บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 132 อำนาจคือสิ่งใด
ทุกคนที่เห็นดังนั้นต่างพากันเข้าไปช่วยประคองนาง พร้อมทำการกดจุดพรั่งพรูรินจง นวดขมับ และปรนนิบัติพัดวีให้กับนาง จนผ่านไปครู่หนึ่งอาการของหลู่เฟยก็ค่อยๆ ดีขึ้นมา แล้วนางจึงพยายามที่จะลุกขึ้นยืน พลางชี้หน้าพระชายาจีด้วยความโกรธเคือง “เหตุใดเจ้าถึงได้กล่าวคำพูดเช่นนี้กับเขา?เขาเหลือความหวังเพียงน้อยนิดเท่านั้นแล้ว เจ้าอยากให้เขาตายถึงจะสาแก่ใจเจ้าใช่หรือไม่?เขาไปทำสิ่งใดให้เจ้าไม่พอใจตรงไหนกัน?เขาเป็นเพียงคนป่วยเท่านั้น ตระกูลข้าไร้คน ไร้ซึ่งสิทธิไร้ซึ่งอำนาจที่จะไปขัดขวางพวกเจ้าหรอก!”
คำพูดนี้ของหลู่เฟย ได้ฉีกหน้าของทุกคนที่มีแต่ความไม่ภักดีและจริงใจ
ใครๆ ต่างก็ทราบกันดีว่าอ๋องจี้นั้นมีความทะเยอทะยานที่จะขึ้นครองตำแหน่งองค์รัชทายาทมากเพียงใด ซึ่งคนอย่างหลู่เฟยก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เท่านั้น ส่วนองค์หญิงองค์อื่นๆ นั้น ก็ไม่จำเป็นไปฉีดหน้ากากอันปลอมของคนอื่นเพื่ออวดความฉลาดหรอก
ทุกคนต่างคิดว่าพระชายาจี้จะมีท่าทีลำบากใจ
แต่ทว่า พระชายาจี้กลับไม่มีท่าทีใดๆ ทั้งสิ้น นางเพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง พลางมองไปยังหลู่เฟย ก่อนที่จะขยับปากพูดอย่างเอือมระอา
“หลู่เฟย คำพูดที่ขัดหูล้วนเป็นคำเตือนที่ดี ข้าทำเช่นนี้ด้วยความหวังดี หากหลู่เฟยไม่รับเอาไว้ก็เพียงเท่านั้น หลายวันมานี้ที่ข้ามาคอยดูแลติดตามที่จวนอ๋องหวย ถือว่าเป็นเพราะข้าทำเพียงฝ่ายเดียวเถิดเจ้าค่ะ”
หลังจากนางกล่าวจบ ก็โน้มตัวเคารพหลู่เฟย ก่อนจะจ้องมองไปยังใบหน้าของหยวนชิงหลิงด้วยสายตาที่นิ่งเฉย “ข้าขอตัวกลับก่อน จงดูแลน้องหกให้ดี”
นางค่อยๆ หันหลังกลับ อกผายไหล่ผึ่ง แม้ในขณะที่ขยับตัวกระโปรงของนางก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ามีข้าบริวารนับพันกำลังเดินตามอยู่ ช่างดูมีอำนาจสง่าผ่าเผยเสียจริง
นี่สิถึงจะเป็นพระชายาจี้ตัวจริง
หยวนชิงหลิงเองก็ได้รับรู้แล้วเช่นกัน
หลังจากที่พระชายาจี้กลับไป ทุกคนต่างเข้าไปปลอบประโลมหลู่เฟยเป็นการใหญ่
หลังจากที่หลู่เฟยมีอาการท่าทางที่ดีขึ้น นางก็หันไปยังหยวนชิงหลิงด้วยสีหน้าที่ยังซีดเซียว
“พระชายาฉู่ เจ้าจงใส่ใจแต่เพียงการรักษาเขาเถอะ ให้เขาทานยา หากเขาไม่ยอมทาน มีชีวิตต่อไปมันก็เพียงเท่านั้น ทั้งยังมีอีกสักกี่คนกันที่รอคอยให้เขาตาย?ตัวข้าไม่ยินยอม ข้าแม้ต้องยอมแลกด้วยชีวิตนี้ก็จะต้องปกป้องเขาเอาไว้ให้ได้”
หลู่เฟยเป็นผู้ที่ไม่กล้าที่จะไปทำเรื่องผิดใจกับผู้ใด แม้ในเวลาปกตินางจะเป็นคนที่พูดจาแข็งกร้าว แต่สำหรับคนอย่าง พระชายาจี้และพระชายาฉีนางไม่เคยคิดที่จะไปผิดใจด้วย และในตอนนี้ที่นางมาถึงจุดนี้ได้ ถ้านางจะทนอีกต่อไป ก็ไร้ศักดิ์ศรีแม้กระทั่งมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
และนางเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าการที่พระชายาจี้มายังจวนอ๋องหวย นั่นเป็นเพียงแค่การแสดงเสแสร้งให้ฝ่าบาทดูเท่านั้น แต่นางก็ยังไม่เข้าไปยุ่มย่าม เพราะขอเพียงแค่ไม่ทำร้ายหวยเอ๋อก็เพียงพอแล้ว
แต่วันนี้เมื่อได้รับรู้ว่าพระชายาจี้กล่าวเรื่องเช่นนั้นกับหวยเอ๋อ ให้เขาตัดใจจากการรักษาเสีย มันทำให้นางไม่สามารถที่จะอดทนได้อีกต่อไป
และตอนนี้ที่นางได้กล่าวเช่นนี้กับหยวนชิงหลิง เพราะตัดสินใจแล้วที่จะสู้จนถึงที่สุด
หยวนชิงหลิงเดินเข้าไปจูงมือหลู่เฟยเดินไปอีกทาง แล้วกดเสียงต่ำลง : “หลู่เฟย วันนี้ทุกอย่างมาถึงจุดนี้แล้ว ข้าขอให้คำมั่นกับท่านว่า อาหารการกินทั้งหมดของอ๋องหวยขอเพียงดูแลระมัดระวังอย่างดี โดยไม่มีผู้ใดเข้าไปทำการร้ายสิ่งใด ข้าก็มั่นใจเป็นอย่างมากเลยว่าสามารถรักษาอ๋องหวยให้หายดีได้”
หลู่เฟยกุมมือนางแน่นพร้อมกับเบิกตากว้าง “ความหมายของเจ้าคือ?”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ “หลู่เฟย องค์ชายมีจำนวนหลายพระองค์เช่นนี้ แต่ตำแหน่งของรัชทายาทนั้นมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น”
“แต่ว่าหวยเอ๋อ กล่าวตามตรงเลยเขาไม่มีอำนาจที่จะไปแย่งชิงได้เลย”
“เขาอาจไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นองค์รัชทายาท แต่ว่าเขาสามารถสนับสนุนคนที่เขาอยากให้เป็นได้ ฝ่าบาทสงสารเขาป่วยมาเนิ่นนาน ก็ต้องรักและใส่ใจกับเขาเป็นพิเศษ มีความรักและใส่ใจกับเขาเป็นอย่างมาก หากเขากล่าวถึงผู้ที่เขาต้องการสนับสนุนแก่ฝ่าบาท ……ท่านแม่ลองคิดดูให้ถี่ถ้วน” หยวนชิงหลิงกล่าวเตือน
หลู่เฟยราวกับว่าเพิ่งตื่นจากฝัน ตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาจากดวงตาอันกลมโต
“ข้าเพียงแค่หวังให้เขามีชีวิตต่อไป เรื่องเหล่านั้นมันไม่สำคัญสำหรับเขา”
“พระชายาจี้มาที่นี่เพื่อถวายพระพรจริงหรือ?ใช่แล้ว หากว่าอ๋องหวยจากไป นางก็จะตกไปอยู่ในยศพี่สะใภ้เสียน แต่หากอ๋องหวยยังมีชีวิตต่อไป และไม่เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น หลู่เฟยและอ๋องหวยจะรู้สึกขอบพระทัยนางหรือไม่?แล้วจะยินยอมร้องเพลงสรรเสริญพวกเขาสองคนอย่างสุดความสามารถต่อหน้าของฝ่าบาทด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”
หลู่เฟยที่ฟังหยวนชิงหลิงพูดไป พลางคิดวิเคราะห์ไป ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนแล้วมองไปยังหยวนชิงหลิงอย่างกะทันหัน “เช่นนั้นเจ้า……”
ใช่แล้ว ในเมื่อพระชายาจี้มีความคิดเช่นนี้ แล้วพระชายาฉีและพระชายาฉู่เล่า?
