บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1272 สามัคคีกัน
เป่ยโม่ครั้งนี้ถูกหยู่เหวินเห้ากระหน่ำตีจนเละชนิดไม่เหลือสภาพ แม่ทัพใหญ่ฉินเห็นหยู่เหวินเห้านำคนมาปรากฏตัวต่อหน้า ทั้งยังใช้อาวุธที่อ๋องชินเฟิงอันเคยใช้เมื่อหลายปีก่อน เขารู้ว่าตัวเองติดกับดักเข้าแล้ว ได้แต่มองดูหยู่เหวินเห้าทำลายล้างกองทัพของตัวเองไปมากมาย แต่กลับไม่กล้าไล่ตามพวกเขาไปง่าย ๆ เพราะอาวุธพวกนั้นมีอานุภาพทำลายล้างสูงเกินไป หากบุกจู่โจมเข้าสู่ภูเขาแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มีหวังได้เกิดเรื่องใหญ่เข้าแน่ ๆ
ความกลัวของกองกำลังที่ไม่รู้จักนี้ ทำให้หยู่เหวินเห้านำกองทัพรอบกายล่าถอยไปได้ทั้งหมด
แม่ทัพใหญ่ฉินโกรธจนเป็นฟืนเป็นไฟ หัวคนนั่นเป็นของปลอม แต่ตัวเองกลับถูกหลอกเงินไปถึงแสนตำลึงทอง เป่ยโม่ของเขากับจอมมารกระบี่ชาตินี้จะไม่ขออยู่ร่วมโลก รอให้รบชนะจากศึกนี้เมื่อไหร่ เขาจะต้องเด็ดหัวของมัน เอามาเซ่นสังเวยวิญญาณของนักรบที่ตายไปทั้งหมดให้จงได้
“ฮัดเช้ย ๆ …” ในจวนของเหลิ่งจิ้งเหยียน มีเสียงจามติด ๆ กันหลายครั้งดังขึ้น สุดท้ายเสียงนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ จนสนั่นหวั่นไหว เป็นการจามแบบต่อเนื่องเจ็ดแปดครั้งต่อ ๆ กัน
เหลิ่งจิ้งเหยียนขมวดคิ้วพลางหันไปมองจอมมารกระบี่ “ท่านอาจารย์ ท่านถูกลมหนาวเข้าแล้วรึ?”
จอมมารกระบี่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “มีคนแช่งข้าน่ะ”
“ใครจะขวัญกล้าบังอาจขนาดนั้น?” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดพลางรินน้ำชาให้เขา สองคนศิษย์อาจารย์นั่งอยู่ในศาลาภายในสวน นั่งอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว หมากรุกกระดานนี้ ตั้งแต่ตั้งกระดานมาเมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จนตอนนี้ ก็ไม่มีใครเดินหมากขึ้นไปข้างหน้าอีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว
“ปล่อยให้เขาแช่งไปเถอะ ถึงอย่างไรก็จวนจะกลายเป็นแม่ทัพผู้แพ้พ่ายอยู่แล้ว ร้องแร่แห่กระเชอได้อีกไม่นานนักหรอก” จอมมารกระบี่ยังจ้องไปที่กระดานหมากรุก อดบ่นไม่ได้ว่า “หลายปีมานี้ เจ้าละทิ้งการฝึกฝนวรยุทธ์ ไปเอาดีด้านฝึกทักษะหมากรุกแทน ช่างทำให้สำนักขายหน้าเสียจริง!”
เหลิ่งจิ้งเหยียนยกยิ้มน้อย ๆ “วรยุทธ์นั้นไม่เคยละทิ้ง แต่ทักษะด้านหมากรุกก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน ศิษย์แข็งแกร่งทั้งใจกาย สามารถดูแลงานได้หลากหลาย ทั้งยังครอบครองความสามารถที่หลากหลาย ต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะสุดท้ายแล้ว ศิษย์ก็เป็นคนที่ได้รับการยกย่องและไว้วางใจข้างวรกายของฝ่าบาท”
จอมมารกระบี่มองเขา “อันที่จริง ข้าไม่เคยเห็นด้วยที่จะให้เจ้าไปทำงานเป็นขุนนาง คนโบราณกล่าวไว้ว่า อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างหาตัวจับยาก ถึงแม้จะรู้จักยืดหยุ่นรู้จักรุกรู้จักถอย แต่ก็เกรงว่าบรรดาขุนนางจอมประจบสอพลอข้าง ๆ ฮ่องเต้จะทนเหม็นขี้หน้าเจ้าไม่ไหว ชื่อเสียงและลาภยศสรรเสริญที่มีให้ มันสำคัญกับเจ้าถึงเพียงนั้นเชียวรึ? อย่างไรก็ไม่สู้เร้นกายจากยุทธภพ ไปเป็นผู้ชอบอิสระ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ดีกว่าหรือ? ความสามารถมากมายที่เจ้ามี ไม่ควรขายให้กับพวกราชวงศ์หรอกนะ!”
