บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1246 เกลี้ยกล่อมสำเร็จ
หลังจากหยวนชิงหลิงได้ฟังคำพูดเหล่านี้แล้วก็แทบสะดุ้งโหยง “พวกท่านจะออกรบ?”
ไท่ซ่างหวงไม่พอใจปฏิกิริยาของนาง เฮอะทีหนึ่ง “ดูถูกพวกเราหรือ? ตอนที่พวกเราทำสงคราม เจ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้?”
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ สมัยก่อนอยู่ในพระที่นั่ง พวกเรามิใช่สวมชุดเกราะสงครามหรือ?”เซียวเหยากงเอ่ย
หยวนชิงหลิงรีบเอ่ย “จะเหมือนกันได้อย่างไรเพคะ? ตอนนั้นสองสามีภรรยาอ๋องชินเฟิงอันยังอยู่”
“ถึงพวกเขาจะไม่อยู่ ก็ไม่ต่างกันเท่าไร อีกอย่าง ศึกครั้งนี้สำคัญยิ่งนัก บางทีพวกเขาอาจมาด้วย” ไท่ซ่างหวงเอ่ย
“แต่ราชสำนักก็ยังมีแม่ทัพอยู่ เหตุใดต้องให้พวกท่านนำทัพด้วย? ไม่ได้เด็ดขาด สมรภูมิอันตรายเพียงใด ไท่ซางหวงเสด็จสองสามก้าวก็หอบแล้ว พระหทัยก็ไม่ดี ไปไม่ได้เพคะ”
หยวนชิงหลิงแทบรู้สึกเป็นเรื่องน่าขัน ไท่ซ่างหวงสุขภาพไม่ดี หลายปียังเกือบแย่แล้ว แม้ช่วยกลับมาได้ แต่หลายปีนี้ก็ไม่เห็นว่าจะแข็งแรงถึงไหน เจ็บป่วยเป็นประจำ โรคหัวใจ หอบ ล้วนไม่ใช่โรคเล็กๆ ออกสนามรบหากกำเริบขึ้นมาแล้วผู้ใดจะช่วยพระองค์?
หยวนชิงหลิงไม่เห็นด้วยเด็ดขาด
ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดขอความเห็นจากนาง เอ่ยอย่างหยาบๆ ง่ายๆ ว่า “พวกข้าตัดสินใจแล้ว!”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี การทำศึกครั้งนั้นที่พระที่นั่ง ต่อสู้จนติดใจแล้วหรือไร? การทำสงครามติดใจได้หรือ?
“พระชายารัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเหยากงย้ายตำแหน่ง นั่งอยู่ที่เก้าอี้ปรมาจารย์ ทำท่าเคร่งขรึมเยี่ยงขุนพล “กระหม่อมใคร่ถาม หากสองกองทัพเผชิญหน้า ความสามารถห่างชั้น จะเป็นผู้แข็งแกร่งชนะหรือ ผู้อ่อนด้อยชนะพ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงมองนัยน์ตาปราดเปรื่องของเขา “เรื่องนี้ หากกำลังพลห่างชั้นมาก ย่อมต้องเป็นผู้แข็งแกร่งมีโอกาสชนะมากกว่าอยู่แล้ว”
“ดีมากพ่ะย่ะค่ะ ทรงมิได้ตรัสว่าผู้แข็งแกร่งชนะ แต่ทรงตรัสว่าโอกาสชนะมีสูง เช่นนั้นภายใต้ความต่าง หากต้องการเพิ่มโอกาสชนะของผู้ด้อย ควรทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“เออ…อาวุธ?”
