บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1248 สมปรารถนา
ฮ่องเต้หมิงหยวนสะดุ้งทันที เลือดทั้งตัวพุ่งขึ้นใบหน้า มองผ้าเช็ดหน้าที่ตกอยู่บนใบหน้าตัวเองเขม็ง แล้วร่วงตกลงไป
กล่าวได้ว่าตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ นี่เป็นครั้งแรกที่เผชิญหน้ากับสีหน้าของไท่ซ่างหวง เขาทำอะไรไม่ถูก มองหยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้าก็หน้าซีดเหมือนกัน รู้ว่าเสด็จพ่อต้องพานโกรธเขาแน่ ดังนั้นจึงคุกเข่าลงขอขมาแทนเสด็จพ่อก่อน “เสด็จปู่โปรดอย่าทรงกริ้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่ซ่างหวงเอ่ยเรียบ “ข้าไม่ได้โกรธ เสด็จพ่อเจ้าก็ไม่ได้ไม่พอใจด้วย เป็นลูกรับฝ่ามือพ่อเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าถามเขาดูสิว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่? ไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหน ถ้าคนเป็นพ่อไม่พอใจก็ตบลูกได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นรัชทายาทหรือว่าฮ่องเต้”
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าเสด็จพ่อออกหน้าแทนหยู่เหวินเห้า เปลี่ยนสีหน้าพลัน
“เช่นนี้ใช่หรือไม่?” ไท่ซ่างหวงมองเขาพลางถามตรง
ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ตอนเจ้าเป็นรัชทายาท ข้าเคยต่อยเจ้าอย่างไม่มีเหตุผลหรือไม่? ถึงเจ้าจะผิด ส่วนมากก็แค่ตำหนิเท่านั้น เคยลงมือหรือไม่?” “ไม่พ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนหน้าซีดพลางส่ายหน้า
“รู้ว่าเพราะอะไรหรือไม่?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนลดสายตา “เสด็จพ่อทรงไว้หน้าหม่อมฉันพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงเชอะเย็น “รู้ก็ดี เอะอะก็ลงมือ เห็นเขาเป็นเจ้าคนแห่งเป่ยถังที่ไหน? แล้วขุนนางจะยอมสยบเขาได้ยังไง?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนอึกอักเอ่ย “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดูสมัยก่อนสิ ได้มีเจ้า มีลูกรู้ความมากสามารถเช่นนี้ เจ้าก็พอใจเถอะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองโสวฝู่กับเซียวเหยากงทีหนึ่ง สองเฒ่าเบือนหน้าไปทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขากดเสียงต่ำเอ่ย “เสด็จพ่อ อย่าทรงตรัสอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว มีคนอื่นอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นตอนที่เจ้าตีเจ้าห้าไม่เห็นบอกว่ามีคนอยู่เลย” ไท่ซ่างหวงเอ่ย
หยู่เหวินเห้าไม่สะใจสักนิด เพราะรู้ว่าอีกเดี๋ยวเสด็จพ่อต้องคิดบัญชีทีหลังแน่ ดังนั้นเขาจึงช่วยเกลี้ยกล่อม “เสด็จปู่ บางครั้งหม่อมฉันก็เลอะเลือน ต้องให้เสด็จพ่อตีสักหน่อยถึงได้สติพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนเห็นโอรสช่วยพูด จึงมองเขาทีหนึ่ง ผ่อนสีหน้าลงเล็กน้อย
ไท่ซ่างหวงก็ไม่คิดจะกัดไม่ปล่อย จึงโบกมือเอ่ย “เรื่องนี้ให้แล้วไป พูดเรื่องสำคัญ ฮ่องเต้ ข้าถามเจ้า เจ้าคิดว่านโยบายเรื่องเป่ยโม่ไม่ต้องปรับหรือ? มีรายงานบอกมาว่าคนเป่ยโม่ส่งเสบียงไปชายแดนไม่ขาด พวกเขาจะเปิดศึก”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเพิ่งถูกไท่ซ่างหวงตำหนิไป ตอนนี้ความทะนงจึงลดไปกว่าครึ่ง แม้กลับมาพูดเรื่องสำคัญ ท่าทางก็ไม่กลับมาเป็นดังเดิม เอ่ย “แต่ขุนนางกว่าครึ่งในราชสำนักไม่อยากทำสงครามพ่ะย่ะค่ะ”
“สถานการณ์เป็นอย่างไง เจ้าวิเคราะห์กับพวกขุนนางอีกครั้ง หลายปีมานี้ข้าไม่ยุ่งราชกิจ แต่ก็มีสายสืบ แผ่นดินจะยอมให้ไม่ได้สักกระเบียดนิ้ว ครั้งที่แล้วคนเป่ยโม่พ่ายหนัก ตอนนี้ยังตั้งมั่นซ้ำรอยเดิม แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ของเป่ยถังเราเป็นสิ่งที่พวกเขาจ้องมานับร้อยปี ไม่จัดให้หนัก พวกเขาไม่ราวีแน่”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไตร่ตรองแล้วก็ยังยืนกรานความคิดของตัวเอง “ที่จริงหม่อมฉันคิดว่าจะส่งคนไปเจรจาพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงพูดเย็นชา “เจรจา? เจ้าจะเอาเงื่อนไขอะไรไปเจรจา? แบ่งที่ดินให้? หรือว่าส่งเงินให้ทุกปี?”
