บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1333 หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ
คำพูดนี้ของย่าหยวนไม่เปิดให้เขาแก้ต่างว่าตนลำเอียงหรือไม่ โดยรวมแล้วเป็นการระบุความผิดเขาก่อนที่จะวิเคราะห์
ฮ่องเต้หมิงหยวนมีความฉงนอยู่ในดวงตา มองย่าหยวน “โปรดบอกรายละเอียด!”
ย่าหยวนเอ่ยปากด้วยความเมตตา “ข้าน้อยถือความที่กินเกลือมาหลายปี ปากตรงไม่เกรงใจ ขอฝ่าบาทโปรดอภัยโทษให้ข้าน้อยด้วยเพคะ องค์รัชทายาทเป็นเจ้าคน เป็นโอรสของพระองค์ พระองค์ให้เขาลำบากเสียเปรียบบ้าง ทุกคนอย่างมากแค่สงสารเท่านั้น ไม่กล้าเอาความกับพระองค์ เพราะทุกคนเข้าใจว่าทรงเป็นพระบิดา ทรงหวังดีกับเขาแน่ แต่ครั้งนี้ผู้ที่ทรงทำร้ายคือองค์ไท่ซ่างหวงกับโสวฝู่ฉู่ พวกเขาทั้งสองตรากตรำเพื่อแผ่นดินเป่ยถังจนผมขาวโพลน และที่ผิดที่สุดก็คือทรงดึงท่านหญิงฮู่เฟยกับองค์ชายสิบมาเกี่ยวข้องด้วย ตอกย้ำความลำเอียงของพระองค์ต่อหน้าองค์ไท่ซ่างหวงอีกครั้ง เพราะเรื่องหัวเมืองที่องค์ไท่ซ่างหวงตรัสกับพระองค์เป็นเรื่องบ้านเมือง เป็นแผนการในอนาคตอีกยี่สิบสามสิบปีของเป่ยถัง ส่วนพระองค์กลับมองว่าจะให้องค์ชายสิบน้อยหน้ามิได้ ที่ทรงตรัสเป็นเรื่องในครอบครัว เพื่อเรื่องในครอบครัวละเลยเรื่องบ้านเมือง หากเปลี่ยนสถานะ ทรงอยู่ในตำแหน่งขององค์ไท่ซ่างหวง แล้วองค์รัชทายาทอยู่ในตำแหน่งของพระองค์ พระองค์จะทรงคับใจที่ไม่เป็นดังประสงค์หรือไม่เพคะ? ต้องเข้าพระทัยว่าพระองค์นอกจากจะเป็นฮ่องเต้ของฮู่เฟยแล้ว ทรงยังเป็นฮ่องเต้ของคนใต้หล้าเช่นกัน”
ฮ่องเต้หมิงหยวนชะงักงันมองนาง “ว่าต่อไป!”
ย่าหยวนเอ่ย “ทรงตรัสว่าองค์ไท่ซ่างหวงลำเอียง โปรดแต่องค์รัชทายาท ไม่โปรดองค์ชายสิบ นั่นเพราะพระองค์เห็นองค์ไท่ซ่างหวงเป็นคนชราในครอบครัว แต่โดยมากแล้วพระองค์อยู่ในฐานะไท่ซ่างหวงของเป่ยถัง ดังนั้นขณะที่องค์ไท่ซ่างหวงกับหารือเรื่องบ้านเมืองกับพระองค์ ก็ทรงอยู่ในฐานะพระบิดาเช่นเดียวกับพระองค์ กับพระนัดดาทั้งสอง ก็ทรงทอดพระเนตรแต่ผลประโยชน์ในภายภาคหน้าของเป่ยถังเท่านั้น สำหรับเรื่องส่วนตัว เวลาที่มิได้หารือเรื่องบ้านเมือง องค์ไท่ซ่างหวงทรงปฏิบัติมิดีกับองค์ชายสิบหรือไม่เพคะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนไตร่ตรอง “หากไม่พูดถึงเรื่องนี้ ก็มิได้ทำมิดีจริงๆ เพียงแต่…”
ย่าหยวนยิ้มเล็กน้อย “เพียงแต่มิได้ปฏิบัติเป็นพิเศษ มิได้โปรดเป็นพิเศษใช่หรือไม่เพคะ? เพราะทรงให้ความสำคัญกับฮู่เฟยและองค์ชายสิบ ดังนั้นจึงคิดว่าผู้อื่นก็ควรเอาใจพวกเขาแม่ลูกด้วย พระองค์ถึงจะพอพระทัย ที่จริงจุดนี้ข้าน้อยเข้าใจได้เพคะ ข้าน้อยรักองค์รัชทายาทมากกว่า ดังนั้นข้าน้อยก็หวังว่าทุกคนจะรักเขาเช่นเดียวกับข้าน้อย”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองนาง “เช่นนั้นฮูหยินใหญ่เป็นผู้เหตุผล”
ย่าหยวนยิ้มบางต่อ “แต่ที่ข้าน้อยรักองค์รัชทายาทมากกว่า นั่นเพราะทราบว่าองค์รัชทายาททุ่มเทให้บ้านเมือง ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก ตั้งแต่เรื่องบ้านเมืองไพร่ฟ้าจนถึงเรื่องสงครามเป่ยถัง องค์รัชทายาทใช้ชีวิตเพื่อความภักดี ความเคารพที่ประชาชนมีต่อเขา ไม่ใช่เพราะทรงเป็นองค์รัชทายาท แต่เพราะความกล้าหาญจงรักภักดีและคุณธรรมของเขา ประชานิยมของเขาสั่งสมทีละเล็กทีละน้อย ใช้ชีวิตสั่งสมมาเพคะ”