หยวนชิงหลิงยิ้มแหยะๆ ออกมา “ข้าไม่ได้ต้องการทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ แต่อย่างน้อยๆ ข้าอยู่ที่นี่ก็เป็นหมอคนหนึ่ง หมอที่ถ้าหากไม่สามารถรักษาอ๋องหวยให้หายได้ก็จะถูกฝ่าบาทลงโทษ ข้าเองไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ที่จะใช้ชีวิตของตัวเองมาทำให้ผู้อื่นบรรลุเป้าหมาย”
“คำพูดสวยๆ ใครพูดไม่เป็นล่ะ?แต่ใจคนนั้นยากจะหยั่งถึง” หลู่เฟยยังคงไม่วางใจ
หยวนชิงหลิงกล่าวตอบ : “ใช่แล้วเจ้าค่ะ บางทีข้าอาจจะคิดเช่นเดียวกับพระชายาจี้ แต่ว่าตอนนี้หลู่เฟยไร้ซึ่งทางเลือก จำต้องเชื่อข้าเท่านั้น”
การอธิบายบางครั้งก็ไร้ประโยชน์ หลู่เฟยเองก็ไม่อาจที่จะเชื่อเช่นกัน
การแสดงถึงจุดประสงค์อื่น อาจทำให้ผู้อื่นวางใจ
หลู่เฟยไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ : “ได้ เช่นนั้นเจ้าจงตั้งใจรักษาอย่างสุดความสามารถ หากรักษาหายแล้ว พวกเราสองแม่ลูกติดหนี้ชีวิตจวนอ๋องฉู่ของพวกเจ้า”
หยวนชิงหลิงกล่าวต่อ : “ข้าสามารถรักษาได้ แต่ท่าทีของอ๋องหวย ยังคงต้องขอร้องให้หลู่เฟยช่วยเปลี่ยนให้ด้วยเจ้าค่ะ
หลู่เฟยยกมือขึ้นเรียกให้สาวใช้มาประคองนางเข้าไปด้านใน
เจ้าหญิงโล่ผิงและหยู่เหวินหลิงเดินเข้าไปหาหยวนชิงหลิง
หยวนชิงหลิงแบบมือออก “ข้าเองก็ไร้ซึ่งหนทางถึงได้ทะเลาะกับพระชายาจี้”
หยู่เหวินหลิงกล่าวขึ้นมา : “ดีแล้วเจ้าค่ะ” นางเองก็ไม่ได้ชื่นชอบพระชายาจี้มากนัก
เจ้าหญิงโล่ผิงส่ายหน้าพร้อมพูดอย่างถอนหายใจ : “ประมาทเกินไป พระชายาจี้คนนี้ไม่ใช่คนที่น่าคบหาสมาคมด้วยหรอก วันนี้ผิดใจกับนาง วันหน้ายังไม่รู้เลยว่านางจะทำการสิ่งใดต่อเจ้าแก่น้องห้าอีก”
หยวนชิงหลิงพูดอยู่ในใจ :ถึงต่อให้ไม่มีเรื่อง พวกเขาสองสามีภรรยาก็ไม่มีทางปล่อยหยู่เหวินเห้าไปหรอก
ก่อนหน้านี้ที่หยู่เหวินเห้าถูกลอบสังหาร ก็คือฝีมือของอ๋องจี้
แต่สิ่งนี้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวออกมา นางจึงกล่าวตอบแก่เจ้าหญิงโล่ผิง : “เวลานี้คนที่ไม่ควรไปผิดใจด้วยก็ผิดใจแล้ว โรคของอ๋องหวยถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ข้าว่ารักษาอ๋องหวยให้หายก่อนแล้วค่อยว่ากันจะดีกว่า”
เจ้าหญิงโล่ผิงพยักหน้า “มีเหตุผล เช่นนั้นก็ว่าตามนี้ไปก่อน แต่ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมา ข้าเองไม่สามารถที่จะช่วยอะไรเจ้าได้หรอกนะ”
“ข้าช่วย!” หยู่เหวินหลิงกล่าวอย่างองอาจ
เจ้าหญิงโล่ผิงจิ้มลงบนหน้าผากของนางทีหนึ่งอย่างแรง “เจ้าน่ะ จงระวังปากของเจ้าเอาไว้ให้ดี ยังไม่รู้อีกว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าเจ้าหญิงโล่ผิงนั้นเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์เป็นอย่างมาก
