บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1313 ส่งแม่นมกลับวัง
ผ่านไปสองวัน สำนักนางชีหมิงเยว่ถูกรื้อถอน หยวนชิงหลิงส่งคนเข้าไปช่วย ตัวนางเองก็ไปที่จวนของจิ้งเหอรอให้พวกเด็กๆมาถึง
มีทารกทั้งหมดสิบสามคน เด็กผู้ชายสามคน เด็กผู้หญิงสิบคน โตที่สุดอายุหนึ่งขวบครึ่ง เล็กที่สุด ก็เพิ่งจะสองเดือนเท่านั้น
เด็กชายทั้งสามคนล้วนมีจุดบกพร่องบางอย่าง ผู้หนึ่งปากแหว่ง ผู้หนึ่งมีปานขนาดใหญ่บนใบหน้า เกือบจะปกปิดใบหน้าอีกครึ่งหนึ่ง แต่ใบหน้าอีกด้านหนึ่ง กลับหน้าตาดีเป็นพิเศษ เด็กผู้ชายคนที่สามตาบอด เด็กตาบอดคนนี้เป็นเด็กที่อายุหนึ่งขวบครึ่ง และคนที่โตที่สุดในบรรดาเด็กเหล่านี้
แม่ชีที่มาส่งตามมาบอกกับทุกคนว่า “เด็กผู้หญิงเหล่านี้ล้วนถูกนำมาทิ้งไว้ ครอบครัวยากจน ให้กำเนิดลูกสาวหลายคนเลี้ยงไม่ไหว จึงแอบเอามาวางไว้หน้าประตูสำนักชี โดยปกติแล้วล้วนตัดใจทิ้งเด็กผู้ชายไม่ลง ต่อให้ลำบากก็ยังเลี้ยงไว้ แต่ทั้งสามคนนี้มีจุดบกพร่อง แต่ก็ตัดใจทำให้ตายไม่ลง ก็เอามาทิ้งไว้หน้าประตูสำนักชี เวรกรรมน่ะ ดีที่มีจวิ้นจู่รับเลี้ยงพวกเขาไว้ มิเช่นนั้น อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะจัดให้พวกเขาอยู่ที่ไหนถึงจะดี!”
นางกล่าวพลาง ก็แสดงการขอบคุณจวิ้นจู่จิ้งเหออีกครั้ง
จิ้งเหออุ้มเด็กปากแหว่งผู้นั้นไว้ รีบทำความเคารพตอบ “ไม่จำเป็นต้องกล่าวขอบคุณ ข้าชอบพวกเขา!”
แม่ชีกล่าว “อาตมารู้ว่าจวิ้นจู่จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี แต่ก็จำเป็นต้องกำชับให้มากขึ้นสักคำ ในเมื่อได้ผูกวาสนาที่ดีงามนี้ไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามก็ยังต้องของให้จวิ้นจู่อย่าละทิ้งไม่สนใจพวกเขา”
“ข้าจะไม่ทิ้งพวกเขา!” จิ้งเหอตบหลังเด็กที่ปากแหว่งเบาๆ กล่าวอย่างแผ่วเบา
แม่ชีพนมมือทั้งสองข้าง กล่าวขอบคุณอีกครั้ง
ทุกคนยุ่งอยู่กับงานด้วยกันหมด หยวนชิงหลิงตรวจร่างกายให้เด็กๆทีละคน ดูว่ามีโรคภัยไข้เจ็บหรือไม่ พวกเด็กผู้หญิงล้วนไม่เป็นอะไร แค่ผอมแห้งเล็กน้อย อย่างไรเสียก็อยู่ในสำนักชี ไม่มีอะไรดีๆกิน ทารกก็เล็ก กินอย่างอื่นไม่ได้ ก็ต้องป้อนพวกข้าวต้ม อีกทั้งเหล่าแม่ชีก็กินเจ ก็เป็นธรรมดาที่เด็กๆจะไม่ได้กินแม้แต่ข้าวต้มที่มีเนื้อ
เด็กตาบอดผู้นั้น หยวนชิงหลิงไม่สามารถตรวจสอบสาเหตุออกมาได้ชั่วคราว แต่ดูจากการสังเกตเช่นนี้ ส่วนของดวงตาไม่มีวี่แววจะเปลี่ยนเป็นเกิดโรคได้ นางถามแม่ชี “เด็กคนนี้มาที่สำนักชีตอนที่โตแค่ไหน? มองไม่เห็นตั้งแต่เวลาใด?”
