บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 121 โดนรังเกียจ
หยวนชิงหลิงอธิบายว่า “อาการป่วยของอ๋องหวยเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ ทุกคนที่เข้าออกจะต้องสวมหน้ากาก ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้อ๋องหวยฟังจนกระจ่างแน่นอน จะไม่ให้เขามีบาดแผลทางใจเป็นอันขาด”
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้เลย” หลู่เฟยโกรธจัดจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาแล้ว เดิมทีนางออกจากวังมา ก็เพื่อจะมาจับตาดูหยวนชิงหลิง แต่ตอนนี้ยังไม่ทันได้เริ่มรักษา หยวนชิงหลิงก็พูดจากลับกลอกเล่นลิ้นใส่นางแล้ว
พระชายาจี้ยกยิ้มพลางพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก แค่ระวังสักหน่อยก็พอแล้ว ข้าเข้าๆ ออกๆ อยู่หลายวัน ทั้งยังไม่ได้สวม อะไรนะ…. หน้ากากใช่หรือไม่ น้องหกป่วยหนักขนาดนี้ พวกเรามาพยายามช่วยกันไม่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจกันดีกว่านะ”
นางผลักหน้ากากกลับไปให้หยวนชิงหลิง แล้วหันหลังเดินเข้าไป
เพื่อแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้รู้สึกรังเกียจเลยแม้แต่น้อย
หยวนชิงหลิงสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หยุดเดี๋ยวนี้”
พระชายาจี้หันมาพูดอย่างเย็นชา “เจ้าคิดจะมาเบ่งวางอำนาจอะไรอย่างนั้นรึ”
หยวนชิงหลิงกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “ในเมื่อเสด็จพ่อรับสั่งให้ข้าเป็นคนรักษาอาการป่วยของอ๋องหวย นั่นหมายความว่าทุกคนล้วนต้องฟังคำสั่งของข้าทุกอย่าง วัณโรคเป็นโรคติดต่อได้ง่ายดายและรวดเร็วมาก ทั้งยังสามารถติดต่อได้จากการแค่ได้สัมผัสละอองน้ำลายเล็กๆ ที่อยู่ในปาก การสวมหน้ากากเป็นเพียงเรื่องพื้นฐาน หากใครไม่สวมหน้ากาก ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในห้องนี้”
นางหันกลับมามองกู้ซือ สั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ใต้เท้ากู้ ช่วยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูให้ดี หากผู้ใดประสงค์จะเข้าไป ต้องสวมหน้ากากให้หมดทุกคน หากไม่ทำตามนี้ ไม่อนุญาตให้เข้าไปทุกกรณี รวมถึงพระชายาหลู่เฟยด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” กู้ซือรับคำสั่ง ฝ่าบาททรงตรัสไว้ว่า ทุกสิ่งให้ฟังตามที่พระชายาฉู่สั่งทุกประการ เขาเองก็ไม่มีทางเลือก
แต่กู้ซือรู้สึกว่าวันนี้ พระชายาฉู่ดูจะขวัญกล้าบังอาจมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา เมื่อมองไปที่อ๋องฉู่อีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาเคยชินกับอะไรแบบนี้แล้ว ทั้งยังไม่เห็นท่าทีว่า เขาจะออกมาช่วยรับหน้าแทนพระชายาฉู่อีกด้วย
หลู่เฟยโกรธจัด “นี่กระทั่งข้า เจ้ายังกล้าขัดขวางอย่างนั้นรึ กู้ซือ ไสหัวของเจ้าไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้”
หลู่เฟยดึงตัวพระชายาจี้ตรงๆ ทำท่าจะเข้าไปข้างใน หยวนชิงหลิงหยิบคทาของไท่ซ่างหวงออกมาจากแขนเสื้อ กดเปิดทีละส่วน ยกขึ้นมาขวางสกัดไว้ด้านหน้าพระชายาจี้กับหลู่เฟย “จะเข้าไปก็ได้ แต่ต้องใส่หน้ากากให้หมดทุกคน!”
