บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1232 เข้าวังรายงานเรื่องยินดี
ทุกคนต่างหัวเราะนาง เมื่อหัวเราะจบ พระชายาซุนถึงนึกขึ้นมาได้ “เรื่องนี้ในวังยังไม่รู้ละสิ?”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ยังไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะเข้าวังสักหน่อย เรื่องนี้ยังไงก็ปิดไม่มิด ตอนนี้ก็สามเดือนแล้ว อีกไม่นานท้องก็จะเห็นชัด”
“นั่นสิ จะปิดไม่อยู่แล้ว” หรงเยว่ปาดเหงื่อที่หน้าผาก แอบถลึงตาใส่หยวนชิงหลิง นางคนนี้นี่ จะโพล่งออกไปก็ไม่บอกก่อน ดีนะที่นางไหวพริบดี ทำเป็นตกใจ ไม่งั้นอะซี่ต้องเดือดนางแน่ อะซี่อยู่ในจวนอ๋องฉู่ไม่รู้ แต่นางกลับรู้ก่อน ด้วยนิสัยของอะซี่ไม่พองขนสิแปลก ยังมีพระชายาซุนที่ถือเรื่องลำดับก่อนหลังนี่อีก นางคิดว่าตัวเองกับพระชายารัชทายาทสนิทสนมกันมาตลอด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ยึดชุดสีเหลือส้มที่หยวนชิงหลิงถือกลับไปอีก “ท่านก็ให้ฮูหยินเหยาทำให้เจ้าใหม่สิ ตัวนี้ข้าชอบ ของข้า”
เดิมทีก็เป็นนางที่แย่งมา นึกว่านางไม่สะดวกออกโรง คิดไม่ถึงว่าเพราะชุดสวยเหล่านี้จึงประกาศเรื่องตั้งครรภ์ไปทันที ขี้เหนียวจริงๆ
ฮูหยินเหยาหัวเราะพลางเอ่ย “เอาน่า ไม่ต้องแย่งกัน ข้าจะทำอีก ข้าที่น่าสงสาร รวมของหวงกุ้ยเฟยไว้ด้วย เด็กสี่คน จากนี้ไปข้าต้องยุ่งแล้ว”
พระชายาซุนถอนหายใจ “พวกเจ้าแต่ละคนจะคลอดลูกของตัวเองแล้ว ส่วนข้า รออุ้มหลาน รุ่นเดียวกันชัดๆ ทำไมเหมือนแก่กว่าพวกเจ้าเยอะนะ?”
นางพูดเองก็หัวเราะถุยเองเสียงหนึ่ง “เมิ่งถงข้าไม่แต่งเร็วอย่างนั้นหรอก”
“พี่สะใภ้รอง ท่านก็ให้พี่รองขยันหน่อยสิ บางทีท่านอาจได้อุ้มลูกชายจ้ำม่ำนะ” หรงเยว่พูดหยอก
พระชายาซุนส่ายหน้า “ข้าไม่หวังนานแล้ว หลายปีก่อนก็เป็นเหมือนพวกเจ้าอย่างนี้ไม่ใช่หรือ? เพื่อคลอดลูกชายสักคน ทำจนพี่รองเจ้าเหน็ดเหนื่อยคนไม่ใช่ผีไม่เชิง สุดท้ายก็ปลงตก มีก็มี ไม่มีก็ไม่มี ฝืนไม่ได้สักนิด”
นางรู้สมรรถภาพด้านนั้นของสามีตัวเองดี มีเมิ่งถงได้ก็ขอบคุณสวรรค์แล้ว นางไม่ฝืน
พักหนึ่งแล้วนางจึงเอ่ย “ข้ากับพี่รองเจ้าปรึกษากันแล้ว อีกสักปีสองปี รับจากตระกูลย่อยมาสักคน ไว้ดูแลเรายามแก่ก็แล้วกัน”
ทุกคนฟังแล้วก็รู้สึกได้ทำได้ เดิมนี่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ฮูหยินเหยาเอ่ย “งั้นก็เลือกให้ดีๆ หน่อย จะสะเพร่าไม่ได้ ไม่ต้องเก่งกาจ แต่นิสัยต้องดี”
