บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1286 พี่ชายมาแล้ว
เขาเห็นหยวนชิงหลิงกลับไปด้านหลังจวนแล้ว จึงคว้าดึงทังหยางแล้วก็เดินมุ่งหน้าไปที่หน้าประตู พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ใต้เท้าทัง ไม่ได้เกิดเรื่องกับเจ้าหก เกิดเรื่องกับเจ้าห้า เจ้าต้องตามไปด้วย ระหว่างทางจะตั้งปิดบังพี่สะใภ้ห้าให้ดี ห้ามปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับนางระหว่างทางเด็ดขาด”
ทังหยางได้ยินเช่นนี้ ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พร้อมพูดขึ้นด้วยริมฝีปากสั่นเทาว่า “อะไรน่ะ?”
“อย่าแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา พี่สะใภ้ห้าฉลาดมาก หากถูกนางจับได้จะแย่ เจ้าต้องเข้มแข็ง ทุกอย่างต้องอาศัยเจ้าแล้ว รีบไปจัดการ” อ๋องฉีรีบพูดขึ้น
ทังหยางหันหน้าไป กัดฟันแน่น สายตาเผยความมุ่งมั่นออกมา แล้วก้าวเท้ายาวเดินออกไปข้างนอก
อะซี่ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับอ๋องหวย ก็มาปลอบหรงเยว่ หรงเยว่นั่งบนเก้าอี้ ฝ่ามือเย็นเฉียบ อะไรไม่ออกสักคำ นางกลัวว่าตนเองไม่ทันระวังแล้วพูดกับอะซี่
นางพูดกับอะซี่ว่า “เอาไปช่วยเก็บของหน่อย ข้า….ข้านั่งสงบจิตสงบใจอยู่ที่นี่แปบหนึ่ง”
อะซี่พยักหัว รู้ว่าตอนนี้ใครปลอบก็ไม่มีประโยชน์ จะรีบกลับไปช่วยหยวนชิงหลิงเก็บของ
หยวนชิงหลิงอยู่ในห้องของเจ้าแฝดสอง วัดไข้ให้กับเจ้าแฝดสอง ฉี่หลอกับลู่หยาได้ช่วยเก็บของแล้ว นางหันไปเห็นอะซี่เข้ามา จึงพูดขึ้นว่า “ข้าออกเดินทางครั้งนี้ น่าจะประมาณครึ่งเดือน ใต้เท้าทังจะต้องไปกับข้า งานในจวน ต้องยกให้เจ้ากับแม่นมดูแล”
“พี่หยวนวางใจเถอะ จะดูแลให้เป็นอย่างดี” ในขณะที่อะซี่ช่วยเก็บของ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าว่า “เห็นพระชายาหวยเป็นเช่นนี้ ในใจของข้าทรมานจริงๆ ฝ่ามือของนางเย็นเฉียบอย่างมาก คงจะตกใจไม่น้อย และคงเป็นห่วงเป็นกังวลอย่างที่สุด”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ แต่เรื่องนี้ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เดิมร่างกายของเจ้าหกก็ไม่แข็งแรง หากเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ด้วยนิสัยของหรงเยว่….เฮ้อ เป็นใครล้วนต่างก็รับไม่ได้”
อะซี่อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องกับสวีอี ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด หวังเพียงว่าครั้งนี้เขา…. พวกเขาล้วนปลอดภัย”
หยวนชิงหลิงหยิบปรอทวัดไข้ออกมาดู ไม่มีไข้แล้ว จึงพูดกับซาลาเปาว่า “แม่ต้องออกเดินทางไกล เจ้าอยู่บ้านต้องเชื่อฟัง ห้ามรังแกน้องชาย”