“นี่เจ้า…” หลู่เฟยเหลือบมองอย่างละเอียดแวบหนึ่ง เห็นลายมังกรแกะสลักบนไม้เท้า ก็ตกใจจนผงะไปทันที “นี่เป็นของที่ไท่ซ่างหวงประทานให้เจ้าอย่างนั้นรึ?”
ไท่ซ่างหวง
นัยน์ตาของอ๋องจี้แทบถลนออกมา เรียกว่าตกตะลึงจนเกือบจะกลิ้งหลุดออกมาอยู่แล้ว
หลู่เฟยหันขวับกลับมามองหยู่เหวินเห้า “ลูกห้า”
หยู่เหวินเห้ากางมือออก “ท่านแม่หลู่ นางมีคทา ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ เสด็จพ่อกับไท่ซ่างหวงต่างเจรจากันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ให้นางเป็นคนตัดสินใจเรื่องการรักษาทุกประการ กระทั่งข้าเอง ก็มีหน้าที่แค่รับผิดชอบไปรับไปส่งนางเท่านั้น”
ใบหน้าของหลู่เฟยถึงกับกระตุก บรรยากาศโดยรอบหยุดชะงักนิ่งค้างโดยพลัน
เจ้าหญิงเหวินจิ้งจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่หลู่ ก็แค่สวมหน้ากากเองนะเพคะ จากนี้ก็ไปอธิบายกับน้องหกให้กระจ่างก็พอ ให้พระชายาฉู่เข้าไปเถอะเพคะ อย่าทำให้เสียเวลาการรักษาน้องหกเลย การที่เสด็จพ่อเชื่อนาง มันต้องมีเหตุผลแน่”
หยวนชิงหลิงทิ้งหน้ากากไว้ให้กู้ซือ “เจ้าเฝ้าให้ดี ข้าจะเข้าไปแล้ว ใครไม่ใส่หน้ากาก ก็ไม่อนุญาตให้เข้าไปเด็ดขาด”
นางหันกลับไปมองหยู่เหวินเห้า ผู้ซึ่งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี สวมหน้ากากเรียบร้อย ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี
ทั้งสองเข้าไปในเรือนพัก
มีข้ารับใช้หนุ่มรออยู่ในห้องแล้วคนหนึ่ง หยวนชิงหลิงส่งหน้ากากให้เขา แล้วตรงไปที่เตียงของอ๋องหวยพร้อมๆ กับหยู่เหวินเห้า
“น้องหก วันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” หยู่เหวินเห้าเอื้อมมือไปห่มผ้านวมให้อ๋องหวย เอนตัวเข้าไปถามใกล้ๆ
อ๋องหวยซูบผอมจนน่ากลัว แก้มตอบ เบ้าตาลึกโหล ดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนว่าเขาเพิ่งผ่านการไอหนักๆ มารอบหนึ่ง สภาพร่างทั้งร่างดูซีดเซียวอ่อนแอ ดูราวกับคนที่ไร้เรี่ยวแรงหลังจากถูกทรมานมาเนิ่นนาน
แต่เขากลับหัวเราะอารมณ์ดี “พี่ห้า นี่ข้าเกือบจำเจ้าไม่ได้แล้วเชียว”
หยู่เหวินเห้าเกือบจะถอดหน้ากากโดยไม่รู้ตัว หยวนชิงหลิงจับมือของเขาไว้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า ” คารวะอ๋องหวย ข้าคือพระชายาฉู่ มีนามว่าหยวนชิงหลิง เป็นเสด็จพ่อที่ทรงมีรับสั่งให้ข้ามารักษาอาการป่วยของเจ้า ”
สายตาของอ๋องหวยค่อยๆ เคลื่อนไปที่หยวนชิงหลิงช้าๆ รอยยิ้มของเขาเจื่อนลงเล็กน้อย “ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ไม่เคยมีวาสนาได้พบเสียที น้องหกคารวะพี่สะใภ้ห้า”
