บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1250 บันทึกที่ส่งมา
กองทัพใหญ่ออกเดินทาง เอิกเกริกเกรียงไกร ธงรบตลอดแนวเส้นทาง ฝุ่นธุลีคละคลุ้ง บนถนนหลวงหลังจากเสียงอึกทึกครึกโครมผ่านไปแล้วก็ค่อยๆ สงบลง
หยู่เหวินเห้ากับฮ่องเต้หมิงหยวนยังยืนอยู่บนหอประตูเมือง นำขุนนางทั้งหลาย หน้าตาเคร่งขรึม โดยเฉพาะหยู่เหวินเห้า ในดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
เขาทรมานจริงๆ ความทรมานนี้ราวกับมีไฟสุมอยู่ในอก แผดเผาหัวใจเขาตลอดเวลา รุ่มร้อน เจ็บปวด กระวนกระวาย ละอายใจ รู้สึกผิด อารมณ์สารพัดที่ยากจะเอ่ยคละเคล้าอยู่ด้วยกัน ทำให้ดวงตาเขาแดงเหมือนกับทะเลสาบแดงที่สะท้อนอยู่ใต้พระอาทิตย์
ฮ่องเต้หมิงหยวนก็ยากจะปกปิดความหนักอึ้งเช่นกัน ฐานะของเขายิ่งทำให้เก้อเขินไปใหญ่ หากบอกว่าเสริมความฮึกเหิมให้ทหารกล้า เช่นนั้นเขาในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ นำทัพเองก็สามารถสร้างขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารได้ ตอนที่ได้ฟังสามใหญ่กล่าวอยู่ในตำหนักฉินคุน เขาเคยมีใจคะนอง เกือบหลุดปากออกมาว่าจะนำทัพไปเอง เสียแต่สติเอาชนะใจคะนอง เขาไม่ได้เอ่ยคำนั้นออกมา
ที่จริงหากเอ่ยออกมา ก็ไม่มีคนในราชสำนักเห็นด้วย แต่เขาไม่ได้เอ่ยออก ความใจเย็นและสติของเขาช่างน่ากลัวเล็กน้อย
ช่วงที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ จิตใจแกล้วกล้า ทว่าบัดนี้กลับไม่กล้ารุดหน้า จะถอยหลังก็กลัว นาทีนี้เขาเผชิญหน้ากับความขลาดในใจตัวเอง ถึงรู้ว่าที่จริงหลายปีมานี้ถ้าเทียบกับสมัยไท่ซ่างหวง ช่วงที่ตนเป็นฮ่องเต้ก็ง่ายดายกว่ามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในหรือภัยจากภายนอก มักมีคนช่วยเขาขจัดทุกข์เสมอ และในเวลาที่เขาดำรงตำแหน่ง วิกฤตใหญ่ที่สุดที่เผชิญและเป็นเรื่องที่ทำให้ขุ่นเคืองใจที่สุดก็คือการชิงตำแหน่งรัชทายาทระหว่างโอรส
ในช่วงการแย่งชิงนั้น เขาสูญเสียโอรสไปหนึ่งคน เจ้าสามเจ้าสี่ต้องออกจากเมืองหลวง เขาปวดใจเหลือแสน ภายหลังคำพูดหนึ่งของไท่ซ่างหวงเตือนสติเขาขึ้นมา นี่เป็นผลลัพธ์จากการที่เขาไม่เด็ดขาด
ตอนแรกอย่างไรเขาก็ไม่ยอมเปิดศึก บางทีอาจเป็นเพราะเขาขลาด แต่เมื่อมองประชาชนด้านล่างเหล่านั้น คนที่สงครามทำร้ายก่อนก็คือพวกเขา ส่วนตัวเขาในฐานะที่เป็นผู้ครองแคว้น นอกเสียจากแผ่นดินล่มสลาย มิเช่นนี้ก็มีคนปกป้องอยู่เบื้องหน้าเขาเสมอ
เขาพยายามค้นหาความเป็นไปได้อื่น การเจรจาอาจมิใช่วิธีที่ดีแต่เขาก็อยากลอง
แต่เขาก็ลืมไป การยอมถอยให้เช่นนี้จะทำให้แผ่นดินที่บรรพบุรุษหลั่งเลือดได้มาถูกคนเป่ยโม่กลืนกินไปจริงๆ เขาจะเป็นคนบาปในประวัติศาสตร์ เวลานี้เมื่อเห็นกองทัพไปไกลแล้ว ในใจเขามีบางอย่างที่ราวกับถูกปลุกให้ตื่น นั่นก็คือศักดิ์ศรีแห่งผู้ครองแคว้น ในฐานะที่เป็นศักดิ์ศรีของคนเป่ยถัง ศักดิ์ศรีนี้ทำให้เขารู้สึกยอมตายเสียดีกว่าจะให้คนเป่ยโม่กลืนกินไปง่ายๆ