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดว่า”ความสามารถของศิษย์ไม่ใช่การขายให้กับราชวงศ์หรอก ศิษย์แค่อยากทำอะไรเพื่อเป่ยถัง เพื่อประชาชนตาดำ ๆ ทำสิ่งที่อยู่ภายใต้ความสามารถของตนเอง การไปเร้นกายซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร มันไม่จำเป็นต้องฝึกทักษะทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้ก็ได้ แต่ในเมื่อข้าได้ฝึกฝนจนมีแล้ว ก็สมควรจะสร้างความแตกต่างนะขอรับ”
จอมมารกระบี่หัวเราะ “อื้ม! ในเรื่องนี้ อย่างไรข้าก็เถียงไม่ชนะเจ้าจริง ๆ หวังว่ารัชทายาทที่เจ้าภักดีจะกลายเป็นฮ่องเต้ที่เก่งกาจฉลาดเฉลียวในอนาคตนะ”
“เขาจะเป็นได้แน่!” เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดอย่างหนักแน่น
จอมมารกระบี่มองเขาเงียบ ๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นลุกขึ้นแล้วหยิบกระบี่ที่วางประดับอยู่ข้าง ๆ เขาขึ้นมา “ในเมื่อเจ้ามีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าผู้เป็นอาจารย์ก็ควรจะสนับสนุน อย่างไรในอีกสามสิบห้าสิบปีข้างหน้าก็คงจะว่างน่าดู เช่นนั้นก็จะช่วยวิ่งเป็นธุระให้เจ้าสักรอบก็แล้วกัน”
มีแสงสว่างวาบปรากฏในดวงตาของเหลิ่งจิ้งเหยียน “อาจารย์จะไปที่เมืองซิ่วโจวรึ?”
“ พาเหล่าสหายไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย เจ้าไม่ได้พูดไว้หรอกรึ ? ว่าความชอบธรรมของจอมยุทธ์มีไว้เพื่อบ้านเมืองและประชาชนน่ะ?” จอมมารกระบี่พูดแล้วสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง หมากทั้งหมดบนกระดานหมากรุกก็ร่วงตกลงไปกระจัดกระจายเต็มพื้น แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “หมากรุกไม่ใช่สิ่งที่ข้าพิสมัยนัก ไม่เล่นเสียก็ได้!”
พูดจบ เขาก็สะบัดชายเสื้อ แล้วเดินจากไป
เหลิ่งจิ้งเหยียนยืนขึ้น ประสานมือก้มลงคำนับ “ขอบพระคุณท่านอาจารย์!”
เขารู้ว่าอาจารย์มีสถานะสูงในโลกของนักฆ่า รวมถึงวรยุทธ์ก็เป็นที่เลื่องลือในยุทธภพ เขาบอกว่าจะพาสหายไปเปิดหูเปิดตา นั่นหมายความว่าเขาต้องยื่นมือเข้าช่วยแน่แล้ว ในศึกครั้งนี้ มีทั้งชาวยุทธ์กับราชสำนักร่วมมือกันอย่างสมานสามัคคี จะแพ้ได้อย่างไรล่ะ?
คำพูดของจอมมารกระบี่ที่ว่า เขาจะไปสนามรบเพื่อช่วยไท่ซ่างหวงทำศึกนั้น ทำให้ชาวยุทธ์จำนวนหนึ่งถึงกับนำไปใคร่ครวญครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งจริง ๆ แต่ไหนแต่ไรมา พวกเขามักจะสนใจแต่เรื่องในสำนักของตน หรือไม่ก็ความสูงต่ำของวิชายุทธ์ พวกเขาคิดว่าชีวิตจะไปถึงระดับสูงสุดได้ คือต้องฝึกวรยุทธ์ให้ไปถึงขั้นสูง มีใจกล้าหาญ และช่วยเหลือผู้ถูกรังแกเมื่อเผชิญกับความอยุติธรรม
แต่กลับกลายเป็นว่า แท้จริงแล้วคนในยุทธภพ ยังสามารถต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองได้ด้วยหรือ?
