บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1260 มาแล้ว
วันรุ่งขึ้น หยู่เหวินเห้าช่วยหยวนชิงหลิงฆ่าเชื้อที่บาดแผลรอบหนึ่ง ฟังขั้นตอนที่นางพูดรอบหนึ่ง ก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวแล้วหัวเราะนาง “เจ้าจะเทียบกับพวกเขาได้อย่างไรล่ะ? ไม่ได้เอาออกมาพร้อมกันจากในท้องแม่ ก่อนหน้านี้พวกเด็กๆก็ไม่มี ยังจำได้ว่าพวกเขาเล่นกับหมาป่าหิมะ เล่นจนหัวเข่าบวมช้ำ แต่ละคนก็แอบขึ้นมาแล้วไปทายาหรือไม่? ตอนนั้นก็ไม่เห็นว่าจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว”
“นำความสามารถมาจากในท้องแม่ แต่ข้าก็ไม่มี ท่านดูสิ พวกซาลาเปาเขาเหาะได้”
“อาจเป็นเพราะกรรมพันธุ์ของข้า ข้าก็เหาะได้”
หยวนชิงหลิงกรอกตาขาวใส่เขาแวบหนึ่ง “นั่นเรียกว่าวิชาตัวเบา เป็นความสามารถที่ท่านเองฝึกฝนมาได้ ท่านลองแข่งเหาะกับซาลาเปา ดูว่าใครจะเหาะชนะใคร?”
“อย่าประลองความสามารถกับลูกชายของตัวเองอย่างง่ายดาย พวกเราสู้ไม่ได้ เจ้าต้องเคยไม่ยอมรับว่า มีบางทีที่พวกเรายังสู้ไม่ได้แม้กระทั่งตอเป่า” หยู่เหวินเห้าหัวเราะแล้วกล่าว พูดจบก็เป่าไปทางฝ่ามือของนางด้วยความสงสาร เอ่ยถาม “ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”
“ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าประโยคนั้นของนางเขายังค่อนข้างทำร้ายคน แม้จะบอกว่าคนเป็นบิดามารดาจะเฝ้าหวังให้ลูกของตัวเองมีความสามารถ แต่ดีที่สุดความสามารถเหล่านี้ต้องเป็นที่ตัวเองฝึกฝนมาร่ำเรียนกลับมาได้ ตอนนี้ทั้งตัวมีความสามารถโดยไร้เหตุผล หากว่าควบคุมได้ถูกวิธีก็ยังดี ก็กลัวว่าจะหลงทางที่สุด เช่นนั้นก็เท่ากับการทําร้ายตัวเองจริงๆแล้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องตีตนไปก่อนไข้ ตอนนี้เด็กก็ยังควบคุมได้ดูแลได้ดี พอถึงวัยหนุ่มแล้ว ตอนนั้นเด็กๆก็จะเป็นเม่นตัวหนึ่ง มีความเห็นเป็นของตัวเอง พูดประโยคหนึ่งก็ไม่ได้
เฮ้อ นางช่างคิดไปยาวไกลจริงๆเชียว!
“ต่อไปก็อย่าทําตัวปล่อยไก่แล้ว!” หยู่เหวินเห้าหัวเราะพลางกล่าว จูบลงไปบนแก้มของนางทีหนึ่ง จากนั้นกุมใบหน้าของนางไว้ “ยายหยวน ข้าสังเกตว่าช่วงนี้สีผิวของเจ้าดีขึ้นมาก แดงระเรื่อเป็นอย่างมากเชียวล่ะ”
“จริงหรือ?” หยวนชิงหลิงเองกลับไม่ได้สังเกตเห็น เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จึงไปส่องกระจก พบว่าใบหน้าของตนเองเป็นสีแดงอมชมพูระเรื่อจริงๆ
“เหมือนเมฆเพลิงที่กำลังเผาไหม้เป็นกลุ่มก้อน!” หยู่เหวินเห้ายิ่งมองก็ยิ่งชอบ มองอย่างไรก็ไม่พอ “เมื่อก่อนสีผิวของเจ้าค่อนไปทางขาว ขาวใส ตอนนี้แดงอิ่มเอิบขึ้นมา เหมือนกับว่าจะยิ่งงดงามกว่าเล็กน้อย อีกทั้ง…..”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างจริงจังว่า “แทบจะเหมือนท่าทางของเจ้าในเดิมทีนั่นมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว”
“ใช่หรือ?” หยวนชิงหลิงตะลึงเล็กน้อย มองดูใบหน้าของตัวเองอย่างละเอียด นางมีความคล้ายกับร่างกายเดิมสองสามระดับ ใบหน้านี้ดูมาหลายปีแล้ว กระทั่งนางก็จำลักษณะในเดิมทีของตัวเองว่ายังไงไม่ได้
“ถูกต้อง เหมือนลักษณะของเจ้าในอดีตจริงๆ ไม่ใช่ที่นอนอยู่ในนั้น แต่เป็นรูปภาพนั่นของเจ้าที่ข้าดู”
หยวนชิงหลิงลูบใบหน้าของตัวเอง ใช่หรือ?
