บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1273 การตัดสินพระทัยของฮ่องเต้หมิงหยวน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1273 การตัดสินพระทัยของฮ่องเต้หมิงหยวน
ในเมื่อเป็นการขายของเพื่อแลกเป็นเงิน เป็นการดีที่สุดที่จะใช้ฐานะของพระชายารัชทายาท เรียกบรรดาคนในราชวงศ์หรือพวกฮูหยินจากตระกูลชนชั้นสูงมารวมตัวเสียหน่อย
หยวนชิงหลิงแลกเปลี่ยนความคิดนี้กับทุกคน และทุกคนต่างก็เห็นด้วยอย่างยิ่งโดยเฉพาะหยวนหย่งอี้ ในเมื่อนางไม่อาจไปสนามรบได้แน่แล้ว พอมีวิธีที่จะได้มีส่วนร่วมทำอะไรบ้าง แน่นอนว่านางย่อมเต็มใจอย่างที่สุด
พระชายาซุนพูดขึ้นว่า “อีกไม่กี่วัน พระชายาอานก็จะพาอานจือกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว บังเอิญจิ้งเหอก็อยู่ด้วยพอดี เช่นนั้นพวกเราก็มารวมตัวกัน แล้วทำเรื่องนี้ให้ดีกันเถอะนะ”
นางมองฮูหยินเหยาแล้วพูดว่า “ต้องรบกวนฮูหยินเหยาคิดหาหนทางระดมพลทุกคนด้วยนะ เรื่องนี้ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ให้เจ้าเป็นแม่งานดูจะเหมาะสมที่สุด ในหมู่มวลพี่สะใภ้น้องสะใภ้ของเรา ไม่มีใครที่เก่งเรื่องนี้เท่าเจ้าอีกแล้ว”
ฮูหยินเหยายิ้มแย้ม “แน่นอนว่าข้าย่อมยินดีเป็นที่สุด ในเมื่อทุกคนเชื่อใจข้าถึงขนาดนี้ เช่นนั้นข้าจะขอรับเป็นแม่งานจัดการเรื่องนี้เอง ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสร้างแรงผลักดันให้ผู้คน โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ให้ความสนใจกับสงครามครั้งนี้ มีไท่ซ่างหวงเป็นผู้ขับเคลื่อนทัพด้วยองค์เอง ก่อให้เกิดเป็นกระแสความสนใจอันมหาศาล อยากให้ทุกคนบริจาคเงิน เราแค่ต้องพูดอะไรดี ๆ ที่เป็นการสนับสนุนไท่ซางหวงก็พอ อะไรอื่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอีก”
ทุกคนร่วมกันนั่งวางแผน เรื่องบริจาคเงินได้แล้ว เรื่องเสบียงอาหารก็ได้แล้ว เรื่องเครื่องไม้เครื่องมือเหล็กทำอาวุธ รวมถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ก็ล้วนได้แล้ว โดยฮูหยินเหยาจะเป็นคนรับประสานงานการบริจาคทั้งหมด แล้วจะสั่งคนขนไปส่งที่เมืองซิ่วโจว
มีบรรดาพระชายาของราชนิกุลออกหน้า ทั้งยังมีพระชายารัชทายาทเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง หลายคนในเมืองหลวงจึงพากันบริจาคเงินกันอย่างล้นหลาม นอกจากพระชายาของราชนิกุลแล้ว ฮูหยินของบรรดาพ่อค้าผู้มั่งคั่งในเมืองหลวงก็พากันบริจาคเงินด้วยเช่นกัน เพียงชั่วอึดใจ ประตูหน้าจวนอ๋องฉู่ก็มีสภาพเหมือนตลาด มีผู้คนมากมายมาบริจาคเงินกันอย่างไม่ขาดสาย
แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกินสามวัน ก็ได้รับเงินกว่าหนึ่งล้านตำลึง มีข้าวของเครื่องใช้มากมายนับไม่ถ้วน รอจนพระชายาอานกลับมาถึงเมืองหลวง การระดมทุนก็เสร็จสิ้นลงแล้ว เงินที่ได้นำไปใช้ซื้อเสบียงอาหาร ตลอดจนของจำเป็นต่าง ๆ ก็จัดการส่งไปที่เมืองซิ่วโจวแล้วทั้งหมด
เมื่อเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้หมิงหยวน ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกประหลาดพระทัยมาก แต่ก็รู้สึกยินดีมากเช่นกัน หันไปแย้มสรวลพลางตรัสกับมู่หรูกงกงว่า”ราชวงศ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
