บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1158 ไท่ซ่างหวงที่สวมชุดนักรบ
แค่ออกกระบี่ ก็สามารถตัดผมของหงเล่กระจุกหนึ่งให้ร่วงหล่นได้อย่างง่ายดาย แม้แต่หยู่เหวินเห้ายังรู้สึกตะลึงกับสิ่งนี้ ที่แท้วรยุทธของหงเล่สูงส่งแค่ไหนกัน ถึงว่าเขากล้าเดินทางมาเป่ยถังด้วยตนเองเพื่อวางแผนการทั้งหมดนี้ขึ้น
เดิมยังคิดว่าเขาอาศัยแค่การวางแผนและใช้ประโยชน์จากสายสืบที่แทรกซึมเข้ามา ถนัดในเรื่องยุยงปลุกปั่น ยืมกำลังของฝ่ายตรงข้ามมาโจมตี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวรยุทธที่สูงส่งถึงเพียงนี้
หงเย่เองก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน ติดตามอยู่ข้างกายเขามาตั้งนาน ที่จริงก็ไม่เคยเห็นเขาเผยวรยุทธที่แท้จริงมาก่อน ข้างกายของเขามียอดฝีมือมากมาย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แทบจะไม่ต้องให้เขาลงมือเลย
ถ้าหากจะพูดถึงลำดับของยอดฝีมือ หงเย่ที่อยู่ข้างกายเขา ยังไม่สามารถเป็นหนึ่งในร้อยได้ ไหนเลยจะคาดคิดว่า เขานั้นจะมีฝีมือสูงกว่ายอดฝีมือเหล่านั้นเสียอีก
ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ไม่กล้าดูถูกศัตรู สองกระบี่พุ่งเข้าไปพร้อมกัน เห็นเพียงภายใต้แสงแดดจ้า กระบี่ที่ฉาบไปด้วยไอเย็นถูกปกคลุมไปด้วยม่านกั้นชั้นหนึ่ง บริเวณที่กระบี่เคลื่อนผ่าน ล้วนเกิดการบาดเจ็บเสียหาย
สองต่อหนึ่ง ยังคงยากลำบากเหมือนเดิม กระบี่ของหงเล่นั้นทำมาจากเหล็กนิล แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ได้ยินเพียงเสียงอาวุธที่ปะทะกันดังขึ้นไม่ขาดสาย นี่ก็เป็นการกำหนดแล้วว่าต้องเป็นสงครามที่เลวร้ายมาก
ในขณะนี้เองในท้องพระคลังได้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นก็เห็นฝุ่นที่ปลิวกระจายขึ้นมา หยู่เหวินเห้ารีบหันไปมองแวบหนึ่ง รู้สึกตกใจเล็กน้อย
ท่านชายสี่เหลิ่งมาถึงแล้ว สองมือยกขึ้นพร้อมกัน สองฝ่ามือโจมตีออกไป หยู่เหวินเห้าตะโกนขึ้นว่า “ท่านชายสี่เหลิ่ง เจ้ารีบเข้าไป ดูสิว่ามีการขุดอุโมงค์ใต้ดินหรือไม่ บางทีพวกเขาอาจจะเคลื่อนย้ายทองคำจากใต้ดิน แล้วค่อยเผาท้องพระคลัง”
คาดเดาตั้งหลายครั้ง ก็ไม่สามารถเดาออกว่าหงเล่จะทำอะไรกันแน่ เผาคลังทองคำนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าเอาแต่ยิงลูกศรไฟเข้าไปด้านใน แต่เสียงที่ดังสนั่นเมื่อครู่ กลับทำให้หยู่เหวินเห้ารู้สึกตื่นตกใจจนได้สติขึ้นมาทันที ในท้องพระคลังนอกจากจะมีเงินแล้ว ยังมีทองคำอีกมากมาย ทองคำนั้นไม่กลัวไฟเผา เขาคงไม่เหลือทองคำเหล่านี้เอาไว้ให้เป่ยถังแน่ ฉะนั้นต้องมีการจัดการขนย้ายออกไปก่อน แน่นอนว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ เขานั้นไร้ทางที่จะขนย้ายออกจากเมืองหลวงได้ นอกเสียจากจะควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด แต่สำหรับหงเล่แล้วยากมาก เดิมทีการศึกครั้งนี้ก็คือการใช้คนของเป่ยถังต่อสู้กับคนเป่ยถังกันเอง คนของตัวเองมีไม่มาก