แม่ชีกล่าว “ตอบพระชายารัชทายาท ขณะที่เขามาที่สำนักชีเพิ่งจะเก้าเดือน ตอนนั้นยังแนบจดหมายมาด้วยหนึ่งฉบับ บอกว่าในเดิมทีเขามองเห็น แต่ป่วยรอบหนึ่ง ก็มองไม่เห็นตั้งแต่ตอนนั้นแล้วเพคะ ขณะที่เด็กคนนี้มา เสื้อผ้าก็สง่างาม ยังจะห่อด้วยผ้าแพรต่วนอีก ดูท่าแล้วเป็นลูกของครอบครัวที่ร่ำรวยมีชาติตระกูลเพคะ”
“ลูกของครอบครัวที่ร่ำรวยมีชาติตระกูล? ทำไมต้องโยนทิ้ง?” หรงเยว่กล่าวด้วยความโมโห
แม่ชีทอดถอนใจ “ท่านไม่รู้ ครอบครัวคนรวยนี้กลับถือเรื่องร่างกายที่มีจุดบกพร่องเป็นที่สุด เกรงว่าผู้อื่นจะหัวเราะเยาะ หรือชี้ด่าว่าไม่มีเมตตาธรรมจึงได้ให้กำเนิดบุตรที่มีจุดบกพร่อง ตัดใจทำให้ตายไม่ลงคอ จึงทิ้งไว้แล้วเพคะ”
หรงเยว่กล่าวด้วยความเดือดดาล “หากให้ข้ารู้ว่าพ่อแม่ของเขาเป็นผู้ใด ข้าจะต้องไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่”
หยวนชิงหลิงโบกมือต่อหรงเยว่ ตอนนี้เด็กหนึ่งขวบครึ่งแล้ว ฟังคำพูดของผู้ใหญ่เข้าใจ ไม่ควรพูดต่อหน้าพวกเขามากนัก
นางตรวจให้เด็กอีกครู่หนึ่ง พบว่านอกจากตาจะมองไม่เห็นแล้ว ก็ไม่มีโรคอย่างอื่น เป็นไปได้มากว่าเพราะเส้นประสาทอักเสบจึงทำให้เกิดการมองไม่เห็น นี่อันที่จริงสามารถรักษาได้ แน่นอน ตอนนี้ได้พลาดเวลารักษาที่ดีที่สุดไปแล้ว ใช้ยาก่อน ถึงเวลาเชิญท่านย่ามาฝังเข็ม ดูว่าจะมีความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูการมองเห็นหรือไม่
ยุ่งอยู่กับงานเป็นครึ่งวัน ก็นับว่าได้จัดการที่อยู่ให้พวกเด็กๆทั้งหมดได้แล้ว เด็กๆทุกคนล้วนมีแม่นมโดยเฉพาะ แม่นมรับผิดชอบเลี้ยงดูป้อนอาหารทั้งยังรับผิดชอบดูแลเด็กๆด้วย จวิ้นจู่จิ้งเหอจัดการได้อย่างละเอียดลออเป็นที่สุด
ในจวนนี้ หอด้านข้างเพียงพอ หลังจากที่แม่นมพาเด็กๆกลับไป พี่สะใภ้น้องสะใภ้ก็นั่งลงหารือเรื่องชื่อและนามสกุลของเด็กๆ
ในสำนักชีได้ตั้งชื่อให้เด็กๆแล้ว แต่ชื่อที่คนออกบวชตั้งให้ ล้วนเป็นการเรียกขานทางธรรม อนาคตพวกเขาต้องออกสู่โลกก็ต้องมีชื่อสามัญชน
สุดท้ายก็หารือกำหนดชื่อได้แล้ว นามสกุลชุยตามจิ้งเหอ หยวนชิงหลิงเอาบทกวีประโยคหนึ่งมาตั้งชื่อให้เด็กๆ เย่โหย่วม่านฉ่าว(ในป่ามีต้นหญ้าเถาวัลย์ ) หลิงลู่ปั๋วซี(มีหยดน้ำค้างเป็นประกาย) โย่วเหม่ยอีเหริน(มีหญิงคนหนึ่ง) ชิงหยางหว่านซี(โฉมหน้างดงาม) ตัดโย่วเหม่ยอีเหริน(มีหญิงคนหนึ่ง)ทิ้ง ซีสองตัว ก็เป็นสิบคำพอดี จากชุยเย่ถึงชุยหว่าน ชื่อของเด็กผู้หญิงก็มีแล้ว
