บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1176 เป็นแม่สื่อให้เหลิ่งจิ้งเหยียน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1176 เป็นแม่สื่อให้เหลิ่งจิ้งเหยียน
เมื่อดื่มไปพักหนึ่งแล้วก็เริ่มมึน เอาใจจนหงเย่เข้าห้องปิดประตูสนิทแล้วถึงพูดเรื่องที่เหลิ่งจิ้งเหยียนค้นพบ
หงเย่ระทึกเล็กน้อย “นี่เป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ปรากฏหมอผีสวรรค์มาหลายปีแล้ว อีกอย่าง หมอผีสวรรค์ที่ผ่านมาก็เป็นชายหมด ไม่เคยมีผู้หญิง”
“อยากรู้ว่าจริงหรือเท็จ ต้องรอให้เหลิ่งจิ้งเหยียนหาวิธีลบจุดดำนั่นก่อน อย่างนั้นก็จะเป็นที่ประจักษ์!”
“เป็นไปไม่ได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุใดเจ้าถึงมั่นใจเช่นนั้น? เห็นเหลิ่งจิ้งเหยียนบอกว่า มีบันทึกว่าหมอผีเคยทำร้ายหมอผีสวรรค์ และเคยลองลบตราของหมอผีสวรรค์ด้วย จะคิดว่าไม่ซ้ำรอยเดิมไม่ได้”
หงเย่ชะงักงัน แต่ก็ยังส่ายหน้า รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ เขารู้ว่าสำหรับเจียงเป่ยนั้นหมอผีสวรรค์หมายถึงอะไร เป็นความเชื่อนับพันปี ทุกคนในเจียงเป่ยเคารพหมอผีสวรรค์ราวกับเทพ หมอผีจะลงมือกับหมอผีสวรรค์ได้อย่างไร?
อีกอย่าง ในสภาพที่พวกเขารู้อยู่เต็มอก กลับปล่อยให้อะโฉ่วถูกคนซ้อมตี รังแก นี่ไม่ผิดกับความเชื่อของพวกเขาหรือ?
ไม่ใช่ว่าหงเย่มองในแง่ร้ายเกินไป แต่เขาอยู่ที่เจียงเป่ยมานาน รับรู้ถึงความรักเคารพของคนเจียงเป่ยที่มีต่อหมอผีสวรรค์ เพราะทุกปีจะมีเทศกาลหมอผีสวรรค์ จัดงานใหญ่โตในเจียงเป่ย ทุกคนที่นั่นต่างถือศีลบริสุทธิ์ เจ็ดวันเป็นการสักการะหมอผีสวรรค์ที่ล่วงลับไปแล้ว
เขาเล่าเรื่องธรรมเนียมประเพณีของเจียงเป่ยกับหยู่เหวินเห้า เล่าตำแหน่งของหมอผีสวรรค์ที่อยู่ในใจของประชาชนเจียงเป่ย พูดจนหยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก
“งั้นก็ช่างเถอะ รอให้เหลิ่งจิ้งเหยียนตรวจสอบได้แล้วค่อยว่ากัน” สุดท้ายหยู่เหวินเห้าจึงกล่าวเช่นนี้
เมื่อกลับถึงจวนอ๋องก็ไปกอดหยวนชิงหลิงแบบเมาแอ๋ บอกนางเกี่ยวกับการค้นพบของเหลิ่งจิ้งเหยียน แต่ในเมื่อหงเย่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ พวกเขาจึงไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้อีก
หนานเจียงมีรายงานรบมา บอกว่าสงครามของเจียงเป่ยมีความคืบหน้าแล้ว แต่เครื่องใช้ทหารไม่เพียงพอ ต้องการให้ราชสำนักช่วยเหลือ
หยู่เหวินเห้ากลับกรมทหารก็เรียกตัวเลขานุการกรมคลังมาหารือร่วมกับกรมทหารด้วย เมื่อหารือเสร็จถึงรายงานฮ่องเต้หมิงหยวน
ฮ่องเต้หมิงหยวนย่อมไม่ขี้เหนียว สั่งลู่หยวนให้เตรียมข้าวของจำเป็นของทหารส่งไปหนานเจียง