“ท่านห่วงเมิ่งเยว่ท่านก่อนเถอะ” พระชายาซุนหัวเราะพลางเอ่ย
การพบปะหลังจากความยุ่งเหยิงผ่านไปก็มักผ่อนคลายสบายอารมณ์เป็นพิเศษเสมอ ฟังพระชายาซุนพูดมุกสัปดนบ้าง ตลกจนทุกคนตัวคดตัวงอ หยวนชิงหลิงมีความสุขอย่างที่พูดไม่ถูก รู้สึกว่าชีวิตเป็นแบบนี้ตลอดไปก็ดีสิ
ช่วงค่ำให้ทุกคนกินอาหารแล้วถึงจะแยกย้ายกันกลับ
วันถัดมา สองสามีภรรยาหยู่เหวินเห้าก็เข้าวัง ไปรายงานเรื่องตั้งครรภ์กับในวัง
แน่นอนว่าไปบอกกล่าวไท่ซ่างหวงที่ตำหนักฉินคุนก่อน สามขาใหญ่ก็อยู่ด้วย โสวฝู่มาสอนตอนเย็น กลางวันโดยรวมมักเดินหมาก ดื่มชา พูดคุยกับเซียวเหยากงและไท่ซ่างหวง
แม่นมสี่ก็เป็นเหมือนเมื่อก่อน รับใช้อยู่ในตำหนักฉินคุน ไปวนรอบนอกจวนอ๋องฉู่รอบหนึ่งแล้ว สุดท้ายก็ยังกลับตำหนักฉินคุนเหมือนเดิม
ช่วงนี้ฉางกงกงก็ดีขึ้นมากแล้ว อยู่เป็นเพื่อนด้วย ตอนนี้เขาลุกขึ้นเดินได้หลายก้าวแล้ว อย่างไรก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ มีพื้นฐานวรยุทธ์อยู่ ทำกายภาพแล้ว ได้ผลลัพธ์ดีมาก
อีกไม่นานก็คงเดินเหินได้ตามปกติ
หลังจากนั่งสนทนาได้พักหนึ่ง หยู่เหวินเห้าก็ลุกขึ้นประกาศ ใบหน้าแขวนรอยยิ้มจนแทบสะพรั่งเป็นดอกไม้ “เสด็จปู่ หลานมีข่าวดีจะทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ”
“พูด!” ไท่ซ่างหวงมองเขา แล้วพลันมองเซียวเหยากงกับโสวฝู่ฉู่
หยู่เหวินเห้ามองสายตาของทุกคน ตื่นเต้นเล็กน้อย มองหยวนชิงหลิงแล้วจึงเอ่ย “ชายาหม่อมฉันตั้งครรภ์อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“สวรรค์ จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เซียวเหยากงลุกขึ้นพรวด ใบหน้าตะลึงถึงที่สุด “นี่เป็นเรื่องน่ายินดีมากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงกับโสวฝู่ฉู่ต่างมองกันทีหนึ่ง การเล่นละครของเจ้านี่เกินไปหน่อย
“เรื่องดี เป็นเรื่องดีมากจริงๆ!” ไท่ซ่างหวงหัวเราะพลางเอย มองทางหยวนชิงหลิง “กี่เดือนแล้ว?”
“ทูลเสด็จปู่ สามเดือนแล้วเพคะ!” มุมปากหยวนชิงหลิงอมยิ้ม มองปฏิกิริยาของพวกเขาทั้งสาม สัญชาตญาณในใจบอกว่าพวกเขารู้นานแล้ว
เป็นแม่นมสี่เสียอีกที่ยกชาเดินเข้ามาจากด้านนอก พอได้ยินเรื่องตั้งครรภ์ นางก็มองทุกคนสายตาหนึ่ง แล้วพูดเรียบ “ไม่ใช่ว่าทราบนานแล้วหรือเพคะ?”
“ทราบแล้ว?” หยู่เหวินเห้าตะลึง มองแม่นมสี่ “ทุกคนทราบหมดแล้ว?”
