บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1259 ฝันถึงอีกครั้งแล้ว
นางคิดแล้วคิดอีก กล่าวว่า “ไม่สามารถพูดเช่นนี้ได้ พูดได้เพียง สำหรับเรื่องที่ไม่รู้พวกเราต้องดำรงจิตใจอันเคารพยำเกรงไว้”
นางมองดูพวกเด็กๆ กล่าวอย่างตั้งใจ “ตอนนี้ดูเหมือนว่า พรสวรรค์ของพวกเจ้ามีความมหัศจรรย์ เป็นคนที่มีความสามารถมาก แต่แม่จะบอกพวกเจ้าว่า จะต้องยิ่งมีจิตใจที่เคารพยำเกรง ต่อสรรพสิ่ง ต่อประชาชนก็ล้วนเหมือนกัน”
เคารพยำเกรง เด็กทั้งห้าไตร่ตรองสองคํานี้อย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ทยอยกันพยักหน้า “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
หยวนชิงหลิงลูบท้อง กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “แม้ว่าเจ้าจะยังไม่เกิด และแม้จะไม่รู้ว่าเป็นไหลฝูหรือว่าน้องหก แต่แม่ก็หวังว่าอนาคตเจ้าก็จะเข้าใจ”
ในท้อง เคลื่อนไหวแล้วเคลื่อนไหวอีก นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกในท้องขยับตัวค่อนข้างรุนแรงหน่อย ราวกับว่าหยวนชิงหลิงจะสัมผัสได้ถึงลูกที่อยู่ในท้องใช้มือสองข้างค้ำที่หน้าท้อง จากนั้นก็สัมผัสกับมือของนาง
เรื่องที่นักฆ่าเข้าจวน หยวนชิงหลิงไม่ได้ให้ทังหยางแจ้งให้หยู่เหวินเห้ารู้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้กลับมาด้วยความร้อนใจ แล้วพบกับนักฆ่าระหว่างทางอีก
ขณะที่นอนลงตอนกลางคืน นางนอนไม่หลับพลิกกลับไปกลับมา ในสมองมักจะคิดถึงเรื่องที่พวกลูกๆรักษาตัวเองได้เสมอ นี่จะต้องมีอะไรเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นแน่ เลือดที่แข็งตัวอย่างรวดเร็ว อย่างแรกคือปัจจัยการแข็งตัวของเลือดแข็งแกร่งขึ้น จากนั้นก็ฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้พวกเด็กๆไม่มีความสามารถนี้ ทำไมถึงได้เกิดการกลายพันธุ์ไปอย่างฉับพลัน?
ความสามารถของพวกเด็กๆ ล้วนมาจากยาที่นางฉีดเข้าไปหรือไม่? จุดนี้ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยวิเคราะห์ ตัวนางเองนอกจากเข้าใจภาษาสัตว์ ความสามารถในการฟังดีขึ้นเล็กน้อย สามารถควบคุมกล่องยาได้ ก็ไม่มีความสามารถอื่นแล้ว แต่พวกเด็กๆกลับสามารถเหาะเหินเดินอากาศล่องหนในพื้นดิน ใช้ความคิดหยิบวัตถุผ่านมิติ กระทั่ง เจ้าแฝดยังสามารถใช้พลังความคิดควบคุมทุกอย่างในระยะไกลได้
เป็นไปได้ไหมว่ากรรมพันธุ์ก็สามารถควบคุมผ่านพลังความคิดได้? หรือจะพูดว่าพลังความคิดบางประเภทควบคุมยีนแต่นางไม่รู้ตัว? เช่นร่างกายของตัวนางเองเกิดการกลายพันธุ์ การกลายพันธุ์ประเภทนี้ใช้สื่อกลางอะไรถ่ายทอดไปถึงบนตัวของพวกเด็กๆ…….
เมื่อนางคิดเช่นนี้ ก็ตําหนิตัวเองว่าไร้สาระเป็นที่สุดทันที
คิดไปคิดมา ก็ยังคงไม่มีคําอธิบายที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล ท้ายที่สุดก็ง่วงเป็นที่สุดแล้วหลับไป
ในความสะลึมสะลือ ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ราวกับว่าวีแชทกําลังล็อกอินในคอมพิวเตอร์ เสียงข้อความเข้ามา นางลืมตาขึ้นทันที แสงจ้าส่องเข้าในตา นางรีบปิดตาด้วยจิตใต้สำนึก รอจนตาปรับตัวได้สักครู่ จึงค่อยๆลืมตาขึ้น
สถานที่ที่คุ้นเคย แสงอาทิตย์บนฝ้าเพดานสาดส่องออกมาเป็นเงาร่างเงาหนึ่งบนกำแพง นางมองไปรอบๆ เป็นห้องทดลองของสถาบันวิจัย
หน้าจอของคอมพิวเตอร์กะพริบ นางเดินเข้าไปช้า มองดูข้อความวีแชทที่เด้งขึ้น เป็นข้อความของกลุ่มครอบครัว
แต่ข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นของเก่า นางเคยดูมาก่อน
นางฝันถึงห้องทดลองอีกแล้ว!
