บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1148 มีข่าวคราวบ้างแล้ว
หลังจากที่เขาออกจากกรมการพระนคร ได้ไปจวนของจูกั๋วกงรอบหนึ่ง
หลังจากสนทนากับจูกั๋วกงได้ครึ่งชั่วยามแล้วก็จากไป หลังจากที่เขาจากไป จูกั๋วกงจึงส่งคนไปรอบหนึ่ง ซื้อโลงศพส่งไปที่ถนนว่านจ้าง
คนที่จัดการเรื่องนี้ เป็นคนสนิทของจูกั๋วกง หลังจากที่คนสนิทผู้นั้นส่งโลงศพไปแล้ว สนทนากับตี๋เว่ยหมิงครู่หนึ่งแล้ว ถ่ายทอดความหมายของจูกั๋วกง หวังว่าจะจัดการเรื่องงานศพให้น่าดูสักหน่อย
แต่ตี๋เว่ยหมิงปฏิเสธประโยคหนึ่ง บอกว่าไม่จำเป็นต้องลำบากคนมากมาย ใช้โลงศพบางๆฝังก็ได้แล้ว
เขาบอกว่าหวังว่าเรื่องนี้จะสงบได้โดยเร็วที่สุด ผ่านไปโดยไวที่สุด เขาไม่อยากเดินออกไปเป็นกังวลกับเรื่องทางโลกอีก แค่อยากรักษาสุขภาพในบ้านพักเท่านั้น
คนสนิทของจูกั๋วกงเอาคำพูดของตี๋เว่ยหมิงรายงานต่อจูกั๋วกง จูกั๋วกงก็ไปแจ้งแก่หยู่เหวินเห้าเป็นธรรมดา หยู่เหวินเห้าได้ฟังอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง แล้วเรียกอ๋องฉีเข้ามาถาม จึงได้รู้ว่าที่แท้ตั้งแต่ได้เชิญจูกั๋วกงแล้วอ๋องฉีก็ส่งไปถามตี๋เว่ยหมิงวันละครั้งทุกวัน เร่งรัดจนตี๋เว่ยหมิงจนปัญญาจริงๆ จึงได้ออกมาเก็บศพให้ตี๋จงเหลียง
เช่นนั้นก็ยิ่งแปลกแล้ว
ตี๋เว่ยหมิงออกมาช่วยเก็บศพให้ลูกชายของตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรจะธรรมดาไปกว่านี้แล้ว เขาก็ไม่ได้เหมือนคนอื่นๆของตระกูลตี๋ที่กลัวว่าจะหาภัยมาใส่ตัว ทำไมต้องเร่งเร้าเชื้อเชิญครั้งแล้วครั้งเล่าถึงได้ออกมาทำเรื่องนี้ล่ะ?
เพราะเขาไม่เต็มใจจะจัดการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หรือเพราะเขาไม่สะดวก? หากบอกว่าไม่เต็มใจหรือเพราะไม่สะดวก แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาออกหน้าเอง แต่เขากลับไปรับศพเอง
ทำให้คนเข้าใจได้ยากจริงๆ
หากเป็นเมื่อก่อน หยู่เหวินเห้าอาจจะไม่ไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง อย่างไรเสียตอนนี้ตระกูลตี๋ก็ไม่ได้มีอำนาจคุกคามอะไร
แต่ว่า ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตอนนี้ ไม่อาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย อีกทั้งสายสืบของหงเล่ก็กระจายอยู่ทั่วเมืองหลวง จำเป็นต้องระมัดระวังให้มากหน่อยจริงๆ
และในเวลานี้ หรงเยว่และตอเป่าทางนั้นก็มีข่าวคราวแล้ว มีการพบเห็นที่ถนนชิงหลวนแล้ว
ถนนชิงหลวนเป็นเส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านเมื่อจะเข้าพระราชวัง ทั้งสองด้านล้วนเป็นร้านค้าระดับสูง โดยส่วนมากเป็นร้านค้าขายอัญมณีและแพรต่วน แป้งเครื่องสำอางเป็นต้น
ตอเป่าลังเลไม่จากไปจากถนนชิงหลวนหลายครั้ง โดยเฉพาะวนไปมาระหว่างหมายเลขสิบสองและหมายเลขสิบห้า
ตอเป่าไม่ได้ถลันเข้าไป เพียงแค่วนไปมาสองสามครั้ง จากนั้นก็ดันมือของหรงเยว่ หลังจากที่หรงเยว่ส่งคนไปจับตามองไว้ก็พาตอเป่ากลับมาแล้ว
หยู่เหวินเห้าส่งกำลังคนออกไป ตรวจดูร้านค้าสองสามร้านนี้ครู่หนึ่ง ก็ไม่พบคนที่น่าสงสัยเข้าออก กลับเป็นเถ้าแก่เนี้ยร้านขายแป้งหอมเครื่องสำอางที่เพิ่งคลอดลูก กำลังกินนมอยู่น่ะ
ตอเป่าเคยดมกลิ่นผ้าพันคอ นั่นล้วนเป็นอานจือใช้ขณะที่กินนม อาจจะได้กลิ่นนม จึงคิดว่ามีความน่าสงสัย จึงดันมือของหรงเยว่โดยตลอด