เป่ยโม่ละโมบในดินแดนเป่ยถังมานานหลายปีแล้ว ทั้งสองประเทศมีความบาดหมางกันอย่างล้ำลึก แม้ว่าจะมีการเจรจากันหลายครั้ง แต่บทสนทนาที่แฝงเจตนาร้าย ก็ยังทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นอายการปะทะอันคุกรุ่นเหมือนเดิม
เพียงชั่วอึดใจ แรงกระทบที่เกิดจากจอมมารกระบี่ก็แพร่กระจายออกไป จนก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ในยุทธภพ บรรดาชาวยุทธ์ที่มีใจกล้าหาญ ต่างก็เร่งตบเท้าไปที่สนามรบอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยไท่ซ่างหวงอีกแรง!
ฉากนี้เรียกได้ว่า เป็นสถานการณ์ที่สร้างแรงใจบันดาลให้คนทั่วแคว้นลุกขึ้นมาเป็นทหาร ในขณะที่การรบยังไม่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ก็สร้างแรงกดดันทางจิตใจอย่างมหาศาลให้ชาวเป่ยโม่เสียแล้ว
หลังจากที่หงเย่กับเหลิ่งจิ้งเหยียนกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อไม่มีอะโฉ่วอยู่ข้างกาย เขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย
ในเมืองหลวง เขาไม่ได้ผูกมิตรสร้างไมตรีกับใครเลย เพื่อนคนเดียวที่มีอย่างหยู่เหวินเห้าก็ไปออกรบ เขาเบื่ออย่างยิ่ง เอาแต่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ไปได้ยินที่โรงน้ำชาคุยกันว่าชาวยุทธ์มากมายในยุทธภพต่างพากันไปที่สนามรบเพื่อร่วมแรงสู้รบ เขาถึงกับหลุดหัวเราะเย้ยหยัน ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้
ในสนามรบ ต้องการเพียงทหารสายเลือดแท้เท่านั้น จะต้องการคนกลุ่มนี้ไปทำไม ? พวกเขาต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ยึดมั่นถือมั่นสูง พวกเขาจะยินดีรับฟังคำสั่งจากราชสำนักได้อย่างไรกัน?
อีกทั้งศึกครั้งนี้ โอกาสชนะก็มีไม่สูง การที่จู่ ๆ ก็พากันวิ่งเข้าสมรภูมิอย่างผลีผลาม ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับมาด้วยซ้ำ ทำไมจะไม่เรียกว่าโง่เขลาล่ะ?
เขาหัวเราะเย้ยหยันเสร็จ ก็จ่ายเงินแล้วกลับไปที่จวน เก็บเสื้อผ้าหลายชุด นำอาวุธที่ไม่ได้ใช้งานมานานออกมา จูงม้าตัวหนึ่ง ขณะที่ผ่านตลาดก็ซื้ออาหารแห้งจำนวนหนึ่งบรรทุกขึ้นหลังม้า แล้วควบตะบึงออกนอกเมืองไปตลอดทาง
หลังจากออกจากเมือง เขามองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน ส่ายหัวแล้วพูดว่า “อย่างไรเสียก็ไม่มีที่ไหนให้ไป เช่นนั้นไม่สู้ไปที่เมืองซิ่วโจวดูดีกว่า ไม่ใช่ว่าจะไปช่วยเป่ยถังสู้รบเสียหน่อย ก็แค่ว่างจัดไม่มีอะไรให้ทำแล้วเบื่อ ได้ตามไปชมดูความสนุกตื่นเต้นก็ยังดี”
หลังจากพูดจบ เขาก็ขี่ม้าทะยานออกไปตลอดทาง
หงเย่ไปครั้งนี้ ถึงขั้นที่ไม่ได้บอกกับใครไว้เลย วันรุ่งขึ้นเหลิ่งจิ้งเหยียนส่งคนให้นำของไปส่งให้เขาที่จวน ก็เห็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่หน้าประตู เขียนอักษรไว้ไม่กี่ตัวว่า “ข้าไปเมืองซิ่วโจวนะ! ”
กระดาษแผ่นนี้ถูกลมพัดจนปลิวลงไปกองอยู่กับพื้น คนรับใช้ช่วยนำมาติดให้เขาใหม่ จากนั้นก็กลับไปรายงานการทำงาน
เหลิ่งจิ้งเหยียนได้ฟัง ก็ยกยิ้มเล็กน้อย หันไปพูดกับคนรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “หัวใจของคนเราน่ะ แท้จริงแล้วมันสามารถถูกทำให้เร่าร้อนขึ้นมาได้ง่าย ๆ ด้วยคำว่าบ้านเมือง ถูกหรือไม่?”