ที่จริงเรื่องของหนานเจียงมีชัยอยู่แล้ว เพียงแต่ใช้เวลาแหละเงินทองเท่านั้น ที่ฮ่องเต้หมิงหยวนกังวลไม่ใช่หนานเจียง แต่เป็นความเคลื่อนไหวของเป่ยโม่ เป่ยโม่รวมกำลังอยู่ที่ชายแดน กองกำลังทั้งสองประชันหน้า ปะทะกันเล็กน้อยแต่กลับไม่มีความคืบหน้า การเผชิญหน้ากันเช่นนี้ช่างให้จิตใจตึงเครียดนัก
ฮ่องเต้หมิงหยวนพูดกับหยู่เหวินเห้า ว่าหากจัดการหนานเจียงได้เร็วหน่อย ก็โยกย้ายแม่ทัพใหญ่ฮู่ทางนั้นไปชายแดนสยบเป่ยโม่ นี่ถึงทำให้เป่ยถังอยู่อย่างสงบไร้กังวลได้
หยู่เหวินเห้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นถึงคิดว่าที่เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ยังจับตาเร่งเขา
เหลิ่งจิ้งเหยียนยังเจาะจงไปหาย่าหยวน เพราะหยู่เหวินเห้าเคยบอกว่าย่าหยวนเคยรักษาผู้ป่วยแบบนี้มาก่อน ลบตรานี้
แต่วิธีของย่าหยวนคือลบตรานี้ไปทั้งหมด หรือก็หมายถึง จะใช้วิธีของนางก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะจะลบตราของหมอผีสวรรค์ไปหมดด้วย
ย่าหยวนสนทนากับเหลิ่งจิ้งเหยียนอยู่นาน และเห็นภาพเหล่านั้นของเหลิ่งจิ้งเหยียนแล้ว เอ่ยถาม “ตรานี้เป็นของหมอผีสวรรค์ ท่านมั่นใจว่าไม่มีตราที่ตรงกลางเปลวไฟเป็นสีดำนะ?”
“เออ…” เหลิ่งจิ้งเหยียนชะงัก “ตามหลักแล้วไม่มี และไม่มีบันทึกที่น่าเชื่อถือด้วย แต่มีบันทึกว่ามีหมอผีสวรรค์คนหนึ่งถูกดัดแปลงตรา พอตราถูกเปลี่ยนแล้วตรงกลางเปลวไฟก็เป็นสีดำ”
“ตรงกลางเปลวไฟเป็นสีดำนั่นเป็นเพราะการดัดแปลงงั้นหรือ? ไม่แน่นะ ไม่ใช่ว่ามีบันทึกบอกว่าปานสีดำเป็นปีศาจร้ายมาเกิดหรือ? งั้นก็ต้องมีปานสีดำแน่ บางทีผู้ป่วยที่ข้ารักษาคนนั้น ตราของนางไม่ได้ถูกดัดแปลงแต่เป็นสีดำอยู่แล้วล่ะ?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนตะลึง ทำไมเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้นะ?
“ใต้เท้าเหลิ่ง ให้อะโฉ่วมาหาข้าที่โรงเรียนแพทย์ก่อนเถอะ ข้าจะรักษาให้นางหน่อย ถ้าสีดำบนใบหน้านางหายไปแล้วไม่ปรากฏตราของหมอผีสวรรค์ขึ้นมา งั้นสำหรับนางก็เป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง เพราะนางติดใจว่าใบหน้ามีตรานี้”
ย่าหยวนยังคงเริ่มจากมุมของผู้ป่วยอย่างเคยชิน ในเมื่ออะโฉ่วไม่อยากให้บนตัวมีตรานี้ และนางก็รักษาได้พอดี เช่นนั้นก็ลองรักษาดูก่อน
เหลิ่งจิ้งเหยียนเอ่ย “งั้นก็ได้ ข้าจะกลับไปปรึกษากับองค์รัชทายาทก่อน ขอบคุณฮูหยินใหญ่มาก!”
เขายืนขึ้น บรรจบมือกล่าวลา ก่อนจากไปยังอดมองฮูหยินใหญ่อีกหน่อยไม่ได้ แม่เฒ่าท่านนี้แม้อายุมากแล้ว แต่สมองยังแจ่มชัดมา ส่วนเขาคิดว่าตนฉลาดปราดเปรื่อง แต่กลับสู้แม่เฒ่าท่านี้ไม่ได้
ช่างน่าละอายจริง!
