บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1247 ใช่ว่าไม่ได้ความ
หลังจากหยวนชิงหลิงกลับไป ท่านชายสี่ก็อยู่ด้วยพอดี นางจึงนำเรื่องที่ไท่ซ่างหวง โสวฝู่และเซียวเหยากงตัดสินใจบอกกับพวกเขา
เมื่อหยู่เหวินเห้าฟังจบก็ส่ายหน้า “ไม่ได้ เรื่องสงครามเมื่อเริ่มต้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ให้พวกเขาทั้งสามออกรบไม่ได้เด็ดขาด เป่ยถังเรามิใช่ไร้แม่ทัพ ข้ากับพี่สามก็นำทัพได้ พี่สี่…ถึงไม่ถือว่าให้เขานำกำลังพล แต่เข้าสมรภูมิรบก็ยังได้อยู่ ทั้งหนานเจียงก็มีข่าวดีมาแล้ว บอกว่าน้องเก้ากลับมาได้ ตอนนี้แม่ทัพในราชสำนักแม้ไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ไม่ถึงกับต้องให้พวกเขาทั้งสามนำทัพออกรบ”
ยากนักที่ท่านชายสี่จะยิ้มเจื่อน “คนเป่ยโม่คงคิดไม่ถึงกระมัง? นึกว่าทางนี้ใช้ประกาศเงินรางวัลบีบองค์รัชทายาทแล้ว แต่ก็ยังมีคนแก่ในวังวุ่นวายอีก ยังไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่พวกเขาทั้งสามนำทัพออกศึก ขวัญกำลังใจทหารฮึกเหิม คนเป่ยโม่รู้แล้วกลัวแต่จะสั่นระริก แผนนี้ขององค์ไท่ซ่างหวงช่างทำให้คนเป่ยโม่มึนงงได้เสียจริง”
หยู่เหวินเห้ากรอกตาขาวใส่เขา “ท่านยังผสมโรงด้วยอีก?”
ท่านชายสี่เอ่ย “กระหม่อมแค่พูดตามเนื้อผ้าเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ หลายปีมานี้ความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อไท่ซ่างหวงก็คือ ป่วย ชรา เปลี้ย ไม่ว่าใครก็ต้องไม่คิดว่าจะออกรบได้ เป่ยโม่เห็นพระองค์เป็นคนแก่หมดสภาพ ไหนเลยจะคิดว่ามีวันหนึ่งที่ทรงสวมชุดเกราะเข้าสนามรบ? หากสามีภรรยาอ๋องชินอันเฟิงก็เข้าสนามรบด้วย เช่นนั้นก็สุดยอดไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าเอ่ย “ไม่ว่าจะพูดยังไง ข้าก็ให้เสด็จปู่ไปสนามรบไม่ได้เด็ดขาด”
“ทรงอย่าให้หน้าตาทำให้เสียการเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้เกี่ยวกับหน้าตายังไง? ทรงเป็นเสด็จปู่ของข้า ข้าจะให้พระองค์ไปเสี่ยงภัยได้ยังไง? ท่านชายสี่ ท่านยอมให้ญาติตัวเองไปเสี่ยงด้วยหรือ?” หยู่เหวินเห้าถามด้วยความดุดัน
ท่านชายสี่มองหยวนชิงหลิงด้วยความเมตตา “ก็ต้องยอมอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านดูศิษย์ของกระหม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ…กระหม่อมยังปล่อยให้นางไปตายเลย!”
หยวนชิงหลิงฟังแล้วก็แทบกระอักเลือด “เช่นนั้นเจ้าหญิงเล่า? ท่านลองคิดว่าหากเป็นเจ้าหญิงดีกว่า”
ท่านชายสี่กล่าวอย่างสงบ “นางเป็นภรรยาของกระหม่อม มิใช่ญาติพ่ะย่ะค่ะ”
“ภรรยาไม่ใช่ญาติอย่างไร?”
“ภรรยาก็คือภรรยา ญาติก็คือญาติ ภรรยามีเพียงหนึ่งเดียว ญาติมีได้เป็นโขยงพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“วันนี้ไม่พูดแล้ว ท่านกลับไปเถอะ!” หยู่เหวินเห้าเอ่ย
ทว่าท่านชายสี่กลับนิ่ง “ไม่กลับพ่ะย่ะค่ะ คืนนี้จะทานอาหารที่นี่ คืนนี้เจ้าหญิงไม่อยู่บ้าน”
“ไปไหน?”
