ความสูงส่งของราชวงศ์ แต่เป็นความรักในครอบครัวเหล่านี้ต่างหาก
ฮู่เฟยไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับจวิ้นจู่จิ้งเหอ แต่ก็รู้เรื่องสามีภรรยาของพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนฟังอยู่ข้างๆอย่างสงบ
เจ้าสิบตอนนี้อ้วนถ้วนมาก วิ่งเข้ามาโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของฮู่เฟย ดีที่ฮู่เฟยมีวรยุทธที่แข็งแกร่ง สามารถรับตัวเขาเอาไว้ได้ อุ้มขึ้นมาตำหนิไปเล็กน้อย ให้เขาอย่าหยาบคายเสียมารยาท
เจ้าสิบแบะปากอย่างน้อยใจ แต่กลับมีอุปสรรคเป็นฮ่องเต้ที่อยู่ที่นี่ด้วย จึงไม่กล้าร้องไห้ บวกกับแต่ไหนแต่ไรฮู่เฟยห็ไม่ใช่คนที่จะตามใจลูกมากขนาดนั้น สมควรลงโทษก็ต้องลงโทษ สมควรตีก็ต้องตี ไม่ได้สงสารอะไร ฉะนั้น แม้จะถูกตำหนิไปก็ไม่กล้าร้องไห้ ท่าทีที่น้อยอกน้อยใจอยู่ในสายตาของจิ้งเหอ กลับทิ่มแทงใจให้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
ถ้าหากสามารถรักษาเด็กคนนั้นเอาไว้ได้ ตอนนี้ก็คงจะโตกว่าเจ้าสิบแล้ว
นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ พระชายาซุนก็พานางลุกขึ้นกล่าวลา
ออกมาจากวังแล้ว พระชายาซุนอดไม่ได้ที่จะหันไปถามนางว่า “เจ้ากับเขา เป็นไปไม่ได้แล้วจริงหรือ หัวใจของเจ้าไม่มีเขาอยู่เลยหรือ”
ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนโคลงเคลงไปมา ดวงตาของจิ้งเหอแดงก่ำ “พี่สะใภ้รอง ปัญหาของข้ากับเขา ไม่ใช่ว่าใจข้าจะมีเขาหรือไม่ หรือว่าเขารู้สึกลึกซึ้งกับข้ามากเท่าไหร่ เขาลงมือฆ่าลูกของพวกเราด้วยตนเอง ท่านจะว่าข้าดื้อรั้นก็ได้ หรือว่าข้าไร้หัวใจเย็นชาโหดเหี้ยม ไม่นึกถึงความหลังที่เคยมีก็ดี แต่หัวใจของข้าผ่านหลุมดำนี้ไปไม่ได้จริงๆ ไม่เกลียดเขา ไม่พูดจาหยาบคายต่อเขา เป็นสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำได้แล้ว”
พระชายาซุนกุมมือของนางเอาไว้ กล่าวอย่างสงสารว่า “ได้ ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรข้าก็จะคอยสนับสนุนเจ้า ถ้าหากพวกเจ้าอยู่ด้วยกัน ก็ไม่รู้จริงๆว่าจะเผชิญหน้ากันและกันอย่างไร ช่างเป็นเวรกรรมแท้ๆ”
จิ้งเหอมองนาง แววตานิ่งงัน ความเศร้าได้ผุดขึ้นมาในดวงตาไม่หยุด “หลายปีมานี้ ข้าได้ร่อนเร่พเนจรอยู่ภายนอก แต่ความฝันในยามค่ำคืน มักจะได้ยินเสียงเด็กคนนั้นร้องไห้กับข้าเสมอ แม้แต่ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ปล่อยวางไม่ลง ข้ารู้ว่าคนมากมายต่างก็หวังว่าข้าจะกลับอยู่เคียงข้างเขา กลับไปคืนดีกันเหมือนแต่ก่อน และใช้ชีวิตดังเช่นวันวานเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน แต่ว่าช่างยากเหลือเกิน”
“ไม่ต้องคิดแล้ว ล้วนผ่านไปแล้ว เจ้าไม่อยู่กับเขาก็ไม่มีใครว่าอะไรเจ้า ใครจะสามารถรับรู้ได้ถึงความขมขื่นในใจของเจ้า นี่เป็นอุปสรรคที่ข้ามผ่านไปไม่ได้จริงๆ อย่าได้มีชีวิตอยู่เพื่อความคาดหวังของคนอื่น คนที่รักและสงสารเจ้าจริงๆ จะไม่ชี้แนะเจ้า และไม่มีทางบอกว่าเจ้าไร้ใจโหดเหี้ยมอย่างเด็ดขาด”
จวิ้นจู่จิ้งเหอกล่าวว่า “ครั้งนี้ที่ข้ากลับมายังเมืองหลวงพร้อมกับเขา เพราะว่าระหว่างทางได้รับจดหมายของรัชทายาท รู้ว่าในเมืองหลวงจะเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงขึ้น เขาขอร้องให้ข้ากลับมาพร้อมกับเขา บอกว่าถ้าหากเขาตายแล้ว หวังว่าข้าจะช่วยเขาเก็บร่างไร้วิญญาณ ข้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องอันตรายขึ้น จึงตามเขากลับมา ไม่เช่นนั้น ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไม่กลับมา”
คำพูดนี้ พูดออกมาได้อย่างสงบมาก แต่ว่า แต่ว่าในน้ำเสียงนั้นกลับมีความเจ็บปวดซึมออกมา แม้แต่พระชายาซุนที่ไม่ค่อยแยแสอะไรยังฟังออก