นานมากแล้วที่ไม่เคยได้กลับมา ครั้งนี้น่าจะเป็นเพราะสมองคิดมาก จึงได้เข้ามาสู่ความฝัน
นางนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เปิดคอมพิวเตอร์ดูสถิติการศึกษาค้นคว้าของตัวเองช้าๆ ที่ใหม่ที่สุดหยุดอยู่ที่การทดลองที่ร่างกายคน และก็คือก่อนหน้าที่ตัวนางเองจะวู่วามชั่วขณะฉีดยาให้ตัวเอง
ทำไมถึงฝันถึงอดีตอีกแล้ว?
หยวนชิงหลิงแยกไม่ออกว่าเป็นความจริงหรือเป็นความฝันชั่วขณะ เพียงรู้สึกว่าลวงตาเป็นอย่างมากเท่านั้น
นางเปิดเว็บไซต์วิชาการอันหนึ่งเงียบๆ ป้อนคําหลักเป็นการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมและการควบคุมของความคิด
การเปลี่ยนแปลงยีน ส่วนใหญ่มาพร้อมกับโรคและความผิดปกติ หยวนชิงหลิงค้นหาไปพลางก็รู้สึกใจหายใจคว่ำไปพลาง
ต่อจากนั้นกลับเป็นวิทยานิพนธ์เรื่องหนึ่งที่ทําให้นางตกใจ เพราะด้านบนได้เห็นชื่อที่คุ้นเคย
พูดอย่างจริงจัง นี่ไม่ใช่วิทยานิพนธ์เรื่องหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าทําไมถึงได้ตีพิมพ์ในเว็บไซต์วิทยานิพนธ์ทางวิชาการอันนี้
ในบทความบอกว่า มีหมอท่านหนึ่ง ระหว่างทางที่เธอออกตรวจคนไข้ ถูกงูตัวนึงกัดตาย แต่กลับเกิดเรื่องราวการข้ามมิติของวิญญาณ หลังจากที่วิญญาณข้ามมิติแล้ว หมอท่านนี้ก็ยังได้รับความสามารถมากมาย มีความเป็นไปได้ว่าเพราะพิษงูทำให้เกิดการกลายพันธุ์ แต่ว่า ผู้เขียนคนนี้ก็เสนอว่า ในเมื่อเป็นวิญญาณข้ามมิติ แล้วทําไมการกลายพันธุ์ได้เกิดขึ้นบนร่างกายที่อาศัยได้? ตามหลักแล้ว ร่างที่อาศัยไม่เคยถูกงูกัดมาก่อน จะกลายพันธุ์ ก็ต้องเกิดการกลายพันธุ์บนร่างกายที่เคยถูกงูกัด
และสำหรับการวิจัยของมนุษย์เกี่ยวกับพิษงู ก็ไม่ได้พบการเกิดการกลายพันธุ์
วิทยานิพนธ์นี้ เป็นเครื่องหมายคําถามอันหนึ่ง เครื่องหมายคําถามอันยิ่งใหญ่
และชื่อสกุลของหมอท่านนี้ ถูกพิมพ์ลงไปด้านบนโดยตรง ชื่อว่าหลินไห่ไห่ สําหรับคนที่เขียนบทความนี้ ชื่อว่าหลี่จวินเยว่ เป็นหมอที่ไม่มีพรมแดนท่านหนึ่ง
หลังจากหลินไห่ไห่ถูกงูกัดแล้วก็ข้ามไปมิติเวลาอื่น จากนั้นก็มีความสามารถมากมาย จุดนี้หยวนชิงหลิงรู้นิดหน่อย แต่ความสามารถของนางได้รับมาจากที่ไหนกันแน่? เป็นเพราะพิษงูก่อให้เกิดการกลายพันธุ์จริงๆหรือ?
แต่ว่า พิษงูสามารถทำให้คนคนหนึ่งตายได้ แต่ไม่สามารถทำให้คนผู้หนึ่งเกิดการกลายพันธุ์ได้นี่ อย่างน้อยปัจจุบันก็ยังไม่เคยค้นพบ นอกจากเคสนี้
จำนวนคนที่อ่านวิทยานิพนธ์เรื่องนี้น้อยมาก มีเพียงหร็อมแหร็มไม่กี่คน เพราะชื่อเรื่องค่อนข้างสะดุดตาคน ที่ใช้คือหมอท่านหนึ่งถูกงูกัดแล้วจากนั้นก็ข้ามมิติเวลา ในเว็บไซต์วิชาการที่เคร่งครัดละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้ นี่ก็คือความแปลกประหลาดที่ดำรงอยู่โดยแท้จริง จะไม่มีคนกดเข้าไปดู
แต่ด้านล่างมีข้อคิดเห็นอันหนึ่ง เขียนไว้ห้าคำ ไปเขียนเหลียวไจเถอะ!
