บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 123 ใครคือคนโง่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อ๋องฉีก็รีบพูดปลอบเขาว่า “พี่ห้า เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ ท่านก็อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับนางเลย แค่ผู้หญิงไม่มีเหตุผลคนหนึ่ง ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะฉลาดรู้ความเหมือนชุ่ยเอ๋อกันหมดเสียเมื่อไรล่ะ”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ใช่ ชุ่ยเอ๋อฉลาดรู้ความ เจ้าไปบอกนางด้วยล่ะ ว่าเรื่องนี้ก็ให้จบสิ้นเลิกแล้วต่อกันไป หากว่าจากนี้ไปก่อกวนอะไรให้นางรำคาญใจขึ้นมาจริงๆ จนถึงขั้นลงไม้ฟาดหนักๆ เข้าไปสักที นี่จะไม่ใช่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด แค่เพิ่งตกน้ำไปไม่พอ ยังจะต้องมาโดนไม้ฟาดเข้าไปอีกหนึ่งดอกหรอกหรือ ไม่คุ้มหรอก ต้องมาบาดหมางมีเรื่องเคืองใจกับผู้หญิงแบบนี้ ช่างไม่คุ้มเลยจริงๆ”
เขาพูดไป ดวงตาก็กลอกกลิ้งหลุกหลิก จุดรวมสายตากระจัดกระจายออกจากกันโดยไม่รู้ตัว
อ๋องฉีตะลึงงัน “พี่ห้า ทำไมข้าถึงรู้สึกว่า ท่านดูจะสนุกสนานเพลิดเพลินกับเรื่องนี้นักล่ะ”
หยู่เหวินเห้าเก็บสายตากลับทันที กลอกตามองบนใส่ “หรือจะให้ข้าร้องห่มร้องไห้หรือ คนตั้งมากมายเพียงนี้ จะให้ใครรู้ได้อย่างไรว่าข้าถูกภรรยาทุบตีน่ะ”
มีเหตุผล!
“เช่นนั้นเรื่องนี้ ก็จบกันเพียงเท่านี้เลยน่ะรึ”
“เห็นแก่สถานะของไม้ปราบผัว อดทนไว้ซะ” หยู่เหวินเห้าพูดจบ ก็กลับไปหาหยวนชิงหลิง
ช่วงนี้ เขาไม่สามารถปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้คลาดสายตาได้เลยจริงๆ ทั้งยังเอะอะก็โกรธก็เคืองคนอื่นอยู่เสมอๆ อีกด้วย
ยิ่งนานวันก็ยิ่งเป็นหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
หยวนชิงหลิงล่ะ อยู่ที่ไหน
หยู่เหวินเห้ากวาดสายตามองหานาง แต่ก็ไม่เห็นนาง นี่เขาแค่เดินห่างออกไปครู่เดียว นางก็หลงทางแล้วรึ
หยวนชิงหลิงถูกเจ้าหญิงชางผิง หยู่เหวินหลิง และเจ้าหญิงเหวินจิ้งพาตัวไปแล้ว
สองพี่น้องกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสภาพร่างกายของอ๋องหวย ดังนั้น หลังจากอ๋องฉีดึงตัวหยู่เหวินเห้าไป ทั้งสองก็รีบพาหยวนชิงหลิงไปที่ลานด้านนอก เพื่อสอบถามอาการของอ๋องหวยทันที
หยวนชิงหลิงอธิบายอาการโดยคร่าวๆ ให้ฟัง เจ้าหญิงเหวินจิ้งพลันถอนหายใจ “หวังว่าเขาจะทนจนผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ ข้าทุกข์ใจจนนอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว”
หยวนชิงหลิงเห็นว่าเบ้าตาของนางดำคล้ำ ผิวหน้าแห้งกร้าน แสดงให้เห็นว่านางนอนไม่หลับจริงๆ จึงพูดปลอบขวัญให้กำลังใจไปหลายประโยค
ในขณะที่กำลังคุยกับเจ้าหญิงอยู่นั้น ก็ได้เห็นฉู่หมิงชุ่ยเดินเข้ามาใกล้จากระยะห่างตา
หยู่เหวินหลิงพูดเสียงดังด้วยความรังเกียจ “นางมาที่นี่อีกแล้วอย่างนั้นรึ ครั้งที่แล้วทำไมไม่กดหัวให้นางจมน้ำตายๆ ไปซะเลย ต้องมาเห็นนางเสแสร้งทำมารยาสาไถยให้รำคาญตาอยู่ได้ทุกวี่วัน”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่า หยู่เหวินหลิงนั้นเป็นเด็กสาวที่จริงใจตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง เวลาคุยกับนางก็พูดจาดีมีมารยาท จึงรู้สึกชอบนางมาก