ซาลาเปาเอามือไขว้หลัง พร้อมพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม่วางใจเถอะ ข้าจะรังแกน้องชายได้อย่างไร? หากพวกเขาไม่เชื่อฟัง ข้าก็แค่สั่งสอนพวกเขา”
หยวนชิงหลิงมองดูท่าทีเช่นนี้ของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ตั้งแต่หลังจากเข้าวังไปติดตามโสวฝู่ มักจะชอบเอามือไขว้หลังเช่นนี้ เรียนแบบท่าทีของโสวฝู่ เหมือนคนแก่ตัวน้อยจริงๆ
ครั้งนี้อ๋องฉีกับกู้ซือก็ตามไปด้วย จะต้องปกป้องพระชายารัชทายาทเดินทางไปเจอองค์ชายรัชทายาทได้อย่างปลอดภัย พวกเขาเก็บของเสร็จเรียบร้อยแต่แรกแล้ว รอออกเดินทางเพียงอย่างเดียว
แต่ก่อนที่กำลังจะออกเดินทาง ท้องฟ้ากลับมืดครึ้ม เมื่อกี้ท้องฟ้ายังสดใส ทำไมถึงกลายเปลี่ยนเป็นเหมือนฝนกำลังจะตก? ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าผ่าฟ้าแลบ สายไฟแลบตรงขอบฟ้า ตอนเริ่มแรกเป็นเหมือนดั่งต้นไม้ไฟ แล้วค่อยๆแบ่งแยกออก เมฆดำก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว แสงแดดถูกบดบังจนหมดสิ้น
ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะร้อนใจ ทำไมฝนจะต้องตกตอนที่จะออกเดินทางอยู่แล้ว? ทำให้การเดินทางล่าช้า
เสียงฟ้าร้องดังอยู่บนหัวตลอด สายฟ้ายิ่งอยู่ก็ยิ่งดุร้าย ยิ่งอยู่ก็ยิ่งโหดเหี้ยม ราวกับจะแยกขอบฟ้า พื้นดินสว่างเป็นบางครั้ง มืดเป็นบางครั้ง และเป็นเช่นนี้อยู่ค่อนข้างนาน ทำให้รู้สึกวิตกกังวล
ทุกคนต่างอยู่ในห้องโถงจวนอ๋องฉู่ อ๋องฉีพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “จะตกก็รีบตก ตกแล้วก็ไม่ต้องขีดขวางการเดินทางของพวกเรา”
กู้ซือยืนมองดูท้องฟ้าอยู่หน้าประตู ลมพัดเสื้อคลุมสีดำดังพลิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “เมฆดำนี้น่าแปลก และปกติหากฝนจะตกหนัก หลังจากฟ้าร้องฟ้าแลบแล้วก็จะตกลงมาทันที ตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ทำไมถึงยังไม่เห็นตก?”
หยวนชิงหลิงก็ค่อนข้างร้อนใจ เพราะตอนนี้ท้องของนางค่อนข้างโตแล้ว ระหว่างทางจะรีบเดินทางไม่ได้ สามารถออกเดินทางได้เร็วสักครึ่งวันหรือหนึ่งวัน ล้วนเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์
สุดท้ายก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดค่อยมีฝนตกลงมาอย่างรุนแรง ท้องฟ้าเหมือนแตกแยกออก ลมพัดฝนกระหน่ำ พื้นฟ้าไร้แสงสว่าง น้ำฝนถูกลมพัดเข้ามาในห้องโถงอย่างต่อเนื่อง กู้ซือกับอ๋องฉีจึงต้องถอยกลับไปนั่งในห้องโถง ทังหยางรีบวิ่งออกไปข้างนอกอย่างร้อนใจ บอกว่ากลัวพัดคอกม้าถล่ม
ทังหยางเพิ่งวิ่งออกไป ก็ได้ยินเสียงดังปั้ง จากนั้นก็ตามด้วยเสียงเข้มของทังหยาง พูดขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นใคร? เข้ามาได้อย่างไร?”
