บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1151 เป็นเขา
ในมือของหงเย่ถือขลุ่ยหยกเอาไว้หนึ่งเลา นิ้วมือกดลงบนรูเบาๆ พยักหน้าเล็กน้อย สายตามีแสงวาววับผุดขึ้น “ฆ่าเขาไม่ใช่การแก้แค้น มองดูเขาพ่ายแพ้ยับเยินต่างหากที่เป็นการแก้แค้น”
ความเกลียดชังในหัวใจของหงเย่ ได้แต่อดทนซ่อนเร้นมาตลอด ตอนนี้แสงวาววับที่ผุดขึ้นมาในสายตาเพียงเล็กน้อยนั้น น้อยกว่าที่มีอยู่ในใจเขากว่าหมื่นเท่า
ทางด้านหงเย่นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลมากที่สุด เขาเป็นคนที่อยากจะให้หงเล่พ่ายแพ้มากที่สุด
หลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว หงเย่กลับยังคงอยู่ต่อตัวคนเดียว
เขาพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “ก่อนงานเลี้ยงที่มีเลศนัยแอบแฝงจะถูกจัดขึ้น ข้าอยากจะพบกับซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานท่านนี้ก่อน”
เขาใช้คำว่าซื่อจื่อของอ๋องผิงหนาน แต่ไม่ใช่การเรียกหงเล่โดยตรง หยู่เหวินเห้าได้ยินก็รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร
ที่จริงเขาเองก็มีความไม่แน่ใจอยู่บ้างเล็กน้อย ในขณะที่วางแผนการทั้งหมดขึ้นมา มักจะนึกถึงแววตาเย็นชาของตี๋เว่ยหมิงขึ้นมาอยู่เสมอ
ฉะนั้น เมื่อหงเย่พูดเช่นนี้ หยู่เหวินเห้าจึงตอบตกลง “ได้ ข้าจะจัดการให้”
ต้องการพบซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานไม่ยาก ตอนนี้เขาพักอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนานฝู องครักษ์ลับผีจับตาดูเขาอยู่ทุกวัน ตอนที่เขากินอาหารค่ำ จะนิ่งอยู่บริเวณใกล้หน้าต่างของโรงเตี๊ยม มองดูถนนที่อยู่เบื้องล่าง ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม
ฉะนั้น พวกเขาสามารถทำเป็นบังเอิญไปพบเข้าก็ได้
เดิมทีซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานอาศัยอยู่ที่จวนตระกูลฉู่ หลังจากที่เรื่องสร้างความบาดหมางให้กับอ๋องฉีและอ๋องซุนถูกรู้ทัน ก็ย้ายไปอยู่ที่ โรงเตี๊ยมหนานฝู ข้างกายได้ชุบเลี้ยงคนไว้กลุ่มหนึ่ง แทบจะเหมาโรงเตี๊ยมหนานฝูไปครึ่งหนึ่ง
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานจะรอฟังรายงานอยู่ในห้องทุกวัน ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับภายนอกทั้งหมด ในช่วงเที่ยงจะมีรายงานสรุปเสมอ รายงานให้เขาได้ฟัง
แม้แต่เรื่องทางด้านจวนอ๋องฉู่ที่ได้หาคนมากมายไปปรึกษาหารือก็ถูกนำมารายงานด้วย ได้ยินรายงานเหล่านี้แล้ว ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานก็เหลือบสายตาขึ้นมาเล็กน้อยมองไปทางทังหยางที่ยืนอยู่ข้างๆแวบหนึ่ง “เจ้าติดตามอยู่ข้างกายหยู่เหวินเห้ามาตั้งหลายปี เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ทังหยางประสานมือขึ้นมาพูดว่า “เจ้านาย แม้ว่าหยู่เหวินเห้าจะฉลาดเฉียบขาด แต่ที่จริงความคิดมิได้ล้ำลึก พวกเราค่อยๆจูงจมูกเขาเดินไปทีละก้าว เขาต้องติดกับแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีการจัดงานเลี้ยงขึ้นมา ในวันที่มีการเชิญมาพบปะกันที่โรงเตี๊ยม จะเป็นเวลาที่พวกเราจะทำการใหญ่ให้สำเร็จ”