แต่เจ้าหญิงเหวินจิ้งพลันขมวดคิ้วมุ่น “หลิงเอ๋อ อย่าพูดจาเหลวไหล พระชายาฉีก็นับว่ายังเป็นคนไม่เลวอยู่นะ”
นางมองหยวนชิงหลิง ” เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งก่อน เจ้าก็ไปกล่าวขอโทษนางเสียเถอะ ข้าจะเป็นสักขีพยานและรับผิดชอบให้เอง เรื่องนี้จะได้จบๆ กันไป ดีหรือไม่”
หยวนชิงหลิงยกยิ้ม “ให้ข้าขอโทษ นางจะรับมันไหวอย่างนั้นรึ ไม่กลัวฟ้าผ่ากลางหัวหรืออย่างไร นางตกน้ำไปได้อย่างไรนั้น ตัวนางเองย่อมรู้ดีแก่ใจที่สุด”
ประโยคนี้ นางจงใจพูดในตอนที่ฉู่หมิงชุ่ยเดินเข้ามาใกล้แล้ว
นางไม่สนใจชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องอะไรทั้งสิ้น แต่เรื่องที่นางไม่ได้ทำ นางไม่มีวันยอมเป็นแพะรับบาปแน่
และนางก็ไม่อยากเห็นฉู่หมิงชุ่ยนั่น แกล้งทำเป็นน่าสงสารน่าเวทนา ทำเป็นไร้เดียงสาให้คนเห็นใจไปทั่วอีกด้วย
เจ้าหญิงเหวินจิ้ง จึงหันไปมองฉู่หมิงชุ่ยด้วยแววตาประหลาด ฉู่หมิงชุ่ยพลันหยุดฝีเท้า หลุบขนตาลง ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันหลังเดินกลับไป
ด้วยท่าทางที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่แน่ใจ ดูจนใจมากทั้งยังน่าสงสาร และยากจะแก้ตัวไปพร้อมๆ กัน
หยู่เหวินหลิงโพล่งขึ้นมาตรงๆ ว่า “หากว่าบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมถึงไม่หักล้างคำพูดของพี่สะใภ้ห้าล่ะ”
เจ้าหญิงเหวินจิ้งไม่ชอบการต่อสู้ระหว่างผู้หญิงแบบนี้เป็นที่สุด เมื่อเห็นว่าเรื่องราวเริ่มจะดูแปลกๆ นางจึงไม่พูดอะไรอีก เพียงหันหลังแล้วเดินจากไป
หยู่เหวินหลิงกลับคว้ามือหยวนชิงหลิงไว้ พลางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สะใภ้ห้า เมื่อครู่นี้ท่านน่าทึ่งมากเลย ถึงกับกล้าพูดใส่หน้านางอย่างนั้นเลยด้วย”
“ทำไมถึงจะไม่กล้าล่ะ ไม่ใช่ว่าเจ้าก็ต่อว่านางด้วยหรอกหรือ” หยวนชิงหลิงพูดอย่างนึกขำ
“ผู้หญิงคนนี้จิตใจชั่วร้ายจะแย่ เสียดายก็แต่พี่ห้ากับเสด็จแม่เท่านั้นล่ะ ที่ต้องมาถูกนางหลอก”
หยวนชิงหลิงถึงกับอยากรู้ขึ้นมาแทบตายเลยว่า หยู่เหวินหลิงได้ไปเห็นจากที่ไหนกันแน่ ถึงได้รู้ว่านิสัยของฉู่หมิงชุ่ยมีปัญหาร้ายแรงขนาดนั้น
แต่หยู่เหวินหลิงกลับพูดว่า “พี่สะใภ้ห้า ยังต้องยุ่งอยู่กับการรักษาอาการป่วยของพี่หกกระมัง เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านให้เสียเวลาแล้วดีกว่า”
หยวนชิงหลิงคว้าแขนของนางหมับ “ไม่ยุ่งหรอก เรามาคุยกันถึงธาตุแท้ของฉู่หมิงชุ่ยกันดีกว่า”
ทั้งสองหาสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งนั่งลง หยวนชิงหลิงจึงได้รู้เรื่องราวความเป็นไปทั้งหมด ที่กลายเป็นความรักความแค้น ระหว่างหยู่เหวินหลิงกับฉู่หมิงชุ่ย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว
ในเวลานั้นทุกคนต่างก็คิดว่า หยู่เหวินเห้าจะแต่งงานกับฉู่หมิงชุ่ยแน่ ตัวหยู่เหวินหลิงเองก็ชอบพี่สะใภ้ในอนาคตคนนี้มากเช่นกัน ทุกครั้งที่ฉู่หมิงชุ่ยไปเยี่ยมเสด็จป้าฮองเฮา นางก็มักจะไปน้อมทักทายเสียนเฟยที่ตำหนักด้วย และมักจะมีของติดไม้ติดมือมาให้หยู่เหวินหลิงด้วยไม่เคยขาด จนซื้อใจหยู่เหวินหลิงได้อยู่หมัด ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าเสียนเฟยและหยู่เหวินเห้า นางก็จะคอยพูดจายกย่องชื่นชม สรรเสริญในความดีของฉู่หมิงชุ่ยอยู่เสมอๆ