“เวลานี้อาวุธจะศึกษาผลิตได้สำเร็จหรือไม่ยังหาทราบไม่ ดูตามเงื่อนไขที่ตอนนี้มีอยู่ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่รู้เรื่องทำศึกสงคราม”
เซียวเหยากงหัวเราะพลางเอ่ย “กล้า ผู้กล้าจะชนะ พวกกระหม่อมเคยทำศึกที่กำลังต่างชั้นมาหลายครั้ง อีกทั้งส่วนมากยังสู้กับคนเป่ยโม่ คนเป่ยโม่เคยเพลี่ยงพล้ำให้พวกกระหม่อม ดังนั้นคนเป่ยโม่จึงหวั่นเกรงพวกกระหม่อมมาก แน่นอน โดยหลักแล้วพวกเขาหวาดกลัวพี่เหว่ยอ๋องชินอังเฟิง แต่ถ้าพวกกระหม่อมนำทัพเอง ก็ข่มขวัญคนเป่ยโม่ได้ อีกอย่างหากพวกกระหม่อมออกศึกกับองค์ไท่ซ่างหวง ขุนศึกฮึกเหิม เช่นนี้เป็นการเพิ่มโอกาสชนะได้มากใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
โสวฝู่ฉู่สมทบ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระชายารัชทายาท ทรงคิดว่าถึงสมรภูมิรบจริงๆ แล้ว พวกกระหม่อมต้องสวมชุดเกราะหรือพ่ะย่ะค่ะ? ไม่ โดยมากแล้วเพียงสั่งการในค่ายเท่านั้น จัดการกำลังทหารวางกลยุทธ์ พวกกระหม่อมคุ้นกับคนเป่ยโม่นัก พวกเขาถนัดอะไร ไม่ถนัดอะไร พวกกระหม่อมก็รู้ทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงเอ่ย “แล้วพวกเรานำทัพ หรือว่าไม่ต้องพาแม่ทัพคนอื่นไปแล้วหรือ? พวกเขารับผิดชอบทะลายด่านหน้า พวกเราคิดแผนการอยู่ในกระโจม ร่วมมือกันถึงเพิ่มโอกาสชนะในศึกนี้ได้ ถึงตอนนั้นหากศึกษาผลิตอาวุธได้สำเร็จ ส่งถึงชายแดนได้รวดเร็ว เช่นนั้นพวกเราก็กำชัย ขับไล่ไอ้ฉินพวกนั้นกลับบ้านเกิดไปซะ!”
เมื่อทั้งสามกล่าวมาจิตใจก็ฮึกเหิม ราวกับจะไปทำศึกประเดี๋ยวนี้แล้ว
แม้สุยชิงหลิงจะนับถือมาก แต่ก็ยังไม่สนับสนุน หลักๆ เป็นเพราะสุขภาพของไท่ซ่างหวงแย่เกินไปนั่นเอง
“ยังเร็วไปที่จะพูดเรื่องนี้เพคะ เสด็จพ่อทรงไม่เห็นด้วยที่จะทำศึก ราชสำนักก็มีไม่กี่คนที่สนับสนุน”
ไท่ซ่างหวงยิ้มร้าย “ข้ายังต้องให้เขาเห็นด้วยหรือ?”
“ท่านไม่ยุ่งเรื่องราชกิจไม่ใช่หรือเพคะ?” หยวนชิงหลังรู้หลักการของเขา ไม่ยุ่งได้ก็จะไม่ยุ่ง โดยเฉพาะเรื่องใหญ่เช่นนี้
ไท่ซ่างหวงมองนาง แล้วค่อยๆ หย่อนตัวพิงด้านหลัง “เมื่อก่อนไม่ยุ่งราชกิจ ก็เพื่อใช้โอกาสในยามคับขันเช่นนี้”
หยวนชิงหลังตะลึง ชะงักงันครู่หนึ่ง “เจ้าห้ายังไม่รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่เพคะ?”
“เจ้ากลับไปบอกเขาสักหน่อยก็พอ อันที่จริงเขาจะรู้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ เขาออกศึกไม่ได้ ด้วยนิสัยของเขา ถ้าไปกับพวกเราต้องเอาแต่ปกป้องพวกเราแน่ ไหนเลยจะมีสมาธิกับการศึก”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้าช้าๆ “เช่นนั้นหม่อมฉันคิดว่าเขาต้องไม่เห็นด้วยแน่เพคะ”
ไท่ซ่างหวงหัวเราะขึ้นอีก “เขาไม่เห็นด้วยแล้วจะยังไง? ขัดขวางพวกเราได้หรือ?”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “เสด็จปู่ สงครามอันตรายเกินไปเพคะ หม่อมฉันหวังว่าจะไม่ทรงเสด็จ”
เซียวเหยากงกัดหมาก เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เดิมทีพวกกระหม่อมก็เกิดอยู่ในตระกูลขุนศึก แค่ภายหลังคนหนึ่งไปเป็นฮ่องเต้อย่างทิ้งรากเหง้าเดิม อีกสองคนก็เป็นขุนนางที่ได้ใหม่ลืมเก่า พยายามเรียนรู้ว่าจะปกครองแผ่นดินนี้ยังไง แต่ในเนื้อแท้พวกกระหม่อมก็ยังเป็นขุนศึก จุดจบที่ดีที่สุดของขุนศึกก็คือตายอยู่ในสนามรบ กระหม่อมกลับคิดว่าหากต้องตายจริง ตายอยู่ในสนามรบถึงจะเป็นจุบจบที่พวกกระหม่อมต้องการที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนี้ทำจนหยวนชิงหลิงได้ยินแล้วต้องสะท้าน นางถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว แต่เมื่อนึกสุขภาพของไท่ซ่างหวง นางก็มองโส่วฝู่อย่างไม่ตายใจ “เรื่องนี้แม่นมสี่ทราบแล้วหรือ? หากนางทราบแล้วจะไม่เสียใจหรือ?”
