บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1317 การตรึกตรองของฮ่องเต้หมิงหยวน
- Home
- บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์
- บทที่ 1317 การตรึกตรองของฮ่องเต้หมิงหยวน
ฮู่เฟยได้ยินดังนั้น ฝ่ามือหนึ่งตบไปบนหน้าของแม่นมหยู้ ในดวงตาคมขำเต็มไปด้วยความโกรธ “เจ้าช่างบังอาจยิ่งนักจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีความคิดก่อกบฏเช่นนี้ ข้าไม่สามารถเก็บเจ้าไว้ข้างกายเจ้าได้ เจ้ารีบเก็บของเดี๋ยวนี้ ไสหัวออกไปจากวัง”
แม่นมหยู้ไม่เคยคิดว่าฮู่เฟยจะเดือดดาลหนักถึงเพียงนี้ นางตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นด้วยความคับข้องใจ “วันนี้ท่านหญิงเข้าใจข้าน้อยผิด วันหน้าจะต้องรู้ว่าคำพูดชี้แนะของข้าน้อยมีค่าแน่นอนเพคะ ฝ่าบาทได้พระราชทานแต่งตั้งหัวเมืองทั้งห้าให้องค์ชายแล้ว นี่เป็นการชี้ให้เห็นที่ดีที่สุด ท่านหญิงจะต้องคว้าโอกาสที่ดีไว้ คิดวางแผนหาวิธีทำให้ฝ่าบาทปลดฮองเฮา แต่งตั้งท่านเป็น……”
ฮู่เฟยไม่รอให้นางพูดจบ ไฟโกรธแผดเผา ฝ่ามือหนึ่งตบลงไปบนหน้าของนางอีกครั้ง โกรธจนสั่นไปทั้งตัว “เจ้าเพียงแค่ก่อกบฏขัดขืนที่ไหนกัน? เจ้าชั่งบังอาจบ้าบิ่นเกินไปแล้วจริงๆ เก็บเจ้าไว้ในวัง จะต้องเป็นหายนะอย่างแน่นอน เก็บไว้ไม่ได้ หากเจ้าไม่ไป ข้าจะสั่งให้คนส่งเจ้าออกจากเมืองหลวง ทั้งชีวิตนี้ไม่อาจกลับมาที่เมืองหลวงได้อีก!”
นางออกคำสั่งทันที “ให้คนมา!”
ด้านนอกตำหนักมีขันทีและนางกำนัลเดินเข้ามาสองคน โค้งคำนับพร้อมกัน “ท่านหญิงท่านรับสั่ง!”
ฮู่เฟยกล่าวขึ้นอย่างโกรธเคือง “ให้องครักษ์จับตาดูนางเก็บข้าวของ ไม่ให้นางพบเจอองค์ชายสิบอีก หลังจากเก็บข้าวของเสร็จแล้วก็รีบส่งออกจากเมืองหลวงทันที ห้ามชักช้าเด็ดขาด!”
ขันทีและนางกำนัลต่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “ท่านหญิง?”
“ไปจัดการเดี๋ยวนี้ รอช้าไม่ได้!” ฮู่เฟยยกมือขึ้น มองดูแม่นมหยู้อย่างโกรธเคืองแวบหนึ่ง เห็นนางยืนแข็งทื่ออยู่ข้างๆ แววตาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ ในใจยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าไม่สามารถให้นางอยู่ต่อได้อีก ความคิดดึงดันเช่นนี้ สอนไม่ได้แล้ว
“เพคะ!” นางกำนัลเห็นฮู่เฟยโกรธ ไม่กล้าพูดขอร้องอีก รีบออกไปเรียกองครักษ์
แม่นมหยู้กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันเศร้าโศก “ท่านหญิง นี่ท่านจะทำร้ายองค์ชายสิบนะเพคะ เดิมทีเขาก็มีความสามารถที่จะเป็นมาก ท่านไม่ควรขี้ขลาดอ่อนแอนะเพคะ อายุของฝ่าบาทยังน้อย รอจนองค์ชายสิบเติบโต ฝ่าบาทก็ยังไม่ชราเพคะ!”