มู่หรูกงกงได้ทีก็รีบกล่าวยกยอทันทีว่า “เป็นเพราะเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท ถึงทำให้ราชวงศ์ต่างมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้กับศัตรูอย่างแข็งขัน”
ฮ่องเต้หมิงหยวนกลอกพระเนตรใส่ ตรัสขึ้นว่า “เดชานุภาพอะไรกันล่ะ? เรื่องนี้เป็นเพราะคนเราทำเองทั้งนั้น ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน ครั้งนี้ข้าต้องชื่นชมฮูหยินเหยาให้มาก ทั้งต้องออกราชโองการ ยกย่องน้ำใจของบรรดาผู้ที่บริจาคเงินและสิ่งของด้วย”
มู่หรูกงกงถามอย่างไม่เข้าใจว่า”เรื่องนี้แม้ว่าฮูหยินเหยาจะเป็นประธานจัดงานให้ แต่ที่มันเกิดขึ้นได้ ก็เพราะพระชายารัชทายาทเป็นคนต้นคิดให้เกิดการเรียกระดมทุน อีกทั้งยังมีพระชายาคนอื่น ๆ ที่เข้าร่วมด้วย เหตุใดฝ่าบาทจึงชื่นชมเพียงฮูหยินเหยาหรือพ่ะย่ะค่ะ? เกรงว่าพระชายาคนอื่น ๆ จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง”
ฮ่องเต้หมิงหยวนส่ายพระพักตร์ “ครั้งนี้ คงต้องให้พระชายารัชทายาทกับพระชายาคนอื่น ๆ ต้องน้อยเนื้อต่ำใจสักครั้งแล้วจริง ๆ เมิ่งเยว่กำลังจะเจรจาเรื่องแต่งงานแล้ว ข้าต้องคิดหาวิธีที่จะเชิดชูความดีความชอบของฮูหยินเหยา แล้วยกฐานะของนางขึ้นมา แม้ว่าตอนนี้จะมีการตั้งยศเป็นฮูหยิน แต่ในความเป็นจริงก็ไม่มีใครเห็นความสำคัญของยศนี้ บวกกับก่อนหน้านี้ นางเคยมีตำแหน่งเป็นถึงพระชายา และเมิ่งเยว่ก็เป็นจวิ้นจู่คนหนึ่ง ดังนั้น ข้าจึงคิดจะคืนตำแหน่งพระชายาจี้แต่เดิมที่นางเคยเป็นให้กับนาง เพื่อที่จะให้นางสามารถสร้างจวนตัวเองได้ สามารถใช้ประโยชน์จากศักดินาที่มี และยังใช้เป็นโล่คุ้มกันชีวิตหลังจากนี้ของเมิ่งเยว่ได้”
มู่หรูกงกงเข้าใจขึ้นมาทันที “เป็นฝ่าบาทที่ทรงคิดการรอบคอบยิ่งนัก”
“ อย่างไรข้าก็ต้องคิดเผื่อหลานสาวของข้าให้มาก พ่อของพวกนางทั้งละเมิดจริยธรรม ทั้งทำผิดศีลธรรมอันดีตามระบบศักดินาอย่างร้ายแรง ครอบครัวต้องถูกประณามทั้งยังถูกลดตำแหน่ง กระทั่งจะตายก็ยังต้องตายอย่างน่าอนาถถึงเพียงนั้น บรรดาชนชั้นสูง พวกผู้ลากมากดีก็ล้วนดูถูกพวกนาง มีเพียงการแต่งตั้งยศจากข้า เพื่อยกฐานะของพวกนางสามคนแม่ลูกขึ้นมา ถึงจะทำให้เมิ่งเยว่มีโอกาสหาผู้ชายจากตระกูลดี ๆ มาแต่งงานด้วยได้”
มู่หรูกงกงพยักหน้าตอบรับอย่างเงียบ ๆ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ตอนนี้เมิ่งเยว่จวิ้นจู่กำลังเรียนวิชาแพทย์อยู่กับฮูหยินใหญ่ ก็พอนับได้ว่ามีหน้ามีตา สามารถไปปรากฏตัวต่อหน้าธรากำนัลได้บ้างแล้ว หากเป็นบ้านผู้มีอันจะกินโดยทั่ว ๆ ไปก็ล้วนไม่เข้าตา แต่ถ้าจะแต่งกับผู้มีฐานะต่ำกว่า ก็แลดูจะทำให้จวิ้นจู่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ จึงต้องคิดหาวิธียกฐานะของนางขึ้นมาให้ได้
องค์ชายใหญ่นี่ก็ช่างรนหาที่จริง ๆ ดิ้นรนสร้างเรื่องราวใหญ่โตเสียมากมายหลายปี ดิ้นรนจนทำให้ทั้งตัวเองและครอบครัวต้องตกต่ำลงไปกันหมด ทำไมถึงได้ไร้ความคิดเช่นนี้หนอ?