ครั้งหนึ่ง ฉู่หมิงชุ่ยปักปิ่นลายผีเสื้อหยกขาวด้ามหนึ่งเข้าวังมา หยู่เหวินหลิงได้เห็นเข้าก็ชอบมันมาก จึงไปเอ่ยปากขอยืมมาปักบ้างสักครั้ง ฉู่หมิงชุ่ยก็แสดงความใจกว้าง ด้วยการยกปิ่นให้หยู่เหวินหลิงไปตรงๆ
หยู่เหวินหลิงดีใจเกินจะได้เปรียบ นางถึงขั้นตรงดิ่งกลับไปที่ห้องตัวเองเพื่อลองปักปิ่น พยายามจับคู่กับเสื้อผ้าชุดที่เข้ากันที่สุด แล้วไปหาพี่สาวน้องสาวทั้งหลายเพื่ออวดปิ่นที่ได้รับมา
ผลสุดท้าย กลับไปได้ยินฉู่หมิงชุ่ยพูดกับสาวใช้ของนางในอุทยานหลวง
สาวใช้ถามนางว่า เพราะเหตุใดนางถึงยกปิ่นหยกขาวล้ำค่าด้ามนั้นให้กับเจ้าหญิงไป ฉู่หมิงชุ่ยกลับพูดด้วยท่าทางรังเกียจว่า เจ้าหญิงชางผิงนั่นโลภมาก อยากได้ของคนอื่น นางก็ถือเสียว่าทำบุญให้ขอทานไป
ในตอนนั้น หยู่เหวินหลิงนับว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ จึงพุ่งเข้าไปถามนางตรงๆ จนเกิดเป็นการทะเลาะกันจนบานปลาย ทั้งเสียนเฟยและหยู่เหวินเห้าต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมด ฉู่หมิงชุ่ยกลับร้องห่มร้องไห้กล่าวหาว่าหยู่เหวินหลิงใส่ร้ายนาง นางไม่เคยพูดอะไรอย่างนั้นเลย และสาวใช้ของนางผู้นั้น ก็เป็นพยานให้ว่าเจ้าหญิงเป็นฝ่ายพูดโกหก
ด้วยเหตุนี้ หยู่เหวินหลิงจึงถูกเสียนเฟยลงโทษไปยกหนึ่ง ทั้งยังถูกหยู่เหวินเห้าดุด่าซะเละเทะไปอีกยกหนึ่ง
ผ่านไปสองปี พอได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หยู่เหวินหลิงก็ยังคงโกรธไม่หาย “หากว่านางไม่เต็มใจให้ข้า ข้าก็ไม่มีทางไปบังคับเอามาอยู่แล้ว เสด็จพ่อทรงรักใคร่เอ็นดูข้าขนาดไหน ข้าต้องการอะไร มีหรือที่ท่านจะไม่หามาให้ ทำไมจะต้องไปอยากได้ปิ่นปักผมของนางด้วยล่ะ ต่อหน้ายกให้ข้าแล้ว พอลับหลังกลับเอาข้าไปว่าเสียๆ หายๆ แบบนั้น ข้าเป็นถึงเจ้าหญิง เป็นราชนิกุลสูงศักดิ์ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นแค่ขอทานเพราะน้ำคำของนาง ที่เกลียดที่สุดคือนางกล้าทำไม่กล้ารับ ทำเป็นร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าเสด็จแม่กับพี่ห้า บอกว่าข้าใส่ร้ายนาง ทำจนข้าถูกเสด็จแม่กับพี่ห้าลงโทษ ผู้หญิงคนนี้ ข้านับว่าได้เห็นธาตุแท้นางอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วล่ะ ตอนนั้นข้าถึงกับพูดเลยว่า ให้พี่ห้าแต่งกับขอทานสักคน ก็ยังดีกว่าแต่งกับนาง สุดท้าย ข้าก็ได้อย่างที่ใจหวังแล้ว”
หยวนชิงหลิงกระแอมไอออกมาทีหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นได้ชัดเจนเลยว่า ตอนนี้นางเป็นขอทานแล้วน่ะสิ
หยู่เหวินหลิงตระหนักว่าตัวเองพูดผิดไปซะแล้ว จึงรีบพูดทันทีว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าพี่สะใภ้เป็นขอทานหรอกนะ ข้าแค่ปากไวไปหน่อย พี่สะใภ้อย่าโกรธข้าเลยนะ”
หยวนชิงหลิงจะไปโกรธเคืองสาวน้อยที่น่ารักแบบนี้ได้อย่างไรกัน จึงพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก”
หยู่เหวินหลิงถอนหายใจด้วยท่าทางแบบผู้ใหญ่ แล้วพูดด้วยหน้าตาบูดบึ้ง “ท่านว่าพี่ห้าของข้าออกจะเป็นคนฉลาด ทำไมตอนแรก เขาถึงได้ถูกผู้หญิงคนนี้หลอกปั่นหัวเล่นได้ง่ายๆ เช่นนี้นะ?”