ทุกคนล้วนผิดหวังเล็กน้อย โดยเฉพาะหรงเยว่ นางเอาความหวังอันยิ่งใหญ่ฝากฝังไว้บนตัวของตอเป่าทั้งหมด คิดไม่ถึงว่าจะคว้าน้ำเหลว
สวีอีที่ได้จับตาดูจ้าวหงฟ่างทางนั้น และสะกดรอยตามจ้าวหงฟ่างด้วยตัวเอง ในวันถัดมาที่ตอเป่าผิดพลาด พบว่าจ้าวหงฟ่างแอบออกจากบ้านไป และร่องรอยการเดินทางของเขาลับๆล่อๆ ตลอดทางที่รถม้าดำเนิน เขายังจะยกม่านขึ้นหันกลับไปตรวจดูตลอดว่ามีคนสะกดรอยหรือไม่อีกด้วย
ทักษะการสะกดรอยของสวีอีดีมาก ไม่ถูกสังเกตเห็น ติดสอยห้อยตามจ้าวหงฟ่างมาตลอดทางจนถึงหมู่บ้านในชานเมือง หลังจากจ้าวหงฟ่างเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ก็พุ่งไปที่บ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่ง เดิมทีสวีอีอยากเข้าไปสืบดูสักหน่อย ก็สังเกตเห็นว่าบนหลังคาบ้านหลังนี้มีคนเฝ้าจับตามองอยู่ เกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงหลบอยู่ด้านนอก
เขาได้ยินเสียงทารกร้องไห้ดังออกมาจากในบ้านหลังนี้ สวีอีตกใจทันที สงสัยว่าพระชายาอานจะถูกจัดให้อยู่ที่นี่ เขาเดินวนแนบติดกับกำแพงรั้วสองรอบอย่างลับๆ เสียงร้องนั่นเดี๋ยวก็มีเดี๋ยวก็ไม่มี อีกทั้งเสียงร้องของทารกส่วนใหญ่ก็คล้ายกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่เคยฟังเสียงร้องของจวิ้นจู่น้อยอานจือมาก่อน ไม่สามารถแยกแยะได้ในเวลาอันสั้น
แล้วในเวลานี้ ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง เสียงนี้เหมือนเสียงของพระชายาอานเป็นที่สุด เขาตื่นเต้นจนเหงื่อผุดในอุ้งมือ อยากแอบเข้าไปดู แต่ว่าดูอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วก็ไม่มีวิธีหลบเลี่ยงคนที่คอยสอดส่องตรงหลังคาได้ อีกทั้งดูฝีเท้าการลาดตระเวนของพวกเขา มองออกว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ วิชาตัวเบายอดเยี่ยมเป็นที่สุด
สวีอีไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าด้านในมีคนมากเท่าไหร่ ไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างประมาท และเสียงกรีดร้องนี้ก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาอีก กลับเป็นเสียงร้องไห้ของทารกดังขึ้นมาอีกรอบ
ไม่รู้ว่าด้านในเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้ยินเสียงของความวุ่นวายดังขึ้นอย่างฉับพลันอีก ตั้งแต่ต้นกั้นไว้ด้วยกำแพงรั้ว ฟังได้ไม่ชัดเจนนัก เหมือนเป็นการด่าทอโยนใครกลับไป
สวีอีอดกลั้นไว้ไม่ได้ลงมือ รอจนขณะที่จ้าวหงฟ่างออกมาจากด้านใน เขาแอบซ่อนตัวดูอยู่ที่ด้านหลังกำแพง ได้ยินจ้าวหงฟ่างกำชับคน จำเป็นต้องดูให้ดี ห้ามมีอะไรผิดพลาด
สวีอีจึงยิ่งมั่นใจว่าพระชายาอานและจวิ้นจู่น้อยอานจืออยู่ด้านใน รอจนจ้าวหงฟ่างจากไปแล้ว เขาก็ติดตามจากไป
กลับไปรายงานหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้าบอกให้เขาอย่าเพิ่งบุ่มบ่าม ส่งคนไปทำความเข้าใจในหมู่บ้านสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน
หยู่เหวินเห้าให้คนของเสี้ยวหงเฉิงไปสืบถามละแวกใกล้ๆเล็กน้อย สืบถามในหมู่บ้าน ผู้หญิงลงมือจะดีกว่า แล้วเขาก็บอกให้สวีอีไปตรวจสอบดู บ้านหลังนั้นเป็นของผู้ใดกันแน่