ฮู่เฟยจ้องมองอย่างดุดันแล้วกล่าว “หากเจ้ายังกล้าพูดเหลวไหลอีกคำหนึ่ง ข้าจะตัดลิ้นเจ้าออกมา”
ฮู่เฟยดุดันขึ้นมา รอบกายแผ่ซ่านอายความเยือกเย็น ทำให้คนมองแล้วเกิดความหวาดกลัว แม่นมหยู้ไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก ยังคงหลั่งน้ำตา หันหลังจากไปด้วยความเศร้าโศก
ฮู่เฟยทั้งเศร้า และทั้งกลัว ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้ว่าความกลัวคืออะไร แต่วันนี้หวาดกลัวแล้วจริงๆ ความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีต่อนาง แม้คนในวังหลังจะไม่กล้าพูดอะไร แต่ในใจก็มีความไม่พอใจอยู่ไม่มากก็น้อย วันนี้คำพูดเหล่านี้ของแม่นมหยู้ หากว่ามีใครได้ยินเข้า ก่อความวุ่นวายใหญ่โตขึ้นมา จะต้องเกี่ยวพันมากน้อยเพียงใดกันนะ
และความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่นี้ ตัวนางเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องได้รับอะไรจากในนั้น คนรอบข้างนางกลับตั้งใจวางแผนขึ้นมาลูกเดียวแล้ว มิน่าล่ะคำพูดที่เจ้าสิบพูดถึงได้โอหังเช่นนี้ ค่อยๆหล่อหลอมทั้งวันทั้งคืน ความตั้งใจของเด็กเป็นสิ่งที่ทำลายได้ง่ายที่สุด เกรงแค่เพียงว่าในตำหนักของนางคนที่มีความคิดเหมือนแม่นมหยู้นี้ ไม่ได้มีเพียงผู้เดียว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกถึงความเหน็บหนาวที่พุ่งขึ้นไปที่จิตใจอย่างฉับพลันทันที กลับไม่รู้ว่าจะกดระงับความปรารถนาของคนในตำหนักเหล่านี้ได้อย่างไร นอนไม่หลับทั้งคืน พลิกตัวไปมา หลังจากที่ตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น นางก็รีบไปน้อมทักทายหวงกุ้ยเฟยทันที นางอยู่ในวัง ที่ไว้วางใจทั้งหมด มีเพียงหวงกุ้ยเฟยเท่านั้น
หวงกุ้ยเฟยได้ยินคำที่นางพูด ก็โกรธหนักมาก “นางกล้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ฮู่เฟย เจ้าเลี้ยงคนพวกไหนกันแน่? ช่างเป็นคำพูดความคิดกบฎโดยแท้จริง หากให้ผู้คนได้ยินคำพูดเหล่านี้ ชีวิตของเจ้ากับเจ้าสิบคงรักษาไว้ได้ยาก”
ฮู่เฟยหน้าซีดเผือด “ท่านหญิง หม่อมฉันไม่รู้จริงๆว่านางจะบังเกิดความคิดชั่วร้ายเช่นนี้ นี่จะทำเช่นไรดีล่ะ? เกรงแค่เพียงว่าในตำหนักของข้าจะไม่ได้มีแค่นางคนเดียวที่คิดเช่นนี้น่ะสิเพคะ”
หวงกุ้ยเฟยมองดูใบหน้าที่ทำอะไรไม่ถูกของนาง รู้ว่านางก็บริสุทธิ์ โกรธนางก็ไร้ประโยชน์ นางขมวดคิ้วแล้วกล่าว “คนในตำหนักของเจ้า เดิมทีก็เปลี่ยนมากลุ่มหนึ่งแล้ว แต่หากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มากกว่าครึ่งก็เป็นคนเก่าแก่ในวัง คนเหล่านี้น่ะ เดิมทีก็อยู่ในตำหนักต่างๆ ล้วนคุ้นชินกับการแย่งชิงอํานาจ ปรารถนาว่าวันหนึ่งจะได้ดีเหนือกว่าผู้อื่น เจ้าได้รับความโปรดปรานยิ่งใหญ่โดยไม่เสื่อมคลาย พวกเขาเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นมา โทษเจ้าไม่ได้ ใครๆก็เฝ้าหวังว่าเจ้าจะได้เป็นนายใหญ่ในวังกลาง เช่นนี้……”
เมื่อหวงกุ้ยเฟยกล่าวเช่นนี้ ก็กลับชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นมาอย่างฉับพลัน “เช่นนั้นแล้วแม่นมหยู้ล่ะ?”