เมื่อนั้นแม่นมสี่ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก กล่าวเสียงหนัก “หม่อมฉันเห็นด้วยเพคะ!”
หยวนชิงหลิงชะงัก มองนาง “ท่านเห็นด้วย? ท่านก็ทราบว่าสนามรบอันตรายเพียงใด?”
“ทราบเพคะ!” แม่นมสี่นั่งต้มน้ำชาอยู่ด้านข้าง ละอองน้ำพวยพุ่ง ปกคลุมใบหน้าอ่อนโยนของนาง นางมองโสวฝู่ฉู่ แล้วมองเซียวเหยากงกับไท่ซ่างหวงอีก เอ่ยเสียงเบา “พวกเขาผ่านสนามรบมาหลายครั้ง ทุกครั้งหม่อมฉันก็จะต้มน้ำชารอพวกเขากลับมา และพวกเขาก็กลับมาอย่างปลอดภัยทุกครั้ง ครั้งนี้หม่อมฉันก็เชื่อว่าจะเป็นเช่นนี้เพคะ”
นางมองหยวนชิงหลิง ตาแดงเล็กน้อย “พระชายารัชทายาท พวกเขาปกป้องแผ่นดินนี้มากว่าครึ่งชีวิต สิ่งที่พวกเขาสละเพื่อแผ่นดิน บางสิ่งก็มากกว่าชีวิตนี้แล้ว ครั้งนั้นไม่คิดถอย ครั้งนี้ยิ่งไม่เหมือนกันเพคะ วิเคราะห์สถานการณ์ ชั่งน้ำหนักดีร้าย พวกเขาค่อนข้างเหมาะนำทัพจริงๆ หม่อมฉันไม่ขัดขวาง เพราะนี่เป็นคุณค่าของพวกเขาที่อยู่บนโลกนี้เพคะ”
ไท่ซ่างหวงมองนาง เอ่ยเสียงเบา “เด็กดี หลายเรื่องบนโลกนี้ บางครั้งก็ไม่เป็นไปตามมนุษย์ต้องการ แต่ขอเพียงมีลมหายใจก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ข้ายอมตายในสนามรบดีเสียกว่าจะตายเงียบๆ อยู่ในตำหนักวังลึกนี้”
หยวนชิงหลิงน้ำตาไหลพรากทันที เบือนหน้าออกไปเช็ดน้ำตาที่กระบอกตา มองเศษทองที่ปูทอดยาวอยู่ที่บันไดหิน ก่อนตรุษจีนเพิ่งทาสีน้ำมันที่ธรณีประตู ปิดทับร่องรอยแห่งเวลา ปรากฏสัญญาณใหม่
มองประตูตำหนักบานแล้วบานเล่า เหยียดยาวถึงกำแพงวังลายพร้อยนั้น มีประโยคหนึ่งแม่นมกล่าวได้ถูกต้อง นี่เป็นแผ่นดินที่พวกเขาปกป้องมากว่าครึ่งชีวิต บัดนี้พวกเขาต้องการปกป้องต่อ ผู้ใดจะขวางได้?
ในตำหนักเงียบสงัด ไม่มีใครกล่าวอีก แต่บรรยากาศไม่เศร้าสักนิด สามใหญ่มองกันและกัน ดวงตายังมีอารมณ์วัยหนุ่มลุกโชน ความรักต่อเป่ยถัง ทำให้พวกเขาแม้นถึงบั้นปลายชีวิตแล้วก็ยังยินดีสวมชุดเกราะ วิ่งสู่สนามรบ นี่เป็นชะตาของชาติทหาร!
“ยังคัดค้านหรือไม่?” ไท่ซ่างหวงถามนาง
หยวนชิงหลิงหันมามองเขา ใบหน้าเขามีร่องที่กาลเวลาทิ้งไว้ ทว่าดวงตากลับยังเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ นางส่ายหน้าช้าๆ สะอื้นเอ่ย “ไม่เพคะ ไม่คัดค้าน!”