“เพคะ พระราชนัดดาทรงทูลแล้ว” แม่นมสี่หัวเราะพลางเอ่ย “แต่ทรงบอกว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ อย่าให้องค์รัชทายาททราบว่าทุกคนทราบแล้วเพคะ”
หยู่เหวินเห้ารู้สึกหมดอารมณ์ทันที เพื่อเข้าวังบอกเรื่องยินดี วันนี้เขาอุตส่าห์ปัดงานราชการทั้งหมด คิดจะประกาศข่าวดีนี้อย่างจริงจัง ไหนเลยจะรู้ว่าทุกคนรู้แล้ว
หมดท่าเลย
ไท่ซ่างหวงพูดอย่างหวังดี “เสด็จพ่อเจ้ายังไม่รู้ เจ้าไปบอกเขาเถอะ”
“เสด็จพ่อคงไม่ทรงยินดีหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะทรงจะเป็นพ่อคนอีกแล้ว แถมยังสองคนอีก!” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอก!” ไท่ซ่างหวงผายมือ “ไปเถอะ”
หยู่เหวินเห้ามองมือของไท่ซ่างหวงที่อย่างกับไล่แมลงวัน มักรู้สึกว่าเขาไม่อยากให้ตนอยู่ที่นี่ จึงมองหยวนชิงหลิงอย่างเซ็งสายตาหนึ่ง หยวนชิงหลิงจึงหัวเราะเอ่ย “งั้นเจ้าก็ไปสักหน่อยสิ ครั้งที่แล้วข้าเข้าวังมาคุยเรื่องโรงเรียนแพทย์กับเสด็จพ่อ มีปากเสียงรุนแรงนิดหน่อย คงไม่อยากเห็นข้า เพราะงั้นข้าไม่ไปแล้ว เจ้าก็ถวายพระพรแทนข้าแล้วกัน”
หยู่เหวินเห้าจึงได้แต่ลุกขึ้นทูลลา ออกจากตำหนักฉินคุนด้วยการมองอย่างเป็นกังวลของทุกคน
เมื่อเขาจากไปแล้ว ทุกคนก็โล่งอก
หยวนชิงหลิงเห็นท่าทางของทุกคนจึงเอ่ยถาม “ทำไมพวกท่านต้องทำกับเจ้าห้าด้วย?”
“เปล่าสักหน่อย!” ไท่ซ่างหวงปัดมือ ทำหน้าจริงจัง
“ทำสิเพคะ พอเขาไป พวกท่านก็โล่งอก เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ เขาทำอะไรให้พวกท่านหรือ?” หยวนชิงหลิงขมวดคิ้วถาม
ทุกคนนิ่งงัน แม่นมสี่จึงพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “พวกเขาบอกว่าตอนนี้องค์รัชทายาทพูดไปพูดมาก็ไม่พ้นเรื่องราชกิจ เสียเวลาชีวิตบั้นปลายพวกเขาเพคะ”
ว่าแล้วนางก็ถลึงตาใส่โสวฝู่ฉู่ “ตาแก่หนังเหนียว!”
โสวฝู่ฉู่หัวเราะตาหยี “ด่าได้ดี”
หยวนชิงหลิงจะหัวเราะก็ไม่ใช่ “พวกท่านใจร้ายจริง ไม่ช่วยเขาสักหน่อยหรือ”
โสวฝู่ฉู่เอ่ย “พระชายารัชทายาท ตอนนี้เรื่องที่องค์รัชทายาทดำเนินอยู่ล้วนอยู่ในทางที่ถูกต้อง ไม่ต้องให้คำแนะนำ ถ้าให้คำแนะนำไปแล้ว ทรงจะชินกับการถามไปทุกเรื่อง จะทรงผิดพลาดเหมือนกับฝ่าบาท ตั้งแต่ฝ่าบาททรงครองราชย์ เรื่องน้อยใหญ่ก็มักมาถามไท่ซ่างหวง นานวันเข้าก็ทรงไม่มีความมั่นใจ ขาดความสามารถในการตัดสินใจเด็ดขาด ตอนนี้การปกครองที่ทรงทำอยู่ล้วนเหมือนกับเมื่อก่อน ปลอดภัยเป็นที่ตั้ง แต่เป่ยถังกำลังก้าวหน้า เป่ยถังจำเป็นต้องปฏิวัติ กำจัดความเน่าเฟะของการเมือง ฝ่าบาทไม่อาจผลักดันคำสั่งออกไปได้อย่างเฉียบขาด ขุนนางในราชสำนักก็ชินกับการดูสีหน้า รู้นิสัยของนาย รู้รูปแบบการทำงานของนาย คนน้อยใหญ่ในราชสำนักจึงกลายเป็นพวกหัวโบราณ ดำรงรูปแบบเดิมทั้งหมด เช่นนั้นเป่ยถังจะก้าวหน้าไม่ได้ ไม่มีวันได้เป็นแคว้นแข็งแกร่ง”