หัวคิ้วของพระชายาซุนกระตุกขึ้นมา คำพูดนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เป็นมงคลเอาซะเลย นางเป็นคนงมงาย ไม่อยากจะฟังคำพูดเช่นนี้ จึงได้รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “พรุ่งนี้พวกเราไปคำนับไท่ซ่างหวง รวดไปพบพระชายารัชทายาท พระชายารัชทายาทให้กำเนิดลูกอีกแล้ว เจ้ารู้แล้วกระมัง”
“รู้ ตอนที่อยู่เจียงเป่ยได้เคยพบกับพระชายารัชทายาท นางเล่าให้ข้าฟังแล้ว ที่จริงข้าก็สนใจเรื่องในเมืองหลวงอยู่ตลอด พระชายารัชทายาทให้กำเนิดครรภ์ที่สอง เป็นลูกชายฝาแฝด ในเป่ยถังใครเล่าจะไม่รู้ วาสนานี้ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก”
“เจ้าที่มีฐานะเป็นป้า แม้จะบอกว่าไม่ได้ชอบด้วยเหตุผล แต่คิดถึงในส่วนของพระชายารัชทายาทและรัชทายาท เจ้าย่อมต้องมอบของขวัญให้บ้าง ไป ข้าจะพาเจ้าไปซื้อของขวัญ”พระชายาซุนเกรงว่านางจะเอาแต่คิดเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา จึงได้ลากตัวนางไปเดินตลาดเพื่อซื้อของ
อ๋องเว่ยที่กลับมาถึงจวนแล้วก็ไม่ได้หยุดพัก เปลี่ยนชุดใหม่แล้วก็เข้าวังไปน้อมทักทายก่อน ตอนที่เขาเข้าวัง จวิ้นจู่จิ้งเหอกับพระชายาซุนได้ออกจากวังไปพอดี เขาเดินทางจากถนนชิงหลวน รถม้าของจวนอ๋องซุนกลับออกไปจากแยกถนนชิงหลวน จึงไม่ได้พบกัน
เข้าวังพบฮ่องเต้แล้ว ขาดไม่ได้ที่จะถูกตำหนิไปยกใหญ่ หลังจากถูกตำหนิแล้ว กลับยังคงมองดูแขนของเขาอย่างละเอียด ให้เขายกน้ำ เช็ดหน้า ออกหมัดหนึ่งกระบวนท่า เห็นว่าเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วจริงๆ สีหน้าของฮ่องเต้ค่อยอ่อนโยนลง
เพียงแต่ เมื่อเขาปล่อยแขนเสื้อลง สองมือไขว้กันเอาไว้บนเข่า มือหนึ่งเป็นหนังหุ้มกระดูกปกติ ส่วนอีกมือหนึ่งเป็นการสร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้า ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาชั่วครู่
“เจ้าในตอนนี้เวลานี้ ล้วนเป็นตัวเจ้าของเจ้าเองที่สร้างมันขึ้นมา เจ้าก็ไม่ต้องโทษฟ้าดินหรือคนอื่น หวังว่าหลังจากที่เจ้าผ่านเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ภายหน้าจะทำอะไรก็ต้องรู้จักใช้สมองสักหน่อย จะได้ไม่เป็นการลำบากมากมายเช่นนี้โดยเสียเปล่า”ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ยสั่งสอนอย่างจริงใจ
อ๋องเว่ยคุกเข่าลง “ลูกไม่โทษฟ้าดินหรือผู้คน ทั้งหมดล้วนเป็นตัวลูกที่หาเหตุใส่ตัวเอง ลูกยินดีจะยอมแบกรับผลกรรมทั้งหมด”
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกดีใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังคงรู้สึกปวดใจมาก “ไปเถอะ ไปหาพี่น้องของเจ้าดื่มกินกันสักมื้อ อยู่ในเมืองหลวงชั่วคราวเพื่อช่วยเหลือน้องชายของเจ้าดีๆ ด่านนี้ ถ้าหากพวกเจ้าพี่น้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันละก็ แม้ว่าศัตรูจะดุร้ายโหดเหี้ยมแค่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว”
“ลูกจะจำคำสั่งสอนของเสด็จพ่อให้ขึ้นใจ”อ๋องเว่ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
เงยหน้าขึ้น ประสานสองมือพูดว่า “ลูกทูลลา”
เขายืนขึ้น ค่อยๆถอยออกไปถึงหน้าประตูตำหนัก จากนั้นก็หมุนตัว สะบัดชุดจากไป ราวกับอ๋องเว่ยในวันเก่าที่แสนจะน่าเกรงขามได้กลับมาแล้ว
ฮ่องเต้หมิงหยวนถอนหายใจเบาๆหนึ่งเฮือก มองไปยังมู่หรูกงกง “ในบรรดาลูกชายของข้าเหล่านี้ คนที่เชื่อฟังนั้นมีน้อยกว่าคนที่ไม่เชื่อฟัง”
มู่หรูกงกงพูดเสียงเบาว่า “ฮ่องเต้มีบุญวาสนาสูงส่ง เผื่อแผ่ความสุขไปยังอาณาประชาราษฎร์ ย่อมต้องเผื่อแผ่ไปยังเหล่าท่านอ๋องและองค์ชายด้วย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดว่า “ครั้งนี้ ก็หวังว่าพวกเขาจะสามารถรวมใจกันเป็นหนึ่ง ร่วมกันป้องกันศัตรู ถ้าหากสามารถผ่านพ้นด่านนี้ไปได้ ระหว่างพี่น้องก็จะไม่เกิดการแย่งชิงกันอีก ”
“เป็นไปได้แน่นอน”มู่หรูกงกงเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