ฮู่เฟยกล่าว “จะกล้าเก็บไว้ได้อย่างไรเพคะ? ส่งออกจากเมืองหลวงไปในคืนนั้นแล้วเพคะ”
“เคยได้ถามนางหรือไม่ว่าได้ไปมาหาสู่กับผู้ใดบ่อยๆบ้าง? คำพูดเหล่านี้ มีผู้ใดพูดกับนางหรือไม่? แม่นมหยู้ผู้นี้ข้าจำได้ว่าท่านย่าของเจ้าเป็นคนจัดเข้ามา ท่านย่าของเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมา ตามหลักแล้วคนที่นางอบรมออกมาก็ไม่ถึงขึ้นเช่นนี้”
ฮู่เฟยตะลึงงันไปครู่หนึ่ง “ไม่เคยถามมาก่อนเพคะ หม่อมฉันคิดว่า เป็นตัวนางเองที่มีความคิดเพ้อเจ้อ ดังนั้นจึงไล่นางออกไปแล้วเพคะ”
นางกดช่วงท้อง จึงรู้สึกว่ากลางท้องเจ็บปวดเล็กน้อย “เรื่องนี้เจ้ารู้สึกแปลกประหลาดหรือไม่?”
“ไม่มั่นใจเพคะ แต่ก็ไม่สามารถวางใจง่ายๆได้ ตอนนี้ดูเหมือนราชสำนักและวังหลังจะมั่นคง แต่ว่า จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง ใครจะรู้? เจ้ากลับไปปรับปรุงสักหน่อย ที่ไม่สามารถเชื่อใจได้ทั้งหมด ก็ไล่ออกไปทั้งหมด ห้ามเก็บไว้อีก” หวงกุ้ยเฟยกล่าว
“ได้เพคะ หม่อมฉันรู้แล้ว หม่อมฉันจะกลับไปจัดการเดี๋ยวนี้เพคะ!” ฮู่เฟยรู้สึกกระวนกระวาย จึงรู้สึกปวดท้องมากขึ้นเล็กน้อย ยื่นมือมากดไว้ เรียกนางกำนัลเข้ามาประคอง
หวงกุ้ยเฟยเห็นดังนั้น เอ่ยถาม “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายหรือ?”
“ปวดท้องเพคะ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อย ตอนนั้นเชิญหมอหลวงมาแล้วเพคะ บอกว่ากินจนท้องไส้ไม่ดี หม่อมฉันโลภกินมากไปเพคะ” ฮู่เฟยกล่าวอย่างจนปัญญา
หวงกุ้ยเฟยกล่าวขึ้นด้วยความโมโห “เจ้าควบคุมปากของเจ้าไว้ ของเย็นๆกินมากไม่ได้แล้ว ตอนนี้เจ้าปวดท้องอยู่ ไม่รีบไป พักผ่อนสักครู่เถอะแล้วค่อยกลับไป ข้าเชิญหมอหลวงเข้ามาตรวจดูชีพจรให้เจ้า”
ฮู่เฟยรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นเล็กน้อย จึงไม่กล้าเดินสะเพร่า “เช่นนั้นก็ได้เพคะ ลำบากท่านหญิงแล้ว!”