สวีอีไปกรมการพระนครเปิดดูทะเบียนบ้านทางนั้นครู่หนึ่ง พบว่าเดิมทีบ้านหลังนี้เป็นอสังหาริมทรัพย์ของหยู่เหวินจุน ต่อจากนั้นได้ขายให้พ่อค้าผู้หนึ่ง พ่อค้าคนนี้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว จึงเปลี่ยนมือขายให้อดีตรองเจ้ากรมคลังใต้เท้าหวง ใต้เท้าหวงผู้นี้ถูกตรวจสอบออกมาจากในรายชื่อ ก่อนหน้านี้คนผู้นี้เคยไปมาหาสู่กับซุนฉวนหวู่ ได้ตัดสินเบื้องต้นว่าเป็นสายลับแล้ว
ใต้เท้าหวงยังไม่โดนจำกุม แต่หยู่เหวินเห้าได้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง ไม่อนุญาตให้ออกจากเมืองหลวง และไม่อนุญาตให้เขาออกจากจวน ส่งคนไปจับตาดูเขาไว้
หากว่าบ้านหลังนี้เป็นของสายลับ เช่นนั้นใช้จัดเป็นที่อยู่ให้พระชายาอานก็มีความเป็นไปได้ แต่หยู่เหวินเห้าก็ไม่ได้ส่งทหารไปช่วยชีวิตโดยง่ายดาย แต่รอผลสรุปของเสี้ยวหงเฉิงทางนั้น
เสี้ยวหงเฉิงเข้ามาตอนกลางคืน เอาข่าวคราวที่ได้สอบถามมาแจ้งแก่หยู่เหวินเห้า “สอบถามในละแวกใกล้ๆหมู่บ้านแล้วเล็กน้อย บอกว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ปรากฏตัวน้อยมาก แต่ก่อนก็ไม่ค่อยเห็นว่ามีคนอาศัยอยู่ด้านใน เป็นไม่กี่วันก่อนที่มีรถม้าไม่กี่คันมาโดยไม่คาดคิด มีคนเห็นแล้วบอกว่าในรถม้ามีหญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กไว้ หญิงผู้นั้นแต่งตัวสูงส่งเป็นที่สุด ถูกคนลากเข้าไป แถมหญิงผู้นั้นยังร้องตะโกนว่าช่วยด้วยอีกเพคะ”
“มีการบรรยายถึงโฉมหน้าหรือไม่?” หยู่เหวินเห้าเอ่ยถาม
เสี้ยวหงเฉิงส่ายศีรษะ “ไม่มีเพคะ ชาวบ้านผู้นั้นบอกว่าไม่กล้าเพ่งมอง เพราะว่าคนที่ลงมาจากรถม้าไม่กี่คนนั้นล้วนมีท่าทางดุดันโหดเหี้ยม เขาเหลือบมองสองสามทีก็จากไปแล้วเพคะ”
เสี้ยวหงเฉิงเห็นหยู่เหวินเห้าลังเลเล็กน้อย จึงกล่าว “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นพระชายาอาน เวลาสอดคล้อง อีกทั้งหากไม่ใช่เพราะกักขังพระชายาอานไว้ จะต้องส่งยอดฝีมือไปอยู่ในนั้นมากมายขนาดนี้ทำไม? วางแผนเข้าช่วยชีวิตเถอะเพคะ อย่ายืดเวลาอีกเลย ยืดเยื้อต่อไปจะมีอันตราย”
แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะไม่ค่อยมั่นใจนัก แต่ในใจก็เป็นกังวลอยู่จริงๆ จึงกล่าว “เจ้าไปตรวจสอบก่อนสักหน่อย ในบ้านมียอดฝีมือในวงการยุทธภพมากน้อยเพียงไร”
“ได้เพคะ คราวนี้ข้าจะไปตรวจสอบด้วยตัวเอง” เสี้ยวหงเฉิงทำมือเคารพและขอตัวจากไป
หลังจากที่เสี้ยวหงเฉิงจากไป เมี่ยตี้ที่อยู่ข้างกายของท่านชายสี่ก็มาแล้ว เขารับผิดชอบจับตาดูอ๋องผิงหนานซื่อจื่อและสืบข่าวว่าข้างกายของเขามีคนมากน้อยเท่าใดกันแน่ หากว่าการไม่จัดงานเลี้ยงเป็นเพียงการซุ่มโจมตี โอกาสที่จะสำเร็จจะมีมากเพียงใด
เมี่ยตี้กล่าว “ข้างกายของเขามีคนสิบแปดคน ล้วนเป็นยอดฝีมือของเซียนเปย ไม่เคยได้ทดสอบวิทยายุทธมาก่อน แต่จากการหายใจและลมปราณ สามารถฟังออกว่าเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ มีห้าคนในนั้นที่ช่ำชองการใช้อาวุธลับ หากว่าไม่ได้มั่นใจเต็มที่ ข้าน้อยเสนอความเห็นว่าองค์ชายอย่างได้ลงมือเลยพ่ะย่ะค่ะ เขาสามารถปรากฏตัวในเมืองของเป่ยถังวางท่าใหญ่โตโดยไม่สนใจใครได้ขนาดนี้ จะต้องมีที่พึ่งเป็นแน่ หากว่าจับเขาไม่ได้ ผลที่ตามมาจะร้ายแรงเป็นอย่างมาก และตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยม โรงเตี๊ยมอยู่ติดกับถนน ผู้คนขวักไขว่ไปมา ไม่มีที่จะลงมือได้ ถ้าลงมือแล้วเขาตายหรือไม่ตายไม่รู้ แต่ที่รู้คือประชาชนจะต้องตายก่อนกลุ่มหนึ่งเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”