เขาเอียงศีรษะมองหยู่เหวินเห้า เขาเอามือไพล่หลัง เหยียดตัวตรง เสื้อคลุมพัดปลิวราวกับภูผาตระหง่าน ช่างให้รู้สึกอุ่นใจนัก
บางทีเรื่องที่เขาทำได้ถูกที่สุดก็คือแต่งตั้งให้เขาเป็นรัชทายาท
แต่ใครจะรู้ว่าการแต่งตั้งเขาในตอนนี้ก็เป็นเรื่องบีบบังคับ มิได้สมัครใจ
เขาอุ่นใจมาก เอ่ยกับหยู่เหวินเห้า “นับแต่นี้ไป เจ้าอยากทำอะไรก็ทำไปเลย ข้าจะสนับสนุนเจ้า”
เช่นเดียวกับหลายปีนี้ที่ไท่ซ่างหวงสนับสนุนเขาตลอด ปล่อยมือให้เขาปฏิวัติได้เฉียบขาด
ดวงตาหยู่เหวินเห้าซับซ้อน แทบจะน้ำตาร่วง “เสด็จพ่อ หม่อมฉันไร้ความสามารถพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนนิ่ง คำพูดนี้ควรเป็นเขาพูดกับไท่ซ่างหวง
ณ ภัตตาคารใกล้กับหอประตูเมืองแห่งหนึ่ง แม่นมสี่กับหยวนชิงหลิงก็มองกองทัพจากไปไกลแล้วเหมือนกัน แม้จะไม่เห็นแล้ว แต่สายตาทุกคนก็ยังไม่ถอนกลับมา แม่นมสี่ตาแดง กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลพราก
น้ำตาไม่จำเป็นต่อการออกศึก
หยวนชิงหลิงกุมมือแม่นมสี่ เอ่ยเสียงเบา “ไม่นานพวกเขาก็กลับมาแล้ว”
แม่นมสี่มือสั่นระริก แต่กลับยิ้มเอ่ย “เพคะ ข้าน้อยเชื่อ”
ชาวบ้านในภัตตาคารต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสงครามนี้ คนจำนวนมากหยิบเรื่องสมัยก่อนมาพูด พวกไท่ซ่างหวงกับอ๋องชินอังเฟิงในตอนนั้นเก่งกาจ ทำให้คนเป่ยโม่ได้ยินเป็นต้องหวาดกลัวอย่างไร ครั้งนี้พวกเขาสวมชุดเกราะออกศึกอีกครั้ง ต้องทำให้เป่ยโม่ล่นถอยหนัก คืนความสงบให้ชายแดนได้แน่
เรื่องในตอนนี้ คนที่อยู่ในที่นี้ต่างไม่ได้ประสบมา ยุคสมัยนั้นผ่านพ้นไปแล้วพวกเขาถึงเกิด แต่บางเรื่องก็ยังพูดต่อกันปากต่อปากทั่วไป แต่งแต้มดัดแปลง แต่ความรุ่งโรจน์ในตอนนี้เคยมีอยู่ กระดูกสันหลังของคนเป่ยถังเคยหยัดตรง มองทั่วหล้าด้วยความทะนง
ฮ่องเต้หมิงหยวนและเหล่าขุนนางกลับกันหมดแล้ว แต่หยู่เหวินเห้ายังไม่กลับ ยังคงยืนอยู่บนหอประตูเมือง มองไปทางไกลโพ้น
กู้ซือนำทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งอยู่ละแวกนั้น สำนักเหลิ่งหลังก็มีคนจำนวนมากซุ่มอยู่รอบด้าน ป้องกันการปรากฏตัวของนักฆ่า
หยวนชิงหลิงขึ้นหอประตูเมือง ยืนอยู่ข้างหยู่เหวินเห้า ค่อยๆ กุมมือเขา “เรากลับเถอะ”
“ข้าอยากยืนอยู่สักพัก” หยู่เหวินเห้าเอ่ยเสียงเบา
“อันตราย” หยวนชิงหลิงเตือน
หยู่เหวินเห้ามองรอบๆ ทีหนึ่ง เอ่ย “ทหารรักษาพระองค์ตรึงกำลัง แล้วยังมีคนสำนักเหลิ่งหลังอีก นักฆ่าไม่เลือกลงมือเวลานี้หรอก”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าเล็กน้อย “งั้นข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าสักพัก”
เขาหันไปมองนาง ยื่นมือกอดนางเข้าอก อดเสียดขึ้นจมูกเป็นไม่ได้ “เจ้าหยวน หัวใจข้าทรมานเหลือเกิน”