“เช่นนั้นย่อมดีที่สุด”ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แสงแวววาวลอดผ่านสายตาออกมา เย็นชาคมเฉียบจ้องมองไปยังทังหยาง “ชาตินี้ของข้า พ่ายแพ้ให้กับเฉินจิ้งถิงคนเดียวเท่านั้น ตอนนั้นที่มีการปิดล้อมเมือง หยู่เหวินเห้าก็แค่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ข้าไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา ถ้าหากเขาต้องรับหน้าที่เพียงลำพัง คงยากที่จะทำเรื่องใหญ่ให้สำเร็จได้ ข้าจะยึดเป่ยถังให้ได้ก่อน ค่อยโจมตีแคว้นต้าโจว ลบล้างความอับอาย ข้าเก็บเจ้าเอาไว้ ช่วยเจ้าล้างแค้น ถ้าหากเจ้าไม่รู้จักแยกแยะชั่วดีละก็ วันที่ลงมือเคลื่อนไหว จะเป็นวันตายของเจ้า”
ระหว่างพูด ความโหดเหี้ยมได้ผุดออกมาจากสายตา เป็นความน่ากลัวที่พูดไม่ออก
ทังหยางหัวใจกระตุกวูบ ประสานมือขึ้นมาพูดว่า “เจ้านายโปรดวางใจ ข้าน้อยเกลียดในความเย็นชาไร้หัวใจ และความใจดำไร้เมตตาของหยู่เหวินเห้ามาก ถ้าหากเจ้านายสามารถโจมตีให้เข้าพ่ายแพ้ยับเยินได้ ชีวิตของข้าจะมอบให้เจ้านายอย่างไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานจ้องมองเขาครู่ใหญ่ แววตานั้นแหลมคมดุจมีดดาบ บวกกับข้างๆยังมียอดฝีมือที่จับตาดูด้วยสายตาดุดัน แม้ว่าทังหยางจะพยายามรักษาสีหน้าที่เคารพนอบน้อม แต่ว่าแผ่นหลังได้เปียกโชกด้วยเหงื่อไปนานแล้ว
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานลุกขึ้นยืน ตบไปที่ไหล่ของเขาเบาๆหนึ่งที ใบหน้าที่แสนจะเย็นชานั้นค่อยๆเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แปลกประหลาดออกมา “ดี เช่นนั้นก็ดี ”
เขาก้าวเท้าใหญ่ๆเดินออกไป คนติดตามที่อยู่ข้างๆก็รีบตามออกไปทันที ทังหยางยื่นมือออกไปเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก รู้สึกว่าแข้งขาอ่อนแรงอยู่บ้างเล็กน้อย รวบรวมสติให้ตั้งมั่น รีบเดินตามออกไป
ดวงอาทิตย์ค่อยๆคล้อยต่ำตกลงไปยังขอบฟ้า สาดแสงสีแดงฉานไปยังหมู่เมฆเกือบครึ่งท้องฟ้า บริเวณใกล้กับถนนของโรงเตี๊ยมหนานฝู ตรงข้ามไร้สิ่งบดบังพอดี มีเพียงร้านค้าเรียงตัวกันเป็นแถว นั่งอยู่บนชั้นสอง ก็สามารถเก็บภาพตะวันตกดินไว้ในสายตาได้ทั้งหมด
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานเพิ่งจะนั่งลง ก็เห็นหยู่เหวินเห้าเดินขึ้นมาบนชั้นสอง
ทังหยางยืนอยู่ด้านหลังของซื่อจื่อของอ๋องผิงหนาน สายตาไหววูบชั่วครู่ รีบใช้สายตาเกลียดชังในการจ้องมองหยู่เหวินเห้าทันที
หยู่เหวินเห้าเดินฉับเข้ามา และราวกับเพิ่งจะมองเห็นทังหยาง นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มด้วยความเย็นชา “ซื่อจื่อ สุนัขรับใช้ที่ข้าไม่ต้องการแล้ว ทำไมท่านถึงจูงมันกลับไป ถ้าหากขาดคนรับใช้ ขอแค่บอกกับข้ามาคำเดียวก็พอ ไยต้องเก็บขยะด้วยเล่า”
ทันใดนั้นใบหน้าของทังหยางก็แดงก่ำขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความโกรธ กดเสียงลงต่ำเอ่ยลอดไรฟันว่า “ใยองค์รัชทายาทต้องรังแกกันถึงขั้นนี้ด้วย”
หยู่เหวินเห้าฮึหนึ่งเสียงก่อนจะสะบัดชุดนั่งลง สบตากับซื่อจื่อของอ๋องผิงหนาน ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานยิ้มบางๆ “สุนัขตัวนี้ทรงไม่ต้องการแล้ว ไม่สู้ให้ข้านำกลับไปช่วยเฝ้าประตู ไม่ถือสากระมัง”