ท่านชายสี่เอ่ย “เมื่อวานได้ขวดหลิวหลีมา ก็เลยรีบนำไปให้ท่านพ่อตา”
ว่าแล้วเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างมีความคิด “บางทีเสร็จศึกแล้ว พวกเราอาจพิจารณามีลูก นางจะได้ไม่ว่างทั้งวัน เอาแต่คิดถึงในวัง”
หยู่เหวินเห้าถลึงตามองเขา ในที่สุดก็อดเอ่ยถามขึ้นไม่ได้ “พวกท่านเข้าหอกันแล้วหรือยังกันแน่?”
ท่านชายสี่ช้อนตามองเขา ริมฝีปากบางเผยอ “ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
หยู่เหวินเห้าเหนื่อยกับการพูดกับเขา แต่งภรรยาไปเป็นของตั้งโชว์ ให้นางเป็นได้ชื่อเพียงในนาม คิดแล้วก็น่าโมโหนัก
ท่านชายสี่อยู่ทานอาหารในจวน ฟ้ามืดแล้วถึงได้กลับไป
หยู่เหวินเห้าร้อนรนดั่งไฟจึงเข้าวังในวันถัดมา ไท่ซ่างหวงรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องมา จึงจัดโต๊ะน้ำชาได้พร้อมกับโสวฝู่และเซียวเหยากง
อีกทั้งเมื่อเขามาแล้ว ก็สั่งให้คนไปเชิญฮ่องเต้หมิงหยวน ก่อนที่ฮ่องเต้หมิงหยวนจะมาถึง พวกเขาทั้งสามไม่อนุญาตให้หยู่เหวินเห้าเอ่ยปาก
หยู่เหวินเห้าร้อนใจจนทำตาโต แต่พออ้าปากแล้วก็ถูกตัดบท ไม่อาจพูดต่อ
แต่กลับเห็นหน้าตำหนักมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง บนนั้นมีกระบี่สามเล่ม นอกจากนั้นยังมีกระถางธูปที่จุดธูปอยู่ หยู่เหวินเห้าพึมพำ อย่างไรกัน? กระบี่ก็ต้องเซ่นไหว้ด้วยหรือ?
เวลานี้ฮ่องเต้หมิงหยวนกำลังจัดการราชกิจอยู่ในห้องพระอักษร ด้านนอกมีขุนนางมากมายกำลังรอรับสั่งเรียก ไม่รู้ว่าไท่ซ่างหวงรับสั่งหา ฮ่องเต้หมิงหยวนก็รีบรุดไปทันที
เข้าตำหนักมาก็เห็นหยู่เหวินเห้าถูกทั้งสามนั่งล้อมที่ข้างโต๊ะชา แลเห็นกระบี่สามเล่ม หัวใจเต้นตึกตัก หลังจากเข้าตำหนักคารวะไท่ซ่างหวงแล้วก็เอ่ยขึ้น “เสด็จพ่อ ทรงรับสั่งให้หม่อมฉันมามีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ขณะที่เขาเอ่ย ก็กวาดสายตามองหยู่เหวินเห้าอย่างเย็นชาทีหนึ่ง คงนึกว่าหยู่เหวินเห้าเข้าวังมาเกลี้ยกล่อมให้ไท่ซ่างหวงยุ่งเรื่องราชกิจ หาคนสนับสนุนความคิดของเขา
หยู่เหวินเห้ามองเขาด้วยความน้อยใจ
ไท่ซ่างหวงให้เขานั่งลง เอ่ย “พวกเจ้าพ่อลูกมานั่งนี่ ดูสิว่าวรยุทธ์พวกเราสามคนถอยหลังแล้วหรือยัง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนชะงัก ทางนั้นกำลังยุ่ง แต่กลับเรียกให้เขามาดูพวกเขาประลองฝีมือ?
แต่เขาก็ไม่ค่อยกล้าแสดงออกถึงท่าทางหงุดหงิดของตัวเอง “เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะดูพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสามลุกขึ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างหยิบกระบี่ไปอยู่กลางลาน
สายลมพัดผ่าน ชิ้นผ้าทั้งสามปลัดปลิว แผ่นหลังของไท่ซ่างหวงหยัดตรง ค่อยๆ ยกกระบี่ขึ้น หยู่เหวินเห้ามองเขา รู้สึกว่าเขายกกระบี่ขึ้นลำบาก
แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจอ้าปากตาค้าง ไท่ซ่างหวงยกกระบี่ขึ้นพุ่งไปทางโสวฝู่ฉู่รวดเร็วปานสายฟ้า โสวฝู่ฉู่หลบฉับพลัน หมุนไปไม่กี่ทีก็พ้นกระบี่ได้หมด ส่วนเซียวเหยากงก็ถือกระบี่ฟาดผ่าไปทางไท่ซ่างหวง ไท่ซ่างหวงค้อมเอวกลิ้งกับพื้นทีหนึ่ง แล้วกระโดดขึ้นอย่างว่องไว จากนั้นก็ถือกระบี่ลุกขึ้น พลิกมือดาหน้าไปทางเซียวเหยากง
ด้านหลังเซียวเหยากงว่างโล่ง กระโดดถอยออกไปไกลสองจั้ง โสวฝู่กลับทะยานกลางอากาศมา ก่อนที่ตัวจะถึง กระบี่ก็วาดมาทางเขาแล้ว เซียวเหยากงหัวเราะหึๆ ปากเอ่ย “ยังไง? บุกข้า? ข้าจะไม่สู้กลับได้หรือ?”