ฉะนั้น เป็นไปได้อย่างสูง ว่าเขาได้ขุดอุโมงค์ใต้ดินอย่างลับๆตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่เช่นนั้น ถ้าหากเป็นแค่การทำลายท้องพระคลังเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้เขาออกโรงเอง
และเงินที่ท้องพระคลังใช้ทั้งหมด ที่จริงทุกคนต่างก็รู้ดี มีความบริสุทธิ์ไม่สูง เมื่อผ่านการเผาไหม้ก็จะกลายเป็นสีแดงสีดำ ไม่สามารถหมุนเวียนในตลาดได้อีก บวกกับเงินทองแดงที่เก็บสะสมเอาไว้ในท้องพระคลัง ก็จะถูกทำลายไปทั้งหมด ฉะนั้นหงเล่ยังคงใช้ไฟในการโจมตีอย่างต่อเนื่อง เกรงแค่ว่าคนที่มาจากอุโมงค์ใต้ดิน ต่างก็พกพาน้ำมันมาด้วย
ทันใดนั้นท่านชายสี่เหลิ่งก็พลิกตัวโผบินขึ้นไปบนอากาศราวกับเหยี่ยวนกกระจอก กระโจนข้ามกลุ่มคนเข้าไป เดิมทีครั้งนี้หรงเยว่ได้จัดเตรียมคนของสำนักเหลิ่งหลังเอาไว้ไม่น้อย ฉะนั้นหลังจากที่ท่านชายสี่เหลิ่งเข้าไปแล้ว ก็มีคนให้ความร่วมมือเป็นจำนวนมาก
หงเล่เห็นว่าหยู่เหวินเห้ามองแผนการของตนเองอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว สายตาก็มีแววกราดเกรี้ยวรวมตัวขึ้นมา มีความโหดเหี้ยมที่ไม่สนอะไรทั้งสิ้น กระบี่เหล็กนิลที่ราวกับสายฟ้าที่ทรงพลังยากจะต้านทานได้พุ่งตรงมายังร่างของทั้งสองคน
หยู่เหวินเห้าเห็นเช่นนี้ ก็รู้ว่าเขามีความคิดเช่นนั้นจริงๆ หัวใจยังคงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสั่นไหว จุดที่คลุมเครือน่ากลัวของคนคนนี้ ก็คือไม่รู้ว่าเขาได้เตรียมแผนการสำรองเอาไว้เท่าไหร่
หยู่เหวินเห้ามีใจเด็ดเดี่ยวในการป้องกันท้องพระคลัง หงเล่มีความเกลียดชังที่ต้องการแก้แค้น ฉะนั้นเมื่อเผชิญต่อการโจมตีจากหงเล่ ทั้งสองแม้จะดูว่ายากลำบากอยู่บ้าง แต่ก็สามารถรับมือได้
นอกพระที่นั่งของราชวงศ์ เป็นกองทัพยอดฝีมืออีกกลุ่มหนึ่งของหงเล่ กองทัพนี้มีรองหัวหน้าของพันธมิตรอู่หลินจักรหลินเฟิงเป็นผู้นำทัพ หลินเฟิงเป็นน้องชายของหลินเซียวซึ่งเป็นหัวหน้าพันธมิตรอู่หลิน คนที่เขาพามาด้วยทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงส่ง เดิมทีก็เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ต่ออู่หลิน แต่หลายปีมานี้ถูกหลินเซียวล้างสมอง ให้พวกเขาต่อต้านราชสำนัก เกลียดชังราชสำนักเข้ากระดูกดำ บวกกับลูกศิษย์ในสำนักเหล่านี้เดิมก็สามารถแบ่งแยกดินแดนเพื่อครอบครองได้ แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยกเลิกระบบการครอบครองเช่นนี้ไป ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียความรุ่งเรืองและร่ำรวยเช่นแต่ก่อนไป หลายปีมานี้ล้วนอาศัยเงินทองที่หงเล่ให้ประทังชีวิต พวกเขาคิดว่าขอเพียงล้มล้างราชสำนักได้ ก็จะทำให้พวกเขากลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