“นี่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“คนเป่ยโม่ไม่ได้ผลประโยชน์แล้วจะเจรจากับพวกเราทำไม? หรือว่าเจ้าคิดส่งคนไปเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาถอยกำลัง? หรือคิดจะใช้ปากบอกพวกเขาว่ากำลังทหารเราแข็งแกร่งเพียงไร?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเอ่ย “คนเป่ยโม่น่าจะรู้ดีว่าหากทำสงครามจริง ที่ประสบเคราะห์ร้ายก็คือประชาชนของทั้งสองแคว้น หวังว่าฮ่องเต้ฉู่ของเป่ยโม่จะมีใจเมตตาราษฎร ไม่เปิดสงคราม ราษฎรจะได้ไม่ตกระกำลำบาก”
“เหลวไหล เหตุผลนี้ร้อยปีคนเป่ยโม่ก็ยังไม่เคยถ่องแท้ เจ้าส่งคนไปพูดก็ถ่องแท้แล้ว? เข้าใจแล้ว? รู้ขึ้นมาทันที? คิดเสียดิบดี แต่ไม่ว่าเจ้าส่งคนไปเท่าไร สุดท้ายก็เลี่ยงสงครามไม่ได้ เพราะเป่ยโม่มีผู้นำที่ทะเยอทะยาน จะเกลี้ยกล่อมเจ้าอหังการให้หยุดรุกราน นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และเป่ยถังข้าก็ไม่มีคนเก่งเช่นนั้น”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเงียบ ที่จริงเขาก็รู้ว่าโอกาสที่ส่งคนไปเจรจาสำเร็จมีน้อยนิด แต่หากประกาศสงครามไปเช่นนี้จะส่งผลเสียกับแคว้นมาก เขายอมให้แคว้นเข้าสู่ไฟสงครามอีกครั้งได้อย่างไร?
