บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1249 ส่งทัพ
เขาอดหงอยเหงาเป็นไม่ได้ ศึกนี้สำคัญนัก แต่เขากลับไม่อาจเข้าสนามรบ กู้ซือเตือนเขา บอกว่าตอนนี้พระชายารัชทายาทตั้งครรภ์ เขาควรอยู่เมืองหลวง อีกทั้งเวลานี้กองทัพใหญ่ออกเดินทาง เมืองหลวงสำคัญมาก จำต้องอยู่เฝ้าระวัง
หยู่เหวินเห้าได้แต่ยอมรับ ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นห่วงสามใหญ่
วันนี้หยวนชิงหลิงเข้าวัง ตรวจสุขภาพของสามใหญ่
ก็ไม่รู้เพราะจะทำสงครามประเดี๋ยวนี้แล้วหรือไร หัวใจของไท่ซ่างหวงที่แต่เดิมอ่อนแอเสื่อมถอย ตอนนี้กลับเต้นได้หนักแน่นมีกำลังนัก แม้แต่การไอก็ไม่มี ราวกับถ่ายโลหิตทั้งตัว เขาบอกกับหยวนชิงหลิง ว่าก่อนหน้านี้ไม่มีจิตใจฮึกเหิม ตอนนี้ร่างโทรมนี้ยังมีประโยชน์ ก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้ว
พลังแห่งจิตเป็นสิ่งที่ทำให้คนสับสน สามารถทำให้คนแก่ที่อายุเกินหกสิบตบหน้าอบบอกว่าตัวเองยังหนุ่มได้ และยังเอาชนะการศึกครั้งนี้ได้ด้วย
ในบรรดาทั้งสามคน ร่างกายเซียวเหยากงดีที่สุด แทบไม่มีปัญหาอะไรเลย สีหน้าเลือดฝาด กำลังน่าตะลึง
โสวฝู่แย่หน่อย หลอดลมไม่ค่อยดี กอปรกับเขาเป็นโสวฝู่ในตอนที่ฮ่องเต้หมิงหยวนขึ้นครองราชย์ หลายปีมานี้ทุ่มเทกายใจ ใช้ความคิดมาก ทำสุขภาพเสียไปนานแล้ว ดีที่ปีนี้ถอนตัวรักษาสุขภาพจึงค่อยๆ ดีขึ้น
หยวนชิงหลิงจัดยาให้พวกเขาจำนวนหนึ่ง มียาแก้ไข้ ฆ่าเชื้อโรค ของทำความสะอาดแผลภายนอก รักษาหวัด หัวใจ หลอดลม แล้วยังจัดยาพ่นแก้หอบอีกหลายหลอด
ไท่ซ่างหวงรังเกียจนัก “คนอื่นไปออกรบเอาอาวุธไป ทำไมพวกเราออกรบต้องเอายาไปด้วย? ไม่เป็นมงคลเลย ไม่เอา ไม่เอาไป!”
เป็นครั้งแรกที่หยวนชิงหลิงหน้าเข้มพูดเสียงกร้าว “ต้องเอาไปเพคะ ห้ามต่อรอง!”
ไท่ซ่างหวงมองนาง “เจ้าดุเช่นนี้เชียว!”