คนเหล่านี้ โดยการนำของหลินเฟิงมีมากกว่าพันคน คนเหล่านี้แทรกซึมอยู่ในเมืองหลวงมานาน เพียงเพื่อศึกครั้งนี้
ช่วงที่ผ่านมานี้หยู่เหวินเห้าได้รวบรวมข่าวคราวที่สอบอย่างลับๆโดยไม่หยุด ตรวจสอบผู้คนที่มาจากภายนอก สำหรับการคาดการณ์ว่าคนของหงเล่ที่อยู่ในเมืองหลวงมีเท่าไหร่ มีแนวคิดที่ชัดเจนแน่นอน และได้ขับไล่คนบางส่วนออกจากเมืองหลวง ขณะเดียวกันก็ได้ตั้งด่านขึ้น จำกัดคนที่เข้าเมืองโดยมีสถานะที่ไม่ชัดเจน
คนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ควบคุมได้ยากที่สุด เพราะว่าพวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือ เดิมทีหยู่เหวินเห้าคิดว่าคนเหล่านี้จะทำการบุกโจมตีวังหลวงเท่านั้น ไหนเลยจะรู้ว่า พวกเขายังไปที่พระที่นั่งด้วย
พระที่นั่งเทียบกับวังหลวงมิได้ ไม่ได้แข็งแกร่งมาก นี่ก็ต้องอาศัยคนในการป้องกันแล้ว
หยวนชิงหลิงได้ยินเสียงสู้รบตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว หัวใจตระหนกเป็นอย่างยิ่ง อะซี่ปลอบใจว่า “อย่าห่วงเลย สองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอันได้เตรียมการไว้แต่เนิ่นๆแล้ว”
“แต่ทหารองครักษ์ในพระที่นั่งมีไม่มาก”หยวนชิงหลิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“เคยถามชายาเฟิงอันแล้ว นางบอกว่าเหล่าองครักษ์ฟ้าผ่าต่างก็อยู่ที่นี่ และพวกเขาก็โจมตีเข้ามาได้ยากมาก เพราะว่าในบรรดาองครักษ์ฟ้าผ่ามีคนที่มีความสามารถพิเศษบางส่วน ทำการสร้างค่ายกลขึ้นมา ”
เห็นได้ชัดว่าอะซี่สงบนิ่งมาก แต่ในสายตายังคงมีแววว้าวุ่น เพราะว่าเมื่อครู่นางออกไปดู ข้างนอกนั้นมีอย่างน้อยหนึ่งพันคน แต่ในพระที่นั่งรวมกันทั้งหมดแล้วมีไม่ถึงสองร้อยคน
คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งทั้งสิ้น
“ไท่ซ่างหวงเล่า เจ้าไปอยู่กับพวกเขาเถอะ ”ไม่ว่าอย่างไรหยวนชิงหลิงก็ไม่วางใจ ลูกๆมีความสามารถที่จะปกป้องตนเองได้ แต่ไท่ซ่างหวงไม่มี
“ไม่ต้องไปแล้ว ไท่ซ่างหวงสวมชุดออกศึกแล้ว”อะซี่พูด
หยวนชิงหลิงตะลึง “อะไรนะ”
นางรีบวิ่งออกไปด้านนอกทันที เมื่อไปถึงตำหนักใหญ่ ก็เห็นขุนนางแก่ทั้งสามคนต่างก็สวมชุดออกศึกแล้ว สองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอันก็เช่นเดียวกัน สวมชุดเกราะสีทองเอาไว้ ในมือถือกระบี่ ทำท่าทีจะเข้าสู่สนามรบ