โสวฝู่เอาแต่รุก ไอกระบี่ดุเดือดขึ้นมาทุกที ร่วมบุกเซียวเหยากงพร้อมด้วยไท่ซ่างหวง ดีที่หลายปีมานี้เซียวเหยากงว่างเว้นอยู่บ้าน ทักษะกระบี่จึงก้าวหน้า แม้แต่การพลิกหนีบรุกก็ไม่ด้อย
ตอนแรกเริ่มฮ่องเต้หมิงหยวนแค่ดูไปอย่างนั้น แต่คิดไม่ถึงว่าทักษะกระบี่ของพวกเขาจะร้ายกาจเพียงนี้ เขาไม่ค่อยได้เห็นไท่ซ่างหวงฝึกกระบี่ บัดนี้เมื่อใช้แล้ว แม้มองออกว่าฝีมือตกไปบ้าง แต่ไม่นานก็รู้ว่ากระบวนกระบี่คล่องแคล่วไร้เทียบเทียม
วรยุทธ์ของเซียวเหยากงยอดเยี่ยมที่สุด เหตุเพราะกำลังเขาดี กำลังภายในล้ำลึก โสวฝู่ฉู่กับไท่ซ่างหวงถูกราชกิจทำให้เสียสุขภาพ ดังนั้นจึงต้องปรับปรุง
แต่นี่ก็ทำให้สองพ่อลูกในตำหนักตะลึงอย่างหนักได้แล้ว
เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลง ทั้งสามก็มองทางสองพ่อลูก สีหน้าทะนงขึ้นอีกบางส่วน “เป็นไง?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนปรบมือ ตะลึงจนอ้าปากค้าง “เสด็จพ่อ เพลงกระบี่ท่านช่างเยี่ยมยอดนัก เหนือกว่าหม่อมฉันมากพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงนั่งลง หอบเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ ข้ารับใช้ในตำหนักจึงนำผ้าเช็ดหน้ามา เขาหยิบขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อที่หน้าผาก มองฮ่องเต้หมิงหยวน “ไม่คล่องแล้ว นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้ใช้อีก คิดไม่ถึงว่ายังต้องใช้”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึง “ยังต้องใช้?”
ไท่ซ่างหวงมองหยู่เหวินเห้า “ตอนนี้เจ้ายังอยากพูดอะไรอีกไหม? อยากบอกว่าข้าเป็นไม้ใกล้ฝั่ง แม้แต่กำลังเดินก็ไม่มีแล้ว?”
เดิมหยู่เหวินเห้าอยากพูดเรื่องสภาพร่างกายของเขา ตอนนี้เมื่อทรงแสดงฝีมือแล้ว แม้ยังหอบหนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าแก่แล้วจะไร้ประโยชน์
หยู่เหวินเห้าเอ่ยพึมพำ “ถึงจะต่อสู้ได้พักหนึ่ง แต่ก็ไม่เหมาะตามทัพเป็นเวลานานพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามทัพ?” ฮ่องเต้หมิงหยวนโมโหเต้นผางขึ้นมา ตบศีรษะหยู่เหวินเห้าไปพลัน “เจ้านี่ ถึงกับกล้าให้เสด็จปู่เจ้าไปสนามรบหรือ?”
ไท่ซ่างหวงหยิบผ้าเช็ดหน้าโยนใส่หน้าฮ่องเต้หมิงหยวน “เถียงกันทำอะไร? ข้าจะไปเอง เขาเข้าวังมาเกลี้ยกล่อมห้าม ไม่ถามให้แน่ชัดก็ลงอารมณ์ไปเรื่อย”
หลายปีมานี้ไท่ซ่างหวงไม่เคยชักสีหน้าตวาดใส่ฮ่องเต้หมิงหยวนเลย แต่เวลานี้กลับโยนผ้าเช็ดหน้าใส่หน้าเขา นี่เป็นครั้งแรก
แน่นอน นี่เป็นเพราะในตำหนักไม่มีคนนอก