สำหรับเด็กผู้ชาย ใช้คำว่าฟู่(กลับคืน)จัดเรียง เด็กปากแหว่งชื่อชุยฟู่เจิ่น เด็กที่มีปานชื่อชุยฟู่หรง เด็กชายตาบอดเรียกว่าชุยฟู่เซิง
ตั้งแต่ออกจากจวนของจวิ้นจู่ หยวนชิงหลิงกลับมาถึงจวน เข้าไปในตำหนักเซี่ยวเยว่ พวกเด็กๆกำลังนอนหลับสนิท หมู่นี้พวกเขาต่างแย่งชิงโอกาสที่จะไปหาคุณยายทางนั้น หยวนชิงหลิงนวดหว่างคิ้ว รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่ในใจเป็นความปีติยินดี และหวังว่าฟางหวูทางนั้นจะมีผลลัพธ์โดยเร็วที่สุด
สำหรับสมองของเจ้าลิง อันที่จริงนางก็เคยลังเลว่าจะบอกหงเย่หรือไม่
หงเย่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเจ้าลิง ถ้าให้เขารู้ว่าเจ้าลิงอาจจะอาศัยร่างกายอีกร่างหนึ่งหรือจิตใต้สำนึกมีชีวิตอยู่ในมิติเวลาใดมิติหนึ่ง เขาน่าจะมีความสุขมาก แต่ว่า ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นของเขา ก็เป็นไปได้มากว่าอาจจะไปตามหา
การตามหาอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ไม่มีผลอันใดทั้งสิ้น เพราะว่า ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเจ้าลิงอยู่ในมิติเวลาใดกันแน่ แม้กระทั่ง จะมีความเป็นไปได้นี้หรือไม่ ก็ไม่แน่ชัด
ดังนั้น ไตร่ตรองทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า นางตัดสินใจไม่บอกก่อน รอฟางหวูทางนั้นศึกษาค้นคว้าต่อ มีผลสรุปแล้วค่อยว่ากันเถอะ
วันรุ่งขึ้นแม่นมสี่ต้องกลับวังแล้ว หยวนชิงหลิงลากคนในบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปพร้อมๆกับนาง สองวันก่อนแม่นมสี่ล้วนอยู่ปรนนิบัติในวัง แต่เพราะตอนนี้พวกเด็กๆไม่ได้เรียนหนังสือในวังแล้ว นางตัดใจจากเด็กๆไม่ได้ จึงอยากกลับมาอีก ผลสรุปหลังจากที่กลับมา ทั้งสามท่านในวังนั้นก็แย่งคน บอกว่าให้นางกลับวังไปโดยเร็วที่สุด
แม่นมสี่แทบอยากจะผ่าตัวเองเป็นสองด้าน ด้านหนึ่งอยู่ในวัง ด้านหนึ่งอยู่ในจวน เด็กและผู้เฒ่า ล้วนเป็นผู้ที่นางเป็นห่วงวางใจไม่ลง ดังนั้น ตลอดทางเข้าวัง นางก็พูดฉอดๆตลอดทาง “หลังจากนี้ข้าจะวิ่งทั้งสองทาง อยู่ในวังสิบวัน อยู่ในจวนสิบวัน”
“แม่นม ท่านไม่ต้องลำบากเพียงนี้ หากว่าท่านคิดถึงพวกข้า พวกข้าก็เข้าวังไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ!” ซาลาเปากล่าวอย่างว่านอนสอนง่าย