“เสด็จปู่ ”หยวนชิงหลิงร้อนใจ รีบเดินเข้าไปข้างใน“ท่านจะออกไปหรือ ท่านไปไม่ได้นะ”
ในมือของไท่ซ่างหวงถือกระบี่ชิงหมังเอาไว้เล่มหนึ่ง กระบี่หนักอึ้ง เขากำเอาไว้แต่มีพลังไม่เพียงพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกไปต่อสู้เลย
แต่เห็นแววตาที่ลุกโชนของเขา เปลี่ยนแปลงไปจากความนิ่งขรึมในวันวาน ยกมือขึ้นร่ายกระบี่ชั่วครู่ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้านั้นมีฐานะเดิมเป็นแม่ทัพ การต่อสู้ในวันนี้ น่าหวาดกลัวตรงไหน ถ้าหากตายในสนามรบ ก็เป็นการตายที่คุ้มค่า
ชายาเฟิงอันยิ้มบางๆ “พระชายารัชทายาท อย่าตื่นเต้น ให้พวกเขาออกไปเล่นสักหน่อยเถอะ ไม่เป็นไร”
หยวนชิงหลิงมองนางอย่างนิ่งอึ้ง เล่นหรือ นี่เป็นเรื่องเล่นอย่างนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องที่ถึงแก่ชีวิตเชียวนะ
พระชายาผูกชุดออกศึกให้เรียบร้อย ท่าทางสง่างามทรงพลัง บนใบหน้าราวกับไม่มีร่องรอยของกาลเวลา “ไม่เป็นไร ไม่เช่นนั้นคงไปนำเอาแผนที่ทางการทหารออกจากวังหลวงมาด้วย เจ้าคิดว่าพวกเขาคิดจะหลบอยู่ที่นี่จริงๆอย่างนั้นหรือ”
“แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร”เจ้าห้านั้นให้นางมาหลบอยู่ที่นี่สักพัก
โสวฝู่ฉู่เอ่ยเรียบๆว่า “ย่อมไม่ใช่ รัชทายาทแค่จัดการให้พวกข้ามาที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าพวกข้าได้ปล่อยข่าวออกไปตั้งนานแล้ว แผนที่ทางการทหารอยู่ในมือพวกเรา นี่ย่อมทำให้จุดศูนย์กลางของหงเล่กระจายออกไป ไม่เช่นนั้นหากเขารวบรวมกำลังทั้งหมดโจมตีเข้าไปในวังหลวง จะถูกเขาทำให้สั่นสะเทือนอย่างง่ายดายจริงๆ
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้ ในขณะที่หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกก็อดที่จะรู้สึกชื่นชมนับถือขึ้นมาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะมีคำโบราณที่ว่าขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าได้อย่างไร
ชายาเฟิงอันผิวปากส่งสัญญานหนึ่งครั้ง ก็เห็นมีหมาป่าหิมะตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่ากระโจนออกมาจากที่ใด สีขาวราวหิมะทั้งตัว เป็นอาต้าที่เคยพบที่ป่าดอกเหมย หมาป่าหิมะมาถึงก็ประสานสายตากับเสือขนทองแวบหนึ่ง เดินนำออกไปก่อน ท่าทีแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ตามหลังด้วยคนทั้งห้าที่ออกไปพร้อมกัน แม้จะเป็นคนอายุมากแล้ว แต่การเคลื่อนไหวฉับไวราวกับวัยรุ่น ชุดออกศึกปลิวสะบัด ราวกับได้ขับไล่ร่องรอยของวัฏจักรแห่งกาลเวลาออกไปจนสิ้น
ในหัวใจของหยวนชิงหลิง มีความมั่นคงที่พูดไม่ออก