ทหารจวนกับทหารรักษาพระองค์วิ่งฝ่าฝนออกไป แล้วก็เห็นมีคนสองคนล้มอยู่บนพื้น กำลังพยายามลุกขึ้นมาอย่างลำบาก ทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าแปลกประหลาด สวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างรัดตัว บนเสื้อผ้าปักสัญลักษณ์อะไรบางอย่างไว้ ผมสั้นจนแทบจะติดศีรษะแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นรวบมัดผมไว้ สวมเสื้อผ้าแปลกเหมือนกับผู้ชาย อายุทั้งสองคนต่างไม่ถือว่าแก่ น่าจะประมาณสามสิบ สีหน้าผู้ชายงงงัน
ผู้หญิงเห็นทังหยาง ก็เรียกออกมาว่า “ใต้เท้าทัง”
ตอนนี้ ฝนค่อยๆหยุดลง เมฆดำค่อยๆถูกลมพัดไป ท้องฟ้าเริ่มสดใส ทังหยางมองดูผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้ ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก็คิดไม่ออกว่าเป็นใคร จึงถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าคือ?”
ผู้ชายคนนั้นได้ยินผู้หญิงเรียกว่าทังหยาง แววตาเป็นประกาย แล้วก็เดินไปจับมือทังหยาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ที่แท้ท่านก็คือใต้เท้าทัง เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน”
ทังหยางมองดูคนคนนี้ แล้วก็รู้สึกเหมือนคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก แต่กลับไม่รู้ว่าเคยเจอที่ไหน จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นอีกครั้งว่า “ท่านคือ?”
ผู้ชายพูดขึ้นว่า “ข้าชื่อหยวนชิงโจว เป็นพี่ชายของหยวนชิงหลิง”
คนที่มาคือพี่ชายหยวนกับฟางหวู พวกเขาตามหาหยางหรูไห่จนเจออย่างยากลำบาก ขอร้องให้หยางหรูไห่ส่งพวกเขามา
เริ่มแรกหยางหรูไห่ไม่ยินยอม บอกว่าสนามแม่เหล็กของกาลอวกาศบิดเบี้ยวเป็นระยะและแปลกประหลาด ตอนนี้ยังไม่รู้สาเหตุ หากเสี่ยงส่งพวกเขามา หากเกิดการเปลี่ยนแปลง จะทำให้ไม่สามารถกลับมาได้อีกไปตลอด
ฟางหวูเล่าสถานการณ์ให้นางฟัง เป็นเรื่องที่ค่อนข้างด่วนมากจริงๆ หยางหรูไห่จึงต้องเสี่ยงสักครั้ง สุดท้าย เมื่อเข้าสู่อุโมงค์ห้วงเวลา คลื่นแสงก็บิดเบี้ยว เกือบที่จะทิ้งพวกเขาไปยังช่วงเวลาอื่น โชคดีที่สุดท้ายหยางหรูไห่สามารถพลิกสถานการณ์ไว้ได้ โยนพวกเขาออกจากอุโมงค์แห่งเวลา ในระหว่างที่ฟ้าร้องฟ้าผ่าบรรจบกัน
แต่เสียดาย สิ่งของทุกอย่าง ล้วนสูญหายไปหมดแล้ว
เพราะลมฝนหยุดกะทันหัน หยวนชิงหลิงเหมือนได้ยินมีคนเรียกเขาว่าหยวนชิงโจว และเสียงนั่นก็คุ้นเคยขนาดนี้ นางรีบลุกขึ้นมาเปิดประตูมองออกไป
ทังหยางกำลังนิ่งจ้องมอง คนที่บอกว่าตนเองเป็นพี่ชายของพระชายารัชทายาทคนนี้ แล้วก็ได้ยินพระชายารัชทายาท ร้องเรียกขึ้นอย่างดีใจว่า “พี่ชาย”
พี่ชายหยวนหันไปมอง เห็นน้องสาวอุ้มท้องโตเร่งรีบวิ่งมา สายตาเขาแดงก่ำ รีบเดินไปประคองนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ระวังหน่อย”
หยวนชิงหลิงจับมือของเขาไว้ นิ่งจ้องมองดูเขา น้ำตาก็ร่วงไหลลง พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้ากำลังฝันไปหรือ? ข้ากำลังฝันไปหรือ? เจ้ามาแล้วจริงหรือ?”
พี่หยวนยื่นมือออกมา เช็ดน้ำตาบนแก้มของนางอย่างอ่อนโยน พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “เด็กโง่ ไม่ได้ฝันไป พี่มาแล้ว