หลังจากค่ำคืนนี้ นักฆ่ามากมายหลายคนก็ล่าถอยไปเมื่อได้ยินข่าว กู้ซือสั่งให้คนคอยเฝ้าระวังอยู่ตลอด เพียงแค่วันนี้ก็มีนักฆ่าที่น่าสงสัยออกจากเมืองหลวงกว่าสามสิบคน แค่คิดก็รู้แล้วว่า ทองหนึ่งล้านชั่งนี้ ดึงดูดยอดฝีมือมากน้อยเพียงใด
นักฆ่ากระดูกมนุษย์หมาป่า ก็ถอยแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนไม่ได้หวาดกลัว แต่พวกเขาก็ค่อนข้างมีปัญญาสุขุม รู้ว่ามีโอกาสไม่มากนัก ก็ไม่ละโมบอีก พวกเขาดูเหมือนจะไม่เอาชีวิต แต่ในความเป็นจริงพวกเขาหวงแหนชีวิตของตัวเองมากกว่าใครๆ
ตอนนี้ รอเพียงการมาถึงของจอมมารกระบี่
เพียงแค่จัดการจอมมารกระบี่ได้แล้ว หยู่เหวินเห้าก็ไม่ต้องกังวลพะวงหลังอีก สามารถไปต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับไท่ซ่างหวงที่แนวหน้าได้แล้ว
เขาและท่านชายสี่ล้วนมีแผนการที่ค่อนข้างรอบคอบแล้ว เพราะว่ามีสมุดที่ศึกษาและทำการผลิตของอ๋องชินเฟิงอัน กลุ่มของท่านชายสี่สามารถศึกษาและทำการผลิตอาวุธได้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะส่งมอบไปทางชายแดนโดยสำนักเหลิ่งหลังและสำนักเหมยแดงรวมทั้งองครักษ์ลับผี และเขาจะมุ่งหน้าไปสู่สนามรบก่อน
แน่นอน ทั้งหมดนี้ล้วนต้องสร้างขึ้นเมื่อสังหารจอมมารกระบี่แล้ว
จอมมารกระบี่ไม่ได้ให้พวกเรารอนานนัก หลังจากที่นักฆ่าจำนวนมากล่าถอยออกไป จอมมารกระบี่ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว
จอมมารกระบี่แขกทางใต้เป็นตำนานอย่างหนึ่งในโลกของนักฆ่า เป็นตำนานหนึ่งในยุทธภพ ได้ยินที่กล่าวว่า คนในโลกที่ได้พบเขา สุดท้ายล้วนตายในตายในมือของเขา
ดังนั้น เขามา อันที่จริงไม่มีผู้ใดรู้
แต่ผู้เฒ่าท่านนี้มีความน่าสนใจจริงๆ หลังจากถึงเมืองหลวงแล้ว ก็สืบถามจากนายทหารที่เฝ้าประตูเมืองโดยตรง “ขอถามหน่อยว่าจวนอ๋องฉู่อยู่ที่ใด?”
นายทหารสังเกตเขาอย่างถี่ถ้วน สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบทั้งตัว ขากางเกงม้วนขึ้นเผยข้อเท้าออกมา รองเท้าผ้าฝ้ายสีดําคู่หนึ่ง เปรอะเปื้อนฝุ่นมากมาย เห็นได้ว่าเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินทางตะลอนตลอดทาง อีกทั้งด้านหลังสึกหรออย่างร้ายแรง ส้นเท้าด้านหลังแทบจะติดพื้นแล้ว เขาสะพายกระเป๋าสัมภาระใบหนึ่ง มือทั้งสองข้างถูกปกคลุมอยู่ในแขนเสื้อ หลังค่อมเล็กน้อย เส้นผมสีขาวสกปรกมาก ราวกับว่าเมื่อสะบัด ก็สามารถสะบัดฝุ่นออกมาได้ทั้งหัว
บนใบหน้าของเขาก็สกปรกมาก ไม่รู้ว่าเป็นฝุ่นละอองหรือว่าเดิมทีก็ดำมืดเช่นนี้ หางตาสามารถมองร่องรอยของอายุออกมาได้อย่างชัดเจน เขามองดูนายทหารเฝ้าประตูเมือง เป็นท่าทางเอาใจครึ่งหนึ่งไร้ค่าครึ่งหนึ่ง
“ท่านเป็นใคร? ไปจวนอ๋องฉู่ทำอะไร?” นายทหารเฝ้าประตูเมืองมีจิตใจระแวดระวัง อ๋องฉีกรมการพระนครเคยสั่งการไว้ เพียงแค่เข้าเมืองมาหารัชทายาท ล้วนต้องสอบถาม แม้ว่าผู้เฒ่าคนนั้นดูแล้วจะไม่ได้มีพลังการสังหารและการทำให้บาดเจ็บอะไร แต่ที่ควรถามก็ยังต้องถาม