นางเป็นคนหนึ่งรู้ทันเหตุการณ์ มีความอดกลั้น แต่ก็ไม่ดื้อรั้นที่จะออกหน้าเกินเหตุ
นางช่างเข้าใจโชคชะตาชีวิตขององค์หญิงเกินไปแล้ว
ถ้าหากท้ายที่สุดแล้วอ๋องจี้ได้ขึ้นครองราชย์จริง แล้วตัวนางเคยมีเรื่องบาดหมางกับอ๋องจี้ วันข้างหน้าจะต้องอยู่ยากเป็นแน่
หยู่เหวินหลิงนั้นยังไม่เข้าใจ เพราะอายุยังน้อย
แต่ว่าบางคนก็มีนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เกิดกับการมีนิสัยที่โดดเด่นชัดเจน
นางเชื่อว่าหยู่เหวินหลิงเป็นเพียงผู้ที่มาทีหลัง
จึงไม่รู้ว่าหลู่เฟยนั้นได้กล่าวสิ่งใดกับอ๋องหวย จนกระทั่งในตอนที่หยวนชิงหลิงได้เข้าไปอีกครั้ง ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปทุกอย่างเสียแล้ว
ถึงอย่างนั้นหยวนชิงหลิงก็ยังดูออกว่า เขายังทำเพียงเพื่อให้หลู่เฟยรู้สึกสบายใจเท่านั้น
โดยที่ใจของเขานั้นละทิ้งทุกอย่างและสิ้นหวัง
ช่วงนี้จะรีบร้อนไม่ได้ หยวนชิงหลิงได้แต่ปลอบใจตัวเองอยู่เช่นนี้
โรคมีหลากหลายประเภทหลากหลายชนิด คนป่วนเองก็เช่นกัน การเป็นหมอไม่อาจไปจู้จี้จุกจิกกับคนป่วยได้
เพื่อที่จะดูอ๋องหวยทานยา หยวนชิงหลิงจึงรอจนถึงยามซวี(เวลา19.00-21.00)จึงจะกลับจวน
นางอยู่หน้าประตูมองอยู่ครู่หนึ่ง หยู่เหวินเห้าไม่ได้มารับนาง ในใจไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงได้มีความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยปรากฏขึ้น
กู้ซือมารับส่ง รถม้าเคลื่อนตัวบนพื้นหินบลูสโตนไปเรื่อยๆ หยวนชิงหลิงที่จิตใจสับสนไปหมด ไม่สามารถที่จะนั่งอีกต่อไปได้ จึงดึงผ้าม่านขึ้นออกแล้วพูดว่า : “จอดรถ!”
รถมาหยุดชะงักลง กู้ซือจึงรีบหันหลังกลับไปถาม : “พระชายา มีเรื่องอันใดหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงกระโดดลงมาจากรถ แล้วกล่าวตอบ : “ข้าอยากจะเดินเสียหน่อย จิตใจมันว้าวุ่น”
กู้ซือลงมาแล้วเดินจูงม้าไป : “ได้ เช่นนั้นหม่อมฉันก็จะเดินไปพร้อมกับพระชายา”
หยวนชิงหลิงีความหนักใจยิ่งขึ้น เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้นางเข้าใจได้เลยว่าต่อให้นางจะเต็มใจหรือไม่นั้น สุดท้ายแล้วนางก็ต้องเข้าไปในวังวนนี้อยู่ดี
เหตุใดนางถึงไม่รู้ว่าไม่ควรไปยั่วยุพระชายาจี้?
วันนี้บาดหมางกับนาง ในวันข้างหน้าไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ต้องคอยระมัดระวังทุกฝีก้าวแล้ว
ปืนที่ทำการยิงอย่างโจ่งแจ้งนั้นง่ายที่จะหลบ แต่ลูกธนูที่อยู่ในที่ลับนั้นที่จะป้องกัน ต่อให้นางมีไท่ซ่างหวงคอยเป็นที่พึ่งพิง แต่ก็ไม่หลบพ้นแผนการและกลอุบายของผู้ร้ายได้หรอก
“กู้ซือ อำนาจคืออะไรกัน?” นางถอนหายใจออกมา พร้อมคำถา