หยวนชิงหลิงยิ้มแย้ม “จากนี้ก็จะได้พบกันบ่อยๆ แล้วล่ะ อย่างน้อยๆ ในช่วงครึ่งปีนี้ เจ้าจะได้พบข้าเป็นประจำอย่างแน่นอน”
อ๋องหวยยิ้มแย้มอีกครั้ง “ครึ่งปีรึ ดีมาก ดีมากเลย”
เขารู้ว่าความเจ็บป่วยของเขามันหนักหนาเพียงใด ไม่ต้องพูดถึงครึ่งปีหรอก แค่ครึ่งเดือนเขาก็คงผ่านมันไปไม่ไหวแล้วเป็นแน่
เขาได้ยินหมอหลวง บอกเล่าอาการของเขาให้หลู่เฟยฟังที่ด้านนอกแล้ว ว่าในช่วงสองวันที่ผ่านมา เขาไอเป็นเลือดไม่หยุดแล้ว
หยวนชิงหลิงไปดูบันทึกการรักษาของหมอหลวง
อาการของโรครุนแรงมากจริงๆ การไอเป็นเลือดกินเวลานานต่อเนื่องเป็นเดือนแล้ว ต้องใช้ยาประคองอาการมาตลอด เริ่มจะคงที่มาได้สองสามวัน หลังจากนั้นอาการก็หนักขึ้นอีกเรื่อยๆ ยังคงไอไม่หยุด
หยวนชิงหลิงทำการตรวจเบื้องต้น สอบถามอาการเพิ่มเติมจากคนไข้ หยิบกล่องยาออกมา แล้วฉีดสเตรปโตมัยซินให้เขา
หลู่เฟยกับพระชายาจี้เข้ามาพร้อมหน้ากาก ได้เห็นหยวนชิงหลิงกำลังฉีดยาให้อ๋องหวย
นางรีบพุ่งถลาเข้าไปทันที “นั่นเจ้าทำอะไร เจ้าฉีดอะไรให้เขา”
หยู่เหวินเห้ารีบเข้ามาหยุดนางไว้ “ท่านแม่หลู่ โปรดอย่าใจร้อน”
หลู่เฟยหันไปมองหยู่เหวินเห้าอย่างสงสัย “นี่เป็นการรักษาแบบไหนกัน เสด็จพ่อของเจ้ารู้หรือไม่?”
“รู้พ่ะย่ะค่ะ” หยู่เหวินเห้าพูด
หยวนชิงหลิงหยิบยาขึ้นมาหนึ่งกำมือ สั่งให้คนรับใช้หนุ่มนำน้ำเข้ามา แล้วพูดกับอ๋องหวยว่า “กินยาเม็ดเหล่านี้ลงไปนะ”
อ๋องหวยให้ความร่วมมือดีมาก เขาป่วยมาได้สองสามปีแล้ว เขาล้วนให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาที่เป็นวิธีพิเศษพิสดารแค่ไหน ตามที่เสด็จแม่ไปสืบเสาะหามาให้ หรือแม้แต่น้ำมนต์ที่แม่มดหมอผี ผู้มีวิชาอาคมทั้งหลายปรุงมาให้ เขาก็ยอมดื่มมันลงไปชนิดที่ไม่ต้องถามไถ่อะไรทั้งสิ้น
ดังนั้นกระทั่งแค่ถาม เขาก็ยังไม่ถามหยวนชิงหลิงด้วยซ้ำว่ามันคือยาอะไร เขากินมันเข้าไปโดยตรง พลันหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที
หยวนชิงหลิงตะลึง “นี่ไม่ใช่ให้เคี้ยว แต่ให้กลืนเข้าไปพร้อมน้ำต่างหาก”
“แต่การเคี้ยวนั้นให้ผลที่ดีกว่า” หยู่เหวินเห้าพูดเสริมเข้ามา เพื่อไม่ให้อ๋องหวยหน้าแตก
หยวนชิงหลิงสั่งให้คนรับใช้หนุ่มยกน้ำมา อ๋องหวยดื่มหมดแก้วใหญ่ในลมหายใจทีเดียว รสขมในปากก็ยังไม่จางหาย ยังคงมีความขมเฝื่อนในลำคอพุ่งขึ้นมาเป็นระยะๆ
“หลังจากกินยา ถ้ารู้สึกง่วงก็นอนหลับได้ ข้าให้ยาค่อนข้างแรง ในช่วงสองสามวันแรกเจ้าจะรู้สึกเซื่องซึม ง่วงนอน และเบื่ออาหาร นี่เป็นผลข้างเคียงปกติ ไม่ต้องกังวลไป” หยวนชิงหลิงพูดอย่างแผ่วเบา
อ๋องหวยพยักหน้าพลางยิ้มให้นาง จากนั้นจึงมองไปที่หลู่เฟย “เสด็จแม่ โปรดต้อนรับขับสู้พี่สะใภ้ห้าให้ดีแทนข้าด้วย”