แต่คิดไม่ถึงว่า หลังจากมีพระราชโองการลงมา ฮูหยินเหยากลับบอกว่าไม่ต้องการกลับไปอยู่ในตำแหน่งพระชายาจี้ตามเดิม นางขอเข้าวังไปกราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ มู่หรูกงกงจึงพานางเข้าวังไป
นางบอกว่าตอนนี้เมิ่งเยว่ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ถูกจำกัดให้อยู่ในกรอบ อีกทั้งในอนาคตนางไม่กำหนดแล้วว่าต้องแต่งงานกับตระกูลสูงส่งอะไร ต่อให้แต่งกับคนฐานะต่ำกว่าก็ไม่ขัด ขอแค่ตัวนางเองชอบคนคนนั้น ขอแค่นิสัยใจคอของอีกฝ่ายใช้ได้ ต่อให้เกิดมาในตระกูลยากจน นางก็คิดว่ามันไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว
จวนอ๋องจี้แห่งนั้น มันคือฝันร้ายของพวกนางสามคนแม่ลูก พวกนางจึงไม่ยินดีที่จะกลับไปที่นั่นอีกแล้ว
ฮูหยินเหยากล้าหาญมาก นางบอกความในใจต่อฮ่องเต้หมิงหยวนออกไปจนหมด ชนิดที่ไม่มีการปิดบังซ่อนเร้นแม้แต่น้อย เดิมทีคิดว่าฮ่องเต้หมิงหยวนจะต้องทรงกริ้วมากแน่ ๆ แต่เมื่อได้ฟังแล้วไตร่ตรองคำพูดเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่ง พระองค์ก็ตรัสว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้าเถอะ ที่เจ้าพูดมาบางทีมันอาจจะถูกต้องแล้ว บรรดาลูกชายหลานชายที่เติบโตมาในตระกูลผู้ดีมีหน้ามีตา อาจเทียบไม่ได้กับลูกชายหลานชายที่มีใจใฝ่ดีจากครอบครัวยากจน ขอแค่ได้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการก็ดีแล้ว”
ฮูหยินเหยารู้สึกซาบซึ้งมาก “ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณเพคะฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนทอดพระเนตรมองนาง พลางตรัสถามว่า “เจ้ามีแผนการเช่นไรในอนาคตล่ะ?”
ฮูหยินเหยาตอบว่า “ต่อจากนี้ไปข้าก็จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เพคะ แม้ว่าจะไม่ร่ำรวยมั่งคั่งเหมือนแต่ก่อน แต่ในใจก็สงบสุข รู้สึกสบายใจขึ้นกว่าแต่ก่อนมากจริง ๆ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสว่า “เจ้าอายุยังน้อย ถ้าจะมองหาใครสักคน ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้าหรอกนะ”
เมื่อฮูหยินเหยาได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้าขึ้นทันที จ้องมองไปที่ฮ่องเต้หมิงหยวนอย่างตกตะลึง
ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสว่า”อันที่จริงเรื่องนี้ หวงกุ้ยเฟยก็ได้มาลองหยั่งเชิงความคิดของข้าแล้ว เดิมทีข้าไม่สนับสนุนให้เจ้าทำเช่นนี้ แต่หากเจ้าทำจริง ๆ ในอนาคตจะมีคนคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างคอยประคับประคองให้เจ้าเดินต่อไปได้ ข้าจึงเห็นด้วยกับความคิดนี้ เจ้าก็เรียกข้าว่าเสด็จพ่อมานานหลายปีแล้ว ข้าก็มองว่าเจ้าเป็นลูกสาวคนหนึ่ง ก็ไม่อยากเห็นเจ้าต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไปจนแก่เฒ่า เจ้ามีลูกสาวแค่สองคนอยู่ในปกครอง รอจนลูกสาวของเจ้าแต่งงานออกเรือนไปจนหมด เจ้าก็จะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นรึ?”
ฮูหยินเหยาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่า คำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากของฮ่องเต้ ใจนางพลันปวดแปลบ น้ำตารินไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ พูดเจือเสียงสะอื้น”เสด็จพ่อ ข้า… ข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า“เช่นนั้นลองคิดดูสักหน่อยก็ไม่เลวนะ รอให้เขากลับมาพร้อมกับชัยชนะจากสงครามนี้ ข้าจะเชิดชูความดีความชอบให้เขา หากพวกเจ้าล้วนมีใจตรงกัน ต้องมาขอการอนุญาตจากข้าด้วยล่ะ เช่นนี้ก็จะไม่มีใครกล้าดูถูกจวิ้นจู่ได้”
ฮูหยินเหยาตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง ไม่สนใจแม้แต่จะเช็ดน้ำตาออกด้วยซ้ำ จ้องมองไปที่ฮ่องเต้หมิงหยวนด้วยความตกใจ
ฮ่องเต้หมิงหยวนตรัสขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องตกใจหรอก หวงกุ้ยเฟยบอกข้าแล้ว ฉากหน้านางทำเหมือนว่าจะคัดค้าน แต่นางเกลี้ยกล่อมข้าอยู่เป็นนานสองนาน นางเอ็นดูเจ้ามากจริง ๆ ข้าส่งคนไปตรวจสอบเขาดูแล้ว ที่จริงเขาก็เป็นคนที่พึ่งพาได้คนหนึ่งเชียวล่ะ ตอนนี้ก็ตามคนของสำนักเหลิ่งหลังไปส่งอาวุธที่สนามรบ ไปต่อสู้เพื่อประเทศชาติ ข้าจึงสั่งให้คนนำราชโองการไปส่งให้ บอกว่าถ้าศึกนี้เขาสามารถกวาดล้างศัตรูได้ถึงพันคน ข้าจะยกเจ้าให้แต่งกับเขา”
ฮูหยินเหยาตกใจจนพูดอะไรไม่ออก นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
ถ้าฝ่าบาทแต่งตั้งยศให้ฮุ่ยเทียน นั่นย่อมหมายความว่าเขาจะเป็นคนของราชสำนักทันที ด้วยนิสัยของฮุ่ยเทียน เขาจะต้องไม่ยินดีแน่ แต่เพื่อนาง เขาก็คงจะฝืนบังคับตัวเอง ยอมให้ตัวเองน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วยอมรับเงื่อนไขทั้งหมดที่กำหนดโดยฮ่องเต้
ส่วนที่ว่าฝ่าบาทจะเสนอเงื่อนไขอะไรออกมานั้น นางเองก็ไม่กล้าคาดเดา แต่นางก็รู้ว่าฝ่าบาทไม่มีทางคิดเผื่อชีวิตที่เหลือของนางโดยไม่มีเหตุมีผลแน่ ๆ สำหรับพระองค์ การให้ฐานันดรแก่นาง ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงพระมหากรุณาธิคุณ
การประโคมโหมแห่เรื่องการแต่งงานกับนาง ให้เป็นของรางวัลเสียใหญ่โตเอิกเกริกเช่นนี้ แน่นอนว่ามันต้องมีข้อตกลงบางอย่างแฝงอยู่ในนั้นด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินเหยาก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามออกไปว่า “เสด็จพ่อ ท่านต้องการให้ฮุ่ยเทียนทำอะไรให้ท่านหรือเพคะ?”
เมื่อฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินคำถาม ในดวงเนตรก็เต็มไปด้วยความชื่นชม ตรัสว่า “ข้าคิดอยู่เสมอว่าเจ้าฉลาดมาก แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิดจริง ๆ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่ทำให้เขาลำบากใจนักหรอก ข้าหวังแค่ว่า เขาจะดึงหน่วยกล้าตายของกระดูกมนุษย์หมาป่าทั้งหมด มาเป็นกำลังให้รัชทายาทได้ใช้สอยก็เท่านั้น!”