แม่นมสี่รีบกอดซาลาเปา มีความสุขเป็นที่สุด “พระราชนัดดาองค์ใหญ่ของข้าเฉลียวฉลาดเป็นที่สุดแล้ว รู้เรื่องเกินไปแล้วเพคะ”
“พวกข้าก็รู้เรื่อง!” ข้าวเหนียวและทังหยวนรีบเบียดศีรษะไปทางด้านหน้า กล่าวอย่างฉลาดที่สุด
“ล้วนรู้เรื่อง ล้วนรู้เรื่องเพคะ!” แม่นมสี่ยื่นมือไปโอบพวกเขา ถอนใจแล้วถอนใจอีก “ไม่อยากเข้าวังแล้ว ไม่เช่นนั้นกลับจวนยังจะดีกว่านะเพคะ”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางเอ่ย “ข้าไม่กล้าแย่งคนกับฝู่ฉู่หรอกนะ ประเดี๋ยวไท่ซ่างหวงออกพระราชโองการลงมา ก็ยังต้องส่งท่านกลับไปอย่างว่านอนสอนง่ายมิใช่หรือ? ท่านน่ะ อย่าเอาแต่คิดเรื่องเด็กๆเลย ตอนนี้พวกเขาก็วิ่งเข้าวังอยู่บ่อยๆ เดือนหนึ่งท่านจะสามารถเจอพวกเขาได้สิบครั้งแปดครั้งอย่างแน่นอน”
แม่นมสี่ถลึงตาทันที “จะพอได้อย่างไรเพคะ? ข้าแทบอยากจะอยู่กับพวกเขาทุกวัน มองดูพวกเขาเติบโตขึ้นในแต่ละวัน ตอนเพิ่งถือกำเนิดก็เป็นข้าที่เลี้ยงดู เป็นแตงกวาน้อยๆเช่นนั้น เลี้ยงดูจนโตเช่นวันนี้ เดินได้วิ่งได้ ปากหวานหยอกล้อให้ผู้อื่นมีความสุข ข้าทิ้งไปไม่สนใจ ข้าจะทำใจได้อย่างไรเพคะ?”
หยวนชิงหลิงคิดในใจ หากทะเลสาบจิ้งทะลุแล้ว พวกเด็กๆต้องไปเรียนหนังสือ เช่นนั้นแม่นมจะต้องคิดถึงพวกเขาแทบตายเป็นแน่
คำพูดนี้ชั่วขณะนี้ก็ไม่กล้าพูด หากพูดไปแล้ว คาดว่านางคงนอนไม่หลับไปหลายคืน
เข้าไปในวังแล้ว พวกเด็กๆก็ติดหนึบกับไท่ซ่างหวงลูกเดียว ไท่ซ่างหวงพอพระทัยเป็นอย่างมาก หยิบสิ่งของมีค่าที่เก็บไว้นานออกมา บอกว่าต้องการแบ่งปันกับพวกเด็ก
หลังจากบอกให้คนหยิบออกมาแล้ว หยวนชิงหลิงจะร้องไห้ก็ไม่ใช่จะหัวเราะก็ไม่เชิง เป็นเหล้าหรุ่ยเอ๋อหงไหหนึ่ง
เซียวเหยากงบอกหยวนชิงหลิง เหล้าหรุ่ยเอ๋อหงไหนี้เป็นของที่เขาแย่งกลับมาจากองค์หญิงพระองค์ใหญ่ทางนั้น
หยวนชิงหลิงแทบจะทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ เรื่องแอบขโมยและแย่งชิงอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ทำจนคุ้นชินแล้วก็เปลี่ยนไม่ได้จริงๆ
ไท่ซ่างหวงมองดูท้องของหยวนชิงหลิงแวบหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ “ไม่จำเป็นต้องแย่งแล้ว รอให้ผ่านไปสักหน่อย ข้าก็สามารถฝังเหล้าหรุ่ยเอ๋อหงได้ทั้งอุทยานอวี้ฮัวแล้ว!