จึงเห็นผู้เฒ่าคนนี้หัวเราะเสียงใสขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ข้าเป็นแขกที่มาจากทางใต้ ได้ยินว่าศีรษะขององค์รัชทายาทมีค่าเป็นทองหนึ่งล้านชั่ง ข้าตั้งใจมาเอาศีรษะขององค์รัชทายาทไปแลกกับทองคำมาใช้จ่าย ท่านบอกข้า จวนอ๋องฉู่อยู่ที่ไหน รอให้ข้าได้รับเงินรางวัลแล้ว จะแบ่งให้นายทหารทุกท่านไปดื่มเหล้าสักหน่อย”
ทันทีที่คําพูดนี้ออกมา นายทหารรักษาประตูเมืองทั้งหมดก็ระแวดระวัง ชักกระบี่ออกมา หันหน้าเข้าหาแขกทางใต้อย่างพร้อมเพรียง
แขกทางใต้เห็นดังนั้น ก็งงงันเล็กน้อย ส่ายหน้า กล่าวอย่างผิดหวังเล็กน้อย “ดูท่า พวกท่านคงจะไม่พูดหรอก”
นายทหารถือกระบี่ฟันเข้าไป ออกกระบี่อย่างรวดเร็ว เดิมทีคิดว่าต้องให้ผู้เฒ่าตัวน้อยคนนี้บาดเจ็บได้เป็นแน่ ใครจะรู้ กระบี่นี้ฟันลงไป กลับฟันอากาศแล้ว เบื้องหน้ายังจะมีแขกทางใต้อีกที่ไหนกัน? บรรดานายทหารมองไปรอบๆ ก็หาร่องรอยของเขาไม่พบอีก ราวกับเพียงครู่หนึ่งก็ระเหยเป็นไอไปจากเบื้องหน้าแล้วเช่นนั้น
ทุกคนดึงสติกลับมา รีบเอ่ยว่า “รีบไปรายงานข่าวที่จวนอ๋องฉู่เร็วเข้า!”
ทหารยามคนหนึ่งจูงม้าออกมา และมุ่งหน้าไปยังจวนอ๋องฉู่อย่างไม่คิดชีวิต
ทว่า แขกทางใต้ได้มาถึงที่หน้าประตูจวนอ๋องฉู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าทหารเฝ้าประตูเมืองไม่ได้พูด ประชาชนก็พูด
เขาเคาะประตูใหญ่ของจวนอ๋องฉู่ ผู้เฝ้าประตูออกมา มองสํารวจแขกทางใต้อย่างละเอียด เอ่ยถาม “ท่านผู้เฒ่า ท่านมาหาผู้ใดกัน?”
แขกทางใต้ยังคงอ่อนน้อมถ่อมตนและมีมารยาท “ข้าขอถามหน่อยว่าองค์ชายรัชทายาทอยู่ในจวนหรือไม่?”
ผู้เฝ้าประตูตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “ท่านมาหาองค์ชายรัชทายาทหรือ? แต่มีธุระอะไรหรือไม่?”
แขกทางใต้ทำมือเคารพ “ข้ามาหาองค์ชายรัชทายาทด้วยเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับชีวิตเล็กน้อย ยังหวังว่าพาไปเข้าพบ!”
ผู้เฝ้าประตูได้ยินวาจาเช่นนี้ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ทังหยางเดินเข้ามาพอดี เอ่ยถาม “เรื่องอะไร?”
ผู้เฝ้าประตูกล่าว “ผู้เฒ่าท่านนี้บอกว่าต้องการพบองค์ชายรัชทายาท มีเรื่องสำคัญ บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวข้องกับชีวิตขอรับ”
ทังหยางทำมือเคารพแขกทางใต้ “ท่านผู้เฒ่า เรื่องสำคัญเกี่ยวกับชีวิตอะไร? ท่านพูดกับข้าน้อยก็เหมือนกัน ข้าน้อยเป็นขุนนางในจวนของจวนอ๋องฉู่ ตอนนี้รัชทายาทไม่ได้อยู่ในจวนน่ะขอรับ”
“ไม่อยู่หรือ? เช่นนั้นสามารถขอเข้าไปน้ำกินสักแก้วได้หรือไม่ล่ะ? ตลอดทางที่ข้าน้อยมาเมืองหลวง เส้นทางเป็นพันลี้ ไม่ได้พกเงิน น้ำชาล้วนไม่ได้เข้าปากสักคำขอรับ”
ผู้เฝ้าประตูหัวเราะแล้วกล่าว “ท่านผู้เฒ่า ท่านจากที่ไหนมาถึงเมืองหลวง? เส้นทางเป็นพันลี้ไม่เคยได้ดื่มน้ำเช่นนั้นไม่กระหายน้ำตายหรือ?”
“กระหายเป็นที่สุด แต่กลับไม่ได้อันตรายถึงชีวิต” แขกทางใต้พูดพลาง ปัดฝุ่นละอองบนร่างกาย ทังหยางรู้สึกว่าทันทีที่ฝุ่นละอองปลิวขึ้นเบื้องหน้า คนที่อยู่ด้านหน้าก็หายไปแล้ว
ประตูเอี๊ยดเสียงหนึ่ง “ท่านผู้เฒ่าล่ะ?”