“ไม่เอาไปหม่อมฉันไม่วางใจเพคะ!” หยวนชิงหลิงเอายาห่อไว้ในห่อสัมภาระ มัดแน่นหนา แล้วเงยหน้ามองไท่ซ่างหวงอีก “ต้องเอาไปเพคะ วันที่ออกเดินทาง หม่อมฉันกับเจ้าห้าจะตรวจสอบ”
“เอาไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเหยากงเอ่ย
เมื่อนั้นไท่ซ่างหวงจึงไม่ค้านอีก แต่เอายาไปมากมายขนาดนี้ อย่างไรก็บั่นทอนความน่าเกรงขามของเขา ดังนั้นเขาจึงให้แม่นมสี่ห่อยาใหม่ ห่อหลายๆ ชั้น คนอื่นจะได้ไม่เห็น
หลายวันมานี้แม่นมสี่ยุ่งเป็นพิเศษ จัดอันนั้น จัดอันนี้ ไม่ได้พักทั้งกลางวันกลางคืน นางกับซิ่วเหนียง (*หญิงที่เก่งงานเย็บปัก)ในวังทำรองเท้าหลายคู่ รองเท้าที่นางทำเส้นด้ายการเย็บถี่ยิบ พื้นรองเท้านุ่ม โสวฝู่ฉู่ลองสวมแล้วก็เอ่ยชมใหญ่ บอกว่ารองเท้ารบคู่นี้ต้องนำชัยชนะมาให้เขาแน่
แม่นมสี่ยิ้มแล้วก็ตาแดง มองอย่างเหม่อลอย มักรู้สึกว่าเขายังเป็นชายหนุ่มในตอนนั้น แต่พอคืนสติ ที่แท้ทั้งสามในตำหนักก็ถูกน้ำค้างแข็งย้อมขอบจอนขาวแล้ว
แต่รอยยิ้มของพวกเขายังบริสุทธิ์อย่างนั้น
หยวนชิงหลิงเก็บของให้ไท่ซ่างหวง ตรวจสอบทุกอย่างที่เขาต้องนำไป แล้วแอบเอากระเป๋ายาสูบใส่ให้เขาด้วย สูบกระเป๋ายานั้นไม่ดี แต่หวังว่าในยามศึกเคร่งเครียด กระเป๋ายานี้จะทำให้เขาผ่อนคลายได้บ้าง
วันนี้เด็กๆ ก็ไม่ได้เรียน โสวฝู่บอกพวกเขาว่าพวกเขาทั้งสามได้เรียนรู้ทุกเรื่องที่เขาสอนแล้ว เป่ยถังไม่เคยมีคนฉลาดเช่นนี้มาก่อน ต่อไปพวกเขาต้องเป็นเจ้าผู้ทรงปรีชาและกำลังของเป่ยถังแน่
หยวนชิงหลิงมองเด็กๆ ที่ห้อมล้อมรอบไท่ซ่างหวง ยิ้มบาง ถูกต้อง พวกเขาต้องเป็นแน่ ต้องเหมือนกันบรรพบุรุษรุ่นพ่อของพวกเขา ปกป้องแผ่นดินเป่ยถัง
“เสด็จทวดพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะถวายหมาป่าหิมะให้พระองค์ พระองค์เอามันไปออกรบด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ ไว้หม่อมฉันโตแล้ว หม่อมฉันต้องสวมชุดเกราะออกรบเหมือนเสด็จทวด!” ซาลาเปาแหงนมองไท่ซ่างหวง ทำหน้านับถือเอ่ย
เซียวเหยากงหัวเราะพลางเอ่ย “เราไม่ขาดหมาป่าหิมะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเยอะแยะ”
ไท่ซ่างหวงยื่นมือลูบใบหน้าของซาลาเปา “เด็กดี ไว้เจ้าโตแล้ว ทวดก็ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบได้เสียที”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ซาลาเปากอดไท่ซ่างหวง “เช่นนั้นเสด็จทวดต้องเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ทังหยวนกับข้าวเหนียวก็เข้าไปกอดด้วย “เสด็จปู่พ่ะย่ะค่ะ ทรงตีคนชั่วตายให้หมดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ แล้วก็เสด็จกลับมาไวๆ”
“ได้ ได้!” ดวงตาไท่ซ่างหวงเผยความเมตตา กับพวกเด็กๆ เขามักวางมาดเป็นไท่ซ่างหวงไม่ได้
คืนก่อนออกรบ ลูกหลานราชวงศ์รวมตัวกินอาหารในวังด้วยกัน
ที่จริงภาพในเหตุการณ์นี้เพียงพอที่จะให้ทุกคนรู้สึกละอายใจ เพราะศีรษะไท่ซ่างหวงขาวโพลนหมดแล้ว แต่กลับต้องไปออกรบ
อ๋องชินลุ่ยก็ขอราชโองการตามไปออกรบด้วย ฮ่องเต้หมิงหยวนอนุญาตแล้ว