คนรับใช้ตกใจจนผงะไปครู่หนึ่ง “ข้าน้อยไม่เข้าใจขอรับ!” สิ่งที่ทำให้เร่าร้อนได้ ก็คงจะมีแต่น่องไก่ กับเงินที่เพิ่มให้จากเวลาทำงานเท่านั้นล่ะ
เหลิ่งจิ้งเหยียนลอบยิ้มมุมปาก เอามือไพล่หลังเดินจากไป
ทั้งประชาชน ราชสำนัก ต่างก็ถกเถียงกันเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ในจวนอ๋องฉู่ บรรดาพระชายาทั้งหลายต่างก็มารวมตัวกัน และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงสงครามครั้งนี้ด้วย
หรงเยว่ไม่ได้วิตกกังวลกับผลได้ผลเสียของตัวเองอีกต่อไปแล้ว นางส่งคนออกไปหลายกลุ่ม นอกจากจะให้ไปคอยช่วยเหลืออ๋องหวยแล้ว นางยังหวังว่าพวกเขาจะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการทำสงครามนี้ด้วย
นางบอกกับทุกคนว่า ถ้านางไม่ได้ตั้งท้องอยู่ นางจะต้องไปร่วมทำสงครามนี้ด้วยแน่
หยวนหย่งอี้ก็ยังอดถอนหายใจไม่ได้ “ใช่แล้ว ท่านย่าก็พาคนในตระกูลออกเดินทางไปแล้วเช่นกัน เดิมทีข้าเองก็อยากไป แต่ลูกสาวก็ยังเล็กมาก เจ้าเจ็ดก็กำลังยุ่งอยู่…”
นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้าอยากไปมากจริง ๆ นะ หรือไม่ คืนนี้ข้าจะลองกลับไปคุยกับเขาดูอีกสักครั้ง”
“ เจ้าไม่ต้องไปหรอก เพิ่มเจ้าเข้าไปคนหนึ่งคน กองทัพก็ไม่ได้มากขึ้น ไม่มีเจ้าไปเสียคนหนึ่ง กองทัพก็ไม่ได้ลดน้อยลงสักหน่อย” อะซี่พูด
หยวนหย่งอี้หันไปมองอะซี่ “ถ้าเจ้าไม่ได้ท้องอยู่ น่ากลัวว่าเจ้าก็คงจะตามสวีอีไปด้วยแล้วเหมือนกันนั่นล่ะ”
อะซี่พูดว่า “สามีภรรยาย่อมมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าข้าไม่ได้ท้องอยู่ แน่นอนว่าข้าต้องไปอยู่แล้ว แต่เจ้าในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังท้องอยู่หรอกนะ ลูกสาวก็ยังเล็กอยู่แท้ ๆ”
หลังจากพระชายาซุนได้ยินพวกนางคุยกัน ก็อดถอนหายใจไม่ได้ “ข้านี่มันช่างไร้ประโยชน์เสียจริง เรื่องครั้งนี้ ข้าจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่นะ?”
หยวนชิงหลิงยิ้มพลางพูดว่า “บริจาคเงิน!”
พระชายาซุนพูดขึ้นทันทีว่า “บริจาคตั้งนานแล้วล่ะ พี่รองของเจ้าบริจาคเงินครึ่งหนึ่งจากสมบัติที่มีเลยทีเดียว ไม่เคยเห็นเขาใจกว้างขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ”
หรงเยว่พูดว่า “อื้ม เรื่องนี้ข้าสามารถเป็นพยานได้ ก่อนที่เจ้าหกจะไป เชาเล่าให้ข้าฟังว่าพี่รองมอบเงินทั้งหมดมาไว้ในมือของเขา เพื่อให้นำไปใช้กว้านซื้อเสบียงอาหาร”
หยวนชิงหลิงกับฮูหยินเหยามองประสานสายตากันแวบหนึ่ง สรุปแล้วมีแต่พวกนางที่ไม่ได้มีส่วนร่วมออกเรี่ยวออกแรงอะไรเลย
ต่อให้หยวนชิงหลิงอยากบริจาค นางก็ไม่สามารถบริจาคได้ ตระกูลของนางตกต่ำมานานแล้ว ถ้าจะบริจาคจริง ๆ ก็มีแต่ต้องเอาของไปขายแลกเงิน โชคยังดีที่ของดีของนางก็มีอยู่ไม่น้อย หากนำไปขายก็ยังพอคุ้มค่าเงินหลายตำลึงเลยทีเดียว