ผลในตอนนี้คือเจ้าครองแคว้นและขุนนางเป่ยถังใจเดียวกัน ผลสำเร็จของหลายสิบปี บัดนี้เพราะเปิดศึกกลับทำลายไปสิ้น ผลงานการปกครองที่เขาดำรงตำแหน่งต้องถูกลบล้าง
“ฝ่าบาท ทรงฟังกระหม่อมหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” โสวฝู่ยื่นมือออกไปคำนับ นัยน์ตาแน่วแน่มองฮ่องเต้หมิงหยวน “กระหม่อมคิดว่า เวลานี้ทำศึก เป็นการรับศึกหาใช่ประกาศสงครามไม่ ที่จริงสิทธิ์ในการประกาศสงครามล้วนอยู่กับเป่ยโม่ เป่ยโม่ยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเราก็อดทนเสมอมา ไม่ว่าขุนนางก็ดี ประชาชนก็ดี ต่างยอมให้คนเป่ยโม่ อ่อนข้อให้ กำลังแว่นแคว้นมักเห็นได้จากท่าทางของประชาชน เหตุใดเป่ยโม่จึงทำให้คนหวั่นกลัวได้เช่นนี้ หรือเพราะทหารม้าพวกเขาไร้เทียมทานจริงหรือ? ไม่ แต่เป็นเพราะพวกเขาทุ่มเททุกอย่าง ความกล้าที่ไม่นึกถึงสิ่งใด การถอยของพวกเรายิ่งทำให้พวกเขาเหิมเกริม จะถอยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หากทรงยอมให้อีก ทหารม้าของเป่ยโม่ก็จะเหยียบทั่วแผ่นดินเป่ยถังเราแล้ว ไยฝาบาทต้องกลัวพ่ะย่ะค่ะ? พวกกระหม่อมยังมีแรงมีกำลัง ยินดีสู้กับเป่ยโม่ แบ่งเบาความทุกข์ของฝ่าบาทและเป่ยถัง”
ประตูด้านนอกตำหนักฉินคุนปิดสนิท เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนเข้ามาแล้วก็อยู่ถึงหนึ่งชั่วยามเต็มๆ จึงจากไป ด้านนอกห้องพระอักษรมีขุนนางรออยู่นานแล้ว กว่าฮ่องเต้หมิงหยวนจะกลับมา พระองค์กลับยกเลิกเจี้ยวฉี่ (*รูปแบบชั้นสูงที่ฮ่องเต้เรียกขุนนางทั้งหลายมารับราชโองการ รอการซักถาม รับการเข้าเฝ้าเป็นต้น) ทุกคนเข้าห้องพระอักษรหารือเรื่องใหญ่
เดิมหยู่เหวินเห้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมไท่ซ่างหวงให้ล้มเลิก แต่สุดท้ายก็ถูกเรียกเข้าห้องพระอักษร หารือเรื่องเปิดศึกด้วย
ยังคงถูกขุนนางคัดค้านเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้หมิงหยวนตัดสินใจเด็ดขาด ปัดความคิดเห็นคนอื่น ยืนฝั่งเดียวกับหยู่เหวินเห้า ท่ามกลางผู้คนที่คัดค้าน แม้มีคนที่ยังไม่ยอม แต่กลองรบก็ดังขึ้นแล้ว
เรียกกองทัพเป่ยหยิงกลับมารวมพลโดยด่วน รับศึกเป่ยโม่ ถึงแอบโยกย้ายทหาร ไม่ได้ทำการเอิกเกริก แต่คนที่รู้ข่าวก็ยังมีอยู่มาก เป่ยโม่รุกรานชายแดนหลายปี อดทนล่นลี้มาตลอด วันนี้ในที่สุดก็เปิดศึก ชาวบ้านจึงคึกคักฮึกเหิมกับเรื่องนี้
เซียวเหยากงนำทัพ ไท่ซ่างหวงกับโสวฝู่ฉู่เป็นผู้ควบคุมกองทัพ ราชโองการถ่ายทอดลงมา สั่งอ๋องเว่ยนำกำลังพลมารวมกับพวกเขาโดยไว อีกโองการหนึ่งก็ใช้ม้าเร็วส่งถึงจวนเจียงเป่ย ใช้อ๋องอาน สั่งให้เขารับราชโองการแล้วรีบกลับกองทัพ
จูกั๋วกงจูหรุเผย (ข้างหน้าเขียนผิดเป็นฟางกั๋วกงหลายครั้ง ตรงนี้เปลี่ยนให้ถูกต้อง) ก็ถึงกับขอราชโองการออกศึกด้วย และฮ่องเต้หมิงหยวนก็ทรงอนุญาต
เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้หมิงหยวนใช้อ๋องหวย แต่งตั้งให้เขาเป็นขุนนา รับรองการส่งมอบให้ไม่ขาดสาย
แม้หยู่เหวินเห้าได้เปิดศึกสมปรารถนาแล้ว แต่เข้าก็นำทัพไม่ได้ และตามกองทัพไปไม่ได้ด้วย เมื่อมีประกาศเงินรางวัลอยู่ หากเขาออกศึก เป่ยถังก็จะมีภัย ถึงตอนนั้นยอดฝีมือทั่วสารทิศก็จะอยู่ในกลุ่มทหารเด็ดศีรษะเขา เพื่อปกป้องชีวิตเขา ยังไม่ทันได้ถึงชายแดน ก็ต้องเสียทหารไปกว่าครึ่ง ดังนั้นแม้เขาอยากไป ก็จนปัญญา