หยวนชิงหลิงปลอบใจ “อย่าตำหนิพี่ห้าของเจ้าเลยนะ เขาเป็นแค่คนโง่คนหนึ่ง ในหัวของเขามีแต่หญ้าเท่านั้นแหละ”
หยู่เหวินเห้าเพิ่งจะตามหานางเจอและกำลังเดินเข้ามาพอดี ทันได้ยินคำพูดที่นางพูดออกมา จึงถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้าว่าใครเป็นคนโง่ไม่ทราบ”
แค่ไม่ทันสนใจครู่เดียว ก็มาคุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกับอาหลิงที่นี่แล้ว ช่างวางใจไม่ได้จริงๆ
หยู่เหวินหลิงแลบลิ้นน้อยๆ ปรายตามองหยวนชิงหลิงอย่างเห็นอกเห็นใจแวบหนึ่ง พูดว่า “พี่ห้า พี่สะใภ้ ข้าไปล่ะนะ”
พูดจบ ก็วิ่งเร็วจี๋ราวทาน้ำมันไว้ที่ฝ่าเท้าเลยทีเดียว
หยู่เหวินเห้าก้าวเท้าเดินขึ้นไปข้างหน้า เงาร่างสูงใหญ่ปกคลุมทะมึน ท่าทางพร้อมบดขยี้อย่างสมบูรณ์
สีหน้าที่เดิมทีก็เป็นสีเหลืองอ๋อยของเขา เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาจ้องเขม็งมาที่นาง “เจ้าพูดว่า ใครเป็นคนโง่หรือ ในหัวของใครเต็มไปด้วยหญ้าหรือ”
หยวนชิงหลิงยิ้มแหยๆ “ฟังผิดแล้วล่ะ ฟังผิด”
“หูของข้าดีอยู่ เจ้าอย่าได้คิดหนี” เขาเห็นนางตั้งใจจะหนี จึงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปหยุดไว้ แล้วต้อนนางเข้ามุมที่ต้นไม้ใหญ่ตรงๆ ด้วยรัศมีอันน่าเกรงขามแบบชายฉกรรจ์ที่แผ่ออกมา ปกคลุมทาบทับเหนือศีรษะ ทำให้หยวนชิงหลิงยากจะหลบซ่อนได้พ้น
นางเอื้อมมือออก ลากไล้สัมผัสไปตามแก้มของเขา แล้วพูดเบาๆ ว่า “ท่านอ๋องฟังผิดแล้วล่ะ ข้าน่ะชื่นชมเจ้าอยู่ต่างหาก ในใจข้า ท่านอ๋องช่างสมบูรณ์แบบ ไม่อย่างนั้นแล้ว ข้าคงไม่วางแผนทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้แต่งงานกับเจ้าหรอก”
“ข้าไม่หลงกลลูกไม้พรรค์นี้ของเจ้า เอามือปลาหมึกของเจ้าออกไปให้พ้น” หยู่เหวินเห้าแค่นเสียงสั่งอย่างเย็นชา
นี่มันน่าโกรธจนแทบบ้าจริงๆ แล้ว วันนี้บอกว่าเขาโง่ พรุ่งนี้อาจจะว่าเขาว่าเป็นคนบ้าก็ได้ เขาไม่เคยได้ยินนางพูดถึงเขาในด้านดีๆ จากใจจริงเลยสักครั้ง
เมื่อก่อนเขาอาจจะเคยทำไม่ดีกับนางบ้างเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเอง แต่ว่าช่วงนี้เขายังดีกับนางไม่พออีกรึ ระวังให้ดีเถอะ คนเราถ้าโลภมาก ลาภมันจะหายไปได้ง่ายๆ หรอก