หยู่เหวินเห้าไม่ค่อยพูดทั้งคืน เพียงแต่ดื่มสุราเงียบๆ แทบไม่กินกับข้าว อ๋องซุนก็เช่นกัน เขาอยากช่วย แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองสามารถช่วยอะไรได้บ้าง รู้แต่ว่าเป็นวิกฤตหนักของเป่ยถังและตระกูลหยู่ เขาได้แต่กอดอกยืนอยู่ด้านข้างราวกับคนนอก อดคิดไม่ได้ว่าหลายปีมานี้เอาแต่สนใจความปลอดภัย แต่กลับลืมแบ่งเบาความทุกข์ของแคว้น
อ๋องหวยได้รับภารกิจ ชื่อบานมาก ดื่มสะใจไปหลายจอก ใบหน้าขาวสะอาดมีเลือดฝาด ดวงตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความมั่นใจ จากคนที่ใกล้ตายผ่านมาถึงทุกวันนี้ เมื่อคิดย้อนกลับไปก็ช่างน่าถอนใจนัก
วันออกเดินทาง สามใหญ่กับจูกั๋วกงสวมชุดเกราะ นั่งอยู่บนหลังม้า มองธงเป่ยถังที่โบกสะบัด มองความเกรียงไกรเป็นระเบียบของนักรบของสามเหล่าทัพ ภายใต้ดวงตะวัน ทอประกายไปทั่ว
แล้วเห็นฝุ่นคลุ้งที่อยู่ด้านหน้า ราวกับฟ้าดินสะเทือน เมื่อมองให้ชัด ก็เห็นสองสามีภรรยาอ๋องชินอันเฟิงนำองครักษ์เงาดำ องครักษ์ฟ้าผ่า และองครักษ์ลับผีเฆี่ยนม้าเข้ามา ที่อยู่ด้านหน้าเป็นเสือขนทองตัวหนึ่ง ขณะที่มันตะกุยมา ก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าคำราม เสียงคำรามประหนึ่งสะเทือนถึงสวรรค์ชั้นเก้า
ด้านหลังพวกเขามีหมาป่าหิมะวิ่งกรูมาฝูงหนึ่ง ท่ามกลางฝุ่นละออง ก็มิอาจบดบังร่างกำยำขาวหิมะของพวกเขาได้ ขนกระเพื่อมภายใต้แสงตะวัน ดั่งคลื่นมิปาน องอาจไม่อาจหยุดรั้ง!
สองสามีภรรยาอ๋องชินอันเฟิงสวมชุดผ้าแพรดำขลิบทอง ดาบกระบี่อยู่กับตัว ควบม้ามาถึง ใบหน้าคมสันสุขุม ให้ผู้คนที่พบเห็นต้องรู้สึกนับถือ
องครักษ์ทั้งสามอยู่ด้านหลัง เสื้อผ้าปลัดปลิว ไม่ได้สามชุดเกราะ แต่ท่วงท่าราวกับอาวุธฟันแทงไม่เข้า
ทุกคนมองกัน ไท่ซ่างหวงเสียดขึ้นจมูก เขาเป็นคนทำตามคำพูดเสมอ ครั้นสละตำแหน่ง เขาเคยกล่าวไว้ หากวันใดเป่ยถังมีภัย ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ ต้องต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาแน่นอน
เขาพูดได้ทำได้!
เหล่าทหารจำพวกเขาได้ โห่ร้องเกริกก้องทันที ทั้งประตูเมือง เสียงร้องอึกทึกถึงสวรรค์ “ไท่ซ่างหวง อ๋องชินอันเฟิง…”
ไท่ซ่างหวงควบม้ามาอยู่ข้างตัวอ๋องชินอันเฟิง มองเขาพลางยื่นมือออกไปช้าๆ “พี่เหว่ย!”
โสวฝู่ฉู่ เซียวเหยากงก็ควบม้าขึ้นหน้ามาด้วย ทั้งสี่จับมือกัน มองตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็มองทางพระชายาอ๋องชินอันเฟิง พระชายาอ๋องชินอันเฟิงชะงัก แต่แล้วก็ควบม้ามา ยื่นมือจับกับพวกเขา เสือขนทองกระโจน อุ้มเท้าทั้งสองลงจากกลางอากาศ แตะอยู่บนมือทั้งห้า ภายใต้ดวงอาทิตย์ ทั้งห้ายิ้มบางให้กัน
หยวนชิงหลิง อะซี่ และแม่นมสี่ยืนอยู่บนภัตตาคารนอกเมือง เห็นภาพนี้อยู่ไกลๆ นางรู้สึกประทับใจ เศร้าใจและฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก แทบหลั่งน้ำตา แต่นางพยายามกลั้นไว้ หวังแต่พวกเขาจะคว้าชัยโดยเร็วเหมือนครั้นยังหนุ่ม!
ฮ่องเต้หมิงหยวนและรัชทายาทหยู่เหวินเห้านำขุนนางทั้งหลายส่งที่ประตูเมือง เหล้าจั่วจิ่ว(*สุราหมักจากข้าวเหนียวและไม่ได้กรอง)หนึ่งชาม อวยพรให้พวกเขาคว้าชัย