วันนี้ตอนเช้าฮ่องเต้หมิงหยวนก็ไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวงแล้ว
เรื่องที่กำหนดออกมาเมื่อวาน เขาก็รู้สึกว่าจำเป็นต้องรายงานไท่ซ่างหวงสักคำหนึ่งจริงๆ
หลังจากที่น้อมทักทายแล้ว พ่อลูกทั้งสองนั่งลงสนทนากันครู่หนึ่ง โสวฝู่ฉู่และเซียวเหยากงก็ยังอยู่เป็นเพื่อนในตำหนัก กินอาหารเช้าพร้อมกัน
ถือโอกาสที่ฝู่ฉู่และเซียวเหยากงอยู่ด้วย ฮ่องเต้หมิงหยวนจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ “การเจรจาสงบศึกคราวนี้ หัวเมืองทั้งห้าที่เป่ยโม่มอบให้มา เมื่อคืนวานข้าได้มีพระราชโองการ พระราชทานให้เจ้าสิบแล้ว ตอนนี้ให้เจ้าพระยาฮู่จัดการดูแลก่อนชั่วคราว รอเจ้าสิบโตแล้ว ค่อยมอบคืนให้เขา เสด็จพ่อคิดว่าเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ?”
โสวฝู่ฉู่และเซียวเหยากงมองไปทางฮ่องเต้หมิงหยวนพร้อมกัน ไท่ซ่างหวงไม่เอ่ยวาจา สนใจเพียงแค่เคี้ยวเมล็ดถั่วที่เหลือในถ้วย ฮ่องเต้หมิงหยวนสังเกตเห็นความผิดปกติ ตะลึงงันครู่หนึ่ง “เสด็จพ่อ ท่านไม่เห็นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่ซ่างหวงเงยหน้าขึ้น “เจ้าบอกข้ามาสิ เจ้าพระราชทานหัวเมืองทั้งห้าให้เจ้าสิบ มีความตั้งอย่างไร?”
แน่นอนว่าฮ่องเต้หมิงหยวนก็มีการวางแผน กล่าวว่า “เสด็จพ่อ ที่ข้าทำเช่นนี้ ก็เพราะเลี่ยงไม่ให้พี่น้องไม่สามัคคีกันในอนาคต ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเจ้าห้าและอ๋องชินคนอื่นๆไม่เลว ไปมาหาสู่กันอย่างกลมกลืน แต่เจ้าสิบกับเจ้าห้าห่างกันยี่สิบกว่าปี ไม่มีมิตรภาพในการเติบโตมาด้วยกัน จึงขาดไม่ได้ ที่จะไม่ได้สนิทสนมเหมือนพี่น้องคนอื่นๆเช่นนี้ อนาคตหากว่าสามารถแยกจากกันเป็นเหนือใต้ ก็จะดีที่สุด หัวเมืองทั้งห้าแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชายแดน ทำเลที่ตั้งซับซ้อน ราษฎรมีนิสัยห้าวหาญ อีกทั้งล้วนเป็นชาวเป่ยโม่ จำเป็นต้องส่งทหารที่เข้มแข็งเข้ามาประจำการ ต้องปกครองด้วยวิธีการที่เข้มงวดจึงจะได้ใจของราษฎร ดูจากขุนนางของทั้งราชสำนัก เจ้าพระยาฮู่เหมาะสมที่สุด อีกทั้งหากเขารู้ว่าหัวเมืองเหล่านี้อนาคตจะต้องเป็นเจ้าสิบ เป็นธรรมดาที่จะทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงตัดสินใจพระราชทานหัวเมืองทั้งห้านี้ให้แก่เขา และถือเป็นการเตรียมการสำหรับวันหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาทระหว่างพี่น้องพ่ะย่ะค่ะ”