“ไม่ถือสา ถ้าหากซื่อจื่อต้องการ ก็จูงไปเลย แต่ข้าต้องเตือนซื่อจื่อประโยคหนึ่ง”เขาใช้สายตาเย็นชากวาดมองไป สายตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ “สุนัขบางตัวก็เลี้ยงไม่เชื่อง ต้องคอยระวังป้องกันเพราะไม่รู้ว่าจะแว้งกัดท่านได้เมื่อไหร่”
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานรินน้ำชาให้หยู่เหวินเห้า พูดขึ้นมาช้าๆว่า “ก็ไม่เป็นไร สุนัขแต่ไหนแต่ไรก็มีความจงรักภักดี ถ้าหากสุนัขกัดเจ้าของ เช่นนั้นคงต้องเป็นเพราะเจ้านายใจดำเกินไป ”
หลังจากเขาวางกาน้ำชาลงแล้ว ยกแก้วชาขึ้นแล้วก็อมยิ้มมองไปทางหยู่เหวินเห้า “อีกอย่าง ถ้าหากมีความผิดปกติเช่นนั้นจริง ตีให้ตายก็พอแล้ว ไยต้องทำให้ตัวเองโมโหด้วยเล่า”
ระหว่างที่พูด ก็เห็นคนอีกคนหนึ่งค่อยๆเดินขึ้นมาจากบันได ในมือถือขลุ่ยหยก สวมชุดสีแดงทั้งตัว ดวงตาหรี่ยาวดุจดวงตาของหงส์ฉายแสงแวววาว เป็นความน่าเกรงขามเย็นชาที่พูดไม่ออก
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานมองเห็นเขา ทันใดนั้นใบหน้าก็ถูกปกคลุมไปด้วยความขุ่นมัว ราวกับสายฟ้าฟาด สายตาที่แหลมคมเย็นชาเผยให้เห็นถึงไอสังหารที่พวยพุ่งออกมา กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกเล็กน้อย เอ็นสีเขียวอ่อนบนหน้าผากเต้นนูนขึ้นมา แม้แต่ในสายตา ก็ราวกับถูกย้อมไปด้วยสีแดงสดชั้นหนึ่ง
ระหว่างดวงตาทั้งสี่ดวงประสานกัน ราวกับมีเงาของกระบี่ที่ปะทะกันไปมาอย่างนับไม่ถ้วน แม้แต่ในอากาศยังมีไอสังหารแผ่กระจายไปทั่ว
“ซื่อจื่อ ข้าได้เชิญสหายมาร่วมทานอาหารด้วยกัน ไม่ทราบว่าจะรังเกียจที่จะร่วมทานด้วยกันหรือไม่”หยู่เหวินเห้าจ้องมองใบหน้าของซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานอยู่ตลอดเวลา เอ่ยถามขึ้น
ซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงเรียบๆว่า “ต้องขออภัยด้วย วันนี้ข้าไม่อยากทานอาหาร ขอตัวลา”
พูดจบ ก็พาคนของตัวเองจากไปทันที
เขาเดินผ่านร่างของหงเย่ แต่ว่าดวงตาไม่ได้มองหงเย่แม้แต่แวบเดียว เย็นชาดุจน้ำแข็งราวกับไม่รู้จักกัน แต่ว่าไอสังหารที่อยู่รอบตัวนั้น กลับเก็บซ่อนเอาไว้ไม่อยู่
หลังจากซื่อจื่อของอ๋องผิงหนานจากไปแล้ว หงเย่ก็ค่อยๆนั่งลง ยกแก้วของเขาขึ้นมาดมกลิ่นอย่างละเอียดชั่วครู่
หยู่เหวินเห้าถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไร”
หงเย่ไม่พูดจา เพียงแค่หลับตาใช้ประสาทในการรับรู้ ชั่วครู่ ก็ลืมตาขึ้นมามองหยู่เหวินเห้า “มีครั้งหนึ่ง ข้าใช้แผนการฆ่าคนสนิทของเขาไปสองคน สองคนนั้นติดตามเขามานาน เป็นคนข้างกายของเขาที่ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด เขารู้ว่าข้าเป็นคนทำ”
“เขาคงจะโกรธมากกระมัง”
“ก็เหมือนเมื่อครู่”หงเย่ค่อยๆพูดขึ้นมา
หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลง “ฉะนั้น มั่นใจว่าเป็นเขา”
หงเย่นิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วก็พูดต่อว่า “แต่ว่า ภายหลังข้าเพิ่งจะรู้ว่า ที่จริงสองคนนั้นมีความคิดที่จะทรยศตั้งแต่แรก การฆ่าพวกเขาตรงกับความคิดของเขาพอดี ที่จริงเขานั้นดีใจมาก”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกมึนงงขึ้นมา “หืม”
“เขาอารมณ์ขึ้นลงเอาแน่เอานอนไม่ได้ ”สายตาของหงเย่มีแววเกลียดชังผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ใช้มือบีบแก้วจนแตกละเอียด “เป็นเขา ไม่ผิดแน่”