หยวนชิงหลิงปลอบเขา “ข้ารู้ ครั้งนี้เจ้าไปไม่ได้จริงๆ แต่นั่นไม่ได้หมายถึงเจ้าจะทำอะไรไม่ได้เลย พวกเจ้าต้องเร่งศึกษาผลิตอาวุธ รอให้ถอนประกาศเงินรางวัล เจ้าก็นำกองหนุนกับอาวุธรุดหน้าไปสนามรบรวมตัวกับพวกเขาได้แล้ว”
ตามการวิเคราะห์ของท่านชายสี่ เมื่อไฟสงครามปะทุขึ้น คนเป่ยโม่ย่อมไม่อยากเสียงทองหนึ่งล้านเอาศีรษะเจ้าห้าอีก
ที่เขาใช้ทองจำนวนนี้ก็เพื่อสร้างโอกาสเข้าเป่ยถังในช่วงโกลาหล ยึดเป่ยถังอย่างเฉียบพลัน แต่ตอนนี้แม่ทัพเก่าออกโรง กำหนดชัดว่าสงครามนี้ย่อมไม่อาจจบลงอย่างรวดเร็วได้ ดังนั้นเพื่อให้ดำเนินต่อไปได้ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องถอนประกาศเงินรางวัล
หยู่เหวินเห้าเงียบ แต่เสียงลมหายใจสะอื้นดังขึ้นที่ใบหูหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงก็อดตาแดงด้วยไม่ได้เหมือนกัน แต่นางฝืนใจกลั้นไว้ พยายามไม่ให้น้ำตาร่วงรินสักหยด
หลายปีมานี้นางเห็นไท่ซ่างหวงเป็นครอบครัวของตัวเองนานแล้ว รักเขา เอาใจเขา เคารพเขา เวลานี้ต้องมองเขาออกรบในช่วงบั้นท้ายชีวิต ใจนางทรมานยิ่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าหยู่เหวินเห้าเลย
พวกเขายืนอยู่บนหอประตูเมืองครึ่งชั่วโมงก่อนจะจูงมือกันจากไป ตามการคุ้มกันของทหารรักษาพระองค์ ตั้งแต่หยู่เหวินเห้าขึ้นเป็นรัชทายาทก็ไม่เคยมีฉากเอิกเกริกเช่นนี้มาก่อน นี่ทำให้เขาอึดอัดใจมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อกลับถึงจวนทังหยางก็บอกว่ามีคนรออยู่ที่ห้องโถงหลักนานแล้ว บอกว่าเป็นคนที่อ๋องชินอันเฟิงส่งมา
หยู่เหวินเห้าชะงัก สาวเท้ารีบเข้าไป
ชายชราอายุประมาณหกเจ็ดสิบกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงหลัก สวมชุดผ้าแพรสีดำทั้งตัว เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้ากลับมา เขาก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ “ถวายพระพรองค์รัชทายาท!”
“รีบทำตัวตามสบายเถอะ!” หยู่เหวินเห้ามองเขา แล้วทำความเคารพกลับ “ไม่ทราบท่านคือ?”
ชายชรายิ้มบาง “กระหม่อมลืมชื่อของตัวเองไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้ที่มาก็เพราะท่านอ๋องชินอันเฟิงให้กระหม่อมส่งมอบบันทึกพ่ะย่ะค่ะ”
ว่าแล้วเขาก็ล้วงบันทึกเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้หยู่เหวินเห้า “องค์รัชทายาทรักษาให้ดีด้วย เสร็จกิจแล้วกระหม่อมจะได้กลับ!”
หยู่เหวินเห้ารับมาเปิดหน้าแรก ดวงตาเป็นประกายทันที รีบปิดแล้วเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามาก!”
“มิต้องเกรงใจพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา!” เมื่อชายชรากล่าวจบก็ทำความเคารพแล้วสาวเท้ายาวจากไป
“โปรดรอก่อน!” หยู่เหวินเห้ารีบตะโกน
ทว่าชายชราราวกับไม่ได้ยิน เดินตรงออกจวนอ๋องไป