เดิมอะโฉ่วไม่อยากไปที่ฮูหยินใหญ่ เพราะนางไม่เชื่อว่ามีคนขจัดตรานี้ได้ แต่ท่านชายสั่งมาแล้ว นางไม่กล้าขัด ดังนั้นจึงย้ายไปอยู่กับฮูหยินใหญ่ที่โรงเรียนแพทย์
สำหรับอะโฉ่ว นางไม่สนใจว่าโฉมหน้าจะอัปลักษณ์ ขอเพียงไม่มีตราปีศาจร้ายกลับชาติมาเกิดเป็นพอ แม้นางตายก็ไม่เสียใจแล้ว ดังนั้นถึงจะมาเพราะท่านชาย แต่ที่จริงนางก็แอบมีความหวังอยู่เหมือนกัน
ย่าหยวนบอกว่าการรักษาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน แต่พอถึงวันที่สิบก็จะค่อยๆ เห็นผล
ระยะนี้เหลิ่งจิ้งเหยียนเข้าออกจวนอ๋องฉู่อยู่บ่อยๆ วันนี้ฮูหยินตระกูลเหลิงถึงกับส่งเทียบมา บอกว่าจะมาเป็นแขกที่จวนอ๋องฉู่
หยวนชิงหลิงประหลาดใจเล็กน้อย เพราะถึงคุ้นเคยกับเหลิ่งจิ้งเหยียน แต่กลับไม่ค่อยติดต่อกับฮูหยินตระกูลเหลิ่ง เพียงแค่เจอกันครั้งหนึ่งในวันที่มิ่งฟู่ (*ใช้เรียกหญิงที่มีบรรดาศักดิ์) เข้าวังกล่าวตักเตือนเท่านั้น
การมาเยี่ยมเยียนกะทันหันครั้งนี้ ไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอะไร?
ครรภ์ของอะซี่อยู่ตัวแล้ว จึงอยู่เป็นเพื่อนหยวนชิงหลิงบ่อยๆ ปฏิกิริยาแรกที่เห็นเทียบ ก็คือพูดอย่างประหลาดใจ “คงไม่ใช่เพราะเรื่องในตอนนั้นที่ฉู่หมิงหยางปล่อยข่าวหรอกนะ?”
หยวนชิงหลิงจะหัวเราะก็ไม่เชิง แต่พอพูดถึงเรื่องนั้นที่ฉู่หมิงหยางปล่อยข่าว คนที่มีความคิดย่อมไม่เชื่อกระมัง? ฮูหยินตระกูลเหลิ่งคงไม่มาหานางเพราะเรื่องนี้แน่
“ไม่ต้องเดาแล้ว พรุ่งนี้ก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?” หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางเอ่ย
เช้าวันถัดมา ฮูหยินตระกูลเหลิ่งก็พาบ่าวไพร่มาสองสามคน นำของกำนัลชิ้นใหญ่มาหลายชิ้น เกรงใจมาก
หยวนชิงหลิงยังต้อนรับไปตามมารยาท จนทั้งสองเข้านั่งแล้ว แม่นมสี่ก็มานั่งเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง หยวนชิงหลิงอาศัยโอกาสนี้ประเมินฮูหยินตระกูลเหลิ่ง นางดูอายุสี่ห้าสิบ การแต่งกายไม่ถือว่าหรูหราราคาแพง แต่บุคลิกดีมาก เป็นหญิงตระกูลใหญ่ที่กำเนิดในตระกูลผู้มีความรู้ กิริยาท่าทางล้วนมีบุคลิกสง่างาม
ฮูหยินตระกูลเหลิ่งเคารพแม่นมสี่มาก ทักทายไปยกหนึ่งแล้วสุดท้ายจึงกล่าวจุดประสงค์การมาตรงๆ นางถอนหายใจกล่าว “ลูกชายคนนั้นของหม่อมฉันปีนี้ก็สามสิบแล้ว แต่จนตอนนี้ยังโดดเดี่ยวตัวคนเดียว พระชายารัชทายาทท่านว่านี่น่าเป็นห่วงหรือไม่เพคะ?”
หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้นมา “สามสิบยังไม่แก่ ฮูหยินไม่ต้องร้อนใจไปหรอก”
“จะไม่ให้ร้อนใจได้อย่างไรเพคะ?” ฮูหยินตระกูลเหลิ่งถอนหายใจ เมื่อความหม่นหมองอยู่บนใบหน้า ความสง่างามก็คงอยู่ไม่ได้ “ขอพูดอย่างไม่ปิดบัง ช่วงนี้หม่อมฉันร้อนใจจนเป็นร้อนในแล้ว เร่งเขามาหลายครั้ง แต่กลับบอกว่าไม่รีบร้อน ไม่รีบร้อนคำนี้หม่อมฉันได้ยินมาตั้งแต่เขาอายุยี่สิบจนสามสิบ หม่อมฉันคิดว่าชาตินี้หม่อมฉันคงไม่มีวาสนาได้เห็นเขาแต่งงานมีลูกแล้วเพคะ”
แม่นมสี่หัวเราะพลางเอ่ย “ในเมื่อฮูหยินร้อนใจ ใยไม่หาคนมาเป็นแม่สื่อให้เขาเล่า? โบราณมาเรื่องแต่งงานของลูก พ่อแม่เป็นผู้จัดการ มีแม่สื่อเป็นผู้แนะนำ หากท่านชี้ขาด เขาหรือจะกล้าขัด?”