ดังนั้น แม้แต่คนที่เคยดู ก็จะคิดว่าไร้สาระอย่างสุดๆ นี่ก็เป็นเรื่องราวเทพนิยายในโลกมนุษย์โดยแท้ และยังเป็นเรื่องราวเทพนิยายที่ค่อนข้างเสี่ยวอีกด้วย
ระหว่างที่ครุ่นคิดอย่างล้ำลึก ก็ตื่นมาแล้ว บนใบหน้ามีการสัมผัสที่นุ่มนวล นางลืมตาขึ้น เห็นเจ้าห้าที่เหนื่อยล้าและดวงตาที่ลึกล้ำ
“ทำไมถึงได้กลับมา?” นางมีความรู้สึกราวกับยังอยู่ในความฝันชนิดหนึ่ง แต่เจ้าห้าอยู่ เช่นนั้นก็คือความจริงเป็นแน่
“ในจวนมีนักฆ่ามา ขณะที่องครักษ์ลับผีกลับมาตรวจตราได้แจ้งให้ข้ารู้ ข้าถึงได้รู้ ขอโทษ ข้าไม่อยู่ข้างกายเจ้า” ในดวงตาของหยู่เหวินเห้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด
สองมือเกี่ยวไปบนคอของเขา เงยหน้าขึ้นจูบริมฝีปากของเขาเบาๆเล็กน้อย “นักฆ่าเหล่านั้น ไม่สามารถถูกเรียกว่านักฆ่าได้ พวกเขาเหมือนพวกที่เข้ามามอบศีรษะมากกว่า”
หยู่เหวินเห้าจึงหัวเราะแล้ว “ได้ฟังใต้เท้าทังบอกแล้ว คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าสัตว์พวกนี้จะมีความสามารถมากมายเพียงนี้ ทั้งยังสามารถต่อสู้เอาชนะยอดฝีมือสิบกว่าคนได้อีก แต่ว่า เจ้าเสือน้อยเก่งกาจมากจริงๆ ตอนนั้นขณะที่ช่วยข้า ข้าเห็นถึงความกล้าหาญอย่างไร้ที่เปรียบของพวกมัน”
หยวนชิงหลิงลุกขึ้นนั่ง เห็นบนแก้มของเขามีรอยเลือดเล็กๆรอยหนึ่ง เอื้อมมือไปเช็ดเล็กน้อย “บาดเจ็บหรือ?”
“ถูกปราณกระบี่กรีดเล็กน้อย ไม่เป็นไร!” เขานั่งบนเตียงโดยไม่ได้ถอดเสื้อผ้า เพ่งมองดวงตาของนาง “ตอนที่ข้าเพิ่งจะกลับมา เจ้ากำลังฝันร้ายอยู่ใช่หรือไม่?”
“ไม่……เป็นความฝัน แต่ไม่ใช่ฝันร้าย ฝันถึงเรื่องในอดีตเล็กน้อย” หยวนชิงหลิงเอาศีรษะพิงบนไหล่ของเขา นึกถึงเรื่องเทพนิยายเรื่องนั้นที่ได้เห็นในเว็บไซต์วิชาการ
“ทะเลสาบจิ้งทางนั้นศึกษาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” หยู่เหวินเห้ารู้ว่านางคิดถึงครอบครัวแล้ว จึงเอ่ยถาม
หยวนชิงหลิงกล่าว “ช่วงก่อนหน้านี้มีความคืบหน้านิดหน่อย นี่ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องหรือ ข้าก็หยุดลง แต่รู้กฎเกณฑ์แล้ว ก็ไม่ได้ยากเย็นเช่นก่อนหน้านั้นแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าจะต้องลงมือจากจุดไหน”
“อืม รอให้เรื่องจบแล้ว เจ้าศึกษาต่อ ข้าก็เฝ้ารอที่จะกลับไปกับเจ้าอีกรอบ พวกเรารับปากท่านพ่อไว้แล้ว ต้องจัดงานแต่งงาน”
เขาเคยดูรูปแต่งงานเหล่านั้น จินตนาการถึงยายหยวนสวมใส่ชุดแต่งงาน จะงดงามเพียงใดกันนะ ต้องเหมือนนางฟ้าเช่นนั้นแน่
ลูกก็หกคนแล้ว ยังคิดจะจัดงานแต่งงานอีก หยวนชิงหลิงก็หัวเราะแล้ว ทันทีที่หัวเราะนี้ ได้ขจัดความห่อเหี่ยวในจิตใจให้สลายไปเล็กน้อย
เรื่องหนึ่งที่หยู่เหวินเห้าชอบทำที่สุด ก็คือเอาหูฟังทางการแพทย์มาฟังเสียงหัวใจเต้นของลูก นี่เป็นวิธีการสื่อสารของเขากับลูก
ดังนั้น เขานอนลงมา สวมหูฟังทางการแพทย์ฟังเสียงหัวใจเต้นของทารกในครรภ์ตลอด ราวกับว่าวันเวลาได้สงบนิ่งลงมาอย่างฉับพลันแล้ว ไม่มีเสียงดังเอะอะและไฟสงครามอีก
แล้วทั้งสองก็ค่อยๆเข้าสู่ดินแดนความฝัน