หลู่เฟยเข้าใจในความหมายของลูกชาย จึงพยักหน้าตอบรับอย่างขมขื่น “แม่รู้แล้ว ถ้าเจ้าเหนื่อยก็พักผ่อนเถอะนะ”
แม้ว่าหลู่เฟยจะมีอารมณ์รุนแรงชอบโวยวาย แต่เบื้องหลังของนางก็ไม่ใช่คนแข็งกร้าวขนาดนั้น
แท้ที่จริงแล้ว ในวังหลัง นางก็ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังในฐานะคนคนหนึ่งมาโดยตลอด
วังหลังมีทั้งบรรดานางสนมผู้สูงศักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นกุ้ยเฟย เต๋อเฟย เสียนเฟย ฮองเฮา ฉินเฟย ตระกูลบ้านเกิดของพวกนางล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลทรงอำนาจทั้งสิ้น มีเพียงตระกูลของนางคนเดียวที่มีบิดาเป็นนายอำเภอในเมืองเล็กๆ
ความอารมณ์ร้อนของนาง แท้ที่จริงแล้ว ก็คือการระแวดระวังชีวิตของตัวเองให้มากต่างหาก
เป็นเพราะไม่มีใครอยากยั่วโมโหคนที่อารมณ์ร้อนฉุนเฉียวให้เป็นเรื่องยุ่งยาก
ครั้งนี้ฝ่าบาทมีพระราชโองการลงมา ให้พระชายาฉู่มารักษาอาการป่วยของอ๋องหวย แม้ว่านางจะคัดค้าน แต่นางก็ทำได้เพียงย้ายตัวเองมาจับตาดูที่นี่เท่านั้น
ลูกชายนางกลัวว่านางจะทำอะไรที่ประมาทเลินเล่อออกไป จนทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง เขารู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถปกป้องนางได้ ดังนั้น เขาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากร้องขอให้นางทำทุกอย่างแทนเขา
ลูกชายช่างรู้ความยิ่งนัก
พระชายาจี้มองดูกล่องยาของหยวนชิงหลิงอย่างครุ่นคิด เอ่ยถามว่า “ยาในกล่องของเจ้าแปลกเสียจริง ไม่ต้องเคี่ยวก่อนหรอกหรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “นี่เป็นยาเม็ดที่สกัดออกมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเคี่ยวใดๆ ก็สามารถกินได้ทันที ทั้งมีฤทธิ์เข้มข้นและได้ผลที่ดีกว่า”
พูดไปพลาง ก็ปรายตามองหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเคี้ยวแล้วจะให้ผลที่ดีกว่า เข้าใจหรือไม่?
พวก ข ไม่กระดิกหู!
พระชายาจี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปหาอ๋องหวย พลางพูดว่า “น้องหก อย่าโทษพี่สะใภ้ห้าเลยนะ นางให้พวกเราสวมหน้ากากนี้ ก็เพราะกลัวว่าทุกคนจะติดโรคจากเจ้าได้”
อ๋องหวยยิ้มอย่างอิดโรย “ข้าเข้าใจ”
หยวนชิงหลิงพูดว่า “แน่นอนว่าอ๋องหวยต้องเข้าใจดี ในเรื่องอาการป่วยนี้ของเขา และรู้ดีถึงความยากลำบากของโรคนี้ เขาย่อมไม่ต้องการให้ญาติๆ หรือคนรอบตัวของเขาต้องติดเชื้อเป็นธรรมดา”
นางหยิบหูฟังออกมา แล้วพูดกับหยู่เหวินเห้าว่า “เจ้าไปช่วยพยุงเขาให้ตะแคงไปด้านข้างหน่อย ข้าจะฟังเสียงที่ด้านหลังของเขา”