ดวงตาฮ่องเต้หมิงหยวนสั่นคลอนเล็กน้อย “ข้ารู้ ฉะนั้นข้าถึงรู้สึกโชคดีที่ไท่ซ่างหวงยืนกรานตั้งเขาให้เป็นรัชทายาท ข้าภูมิใจในตัวเขา”
“เพคะ ในฐานะพระบิดาขององค์รัชทายาท ทรงควรภูมิใจ องค์ไท่ซ่างหวงก็ภูมิใจในตัวเขาเช่นกัน ขณะที่พระองค์กับองค์ไท่ซ่างหวงทรงยื้อยุดเรื่องห้าหัวเมืองนั้น ทรงตรัสว่าจะประทานหัวเมืองที่เจริญกว่านี้ให้องค์ชายสิบก็ได้ แต่ในทางกลับกัน หากองค์ไท่ซ่างหวงเพียงแค่ประสงค์ประทานให้พระนัดดา เช่นนั้นก็ประทานหัวเมืองที่เจริญกว่านี้ก็ได้ เหตุใดจำต้องชิงห้าหัวเมืองนี้กับพระองค์ด้วยเพคะ? ทรงคิดว่าเวลานี้โปรดองค์ชายสิบเช่นนี้ดีกับเขาจริงหรือ? ทรงเคยคิดบ้างไหม ว่าการโปรดปรานลำเอียงเช่นนี้จะทำให้นิสัยองค์ชายสิบแปลกออกไป? กระทั่งอาจเป็นภัยกับเป่ยถังในอนาคต?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึงงัน มองนาง “ไท่ซ่างหวงเคยตรัสอะไรกับฮูหยินใหญ่ใช่หรือไม่?”
ย่าหยวนพยักหน้า “ไม่ผิด ข้าน้อยเคยสนทนาเป็นการส่วนตัวกับองค์ไท่ซ่างหวงเพคะ ความกริ้วขององค์ไท่ซ่างหวง ด้วยที่พระองค์ไม่แบ่งแยกส่วนตัวกับส่วนรวม ทรงลดความสำคัญของบ้านเมืองเท่ากับเรื่องในครอบครัว องค์ไท่ซ่างหวงยอมรับผลงานที่ทรงปกครองเป่ยถังในหลายปีนี้ ทว่าองค์ไท่ซ่างหวงพระชนมายุมากแล้ว ทรงหวังว่าพระองค์จะดียิ่งกว่านี้ เพราะองค์ไท่ซ่างหวงไม่อาจยืนอยู่หลังคุ้มครองพระองค์ได้ตลอด ทรงหวังว่าพระองค์จะไม่ลำเอียง ฐานะขององค์รัชทายาทกำหนดแล้ว ต้องทำให้ฐานะของเขามั่นคงในราชสำนัก จำเป็นต้องเชื่อมั่นและปล่อยอำนาจแต่พอเหมาะ เช่นเดียวกับที่องค์ไท่ซ่างหวงปล่อยอำนาจให้พระองค์ในหลายปีนี้”
ฮ่องเต้หมิงหยวนเริ่มกระจ่างใจขึ้นทีละนิด “ไท่ซ่างหวงยังตรัสอะไรอีก?”
ย่าหยวนเอ่ยเสียงเบา “ทรงหวังว่าพระองค์จะเห็นองค์รัชทายาท”
“เห็นรัชทายาท? หมายความว่าอย่างไร?” ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึง
ในดวงตาย่าหยวนหยวนมีอารมณ์อบอุ่นและจริงใจ “มองเห็นเขา เห็นทุกสิ่งที่เขาทำ จากฐานะพ่อคนหนึ่ง เห็นเขา ความชื่นชมที่เขาได้รับมาจากเจ้าแผ่นดินได้ แต่โดยมากแล้วหวังให้มาจากความเป็นพ่อมากกว่า ฝ่าบาท องค์รัชทายาทเป็นโอรสของพระองค์นะเพคะ คนหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนั้น เป็นโอรสของพระองค์ ทรงต้องภาคภูมิในโอรสคนนี้จริงๆ มิใช่ภูมิใจกับองค์รัชทายาท”
ฮ่องเต้หมิงหยวนรู้สึกว่าโลหิตร้อนระอุขึ้นมา ขับเคลื่อนไปทั่วร่างช้าๆ เจ้าห้า…ในหัวสมองของเขาแวบใบหน้าแน่วแน่ของเขา วาจาการกระทำของเขา ความเด็ดขาดในการทำงานของเขา ความสามารถชาญฉลาดของเขา การตัดสินใจเฉียบพลันปฏิภาณของเขา ลูกชายของเขา
“เขาเป็นรัชทายาทที่พระองค์แต่งตั้งขึ้นเองนะเพคะ มิใช่องค์ไท่ซ่างหวง” ครั้นย่าหยวนกล่าวประโยคนี้จบก็ยืนขึ้นย่อคำนับแล้วหันตัวจากไป
ฮ่องเต้หมิงหยวนหลับตาลง เรื่องสองสามวันนี้คละเคล้าอยู่ในหัวสมอง เขามีความน้อยใจและเจ็บใจ เคยตรึกตรองสำนึกผิด ทว่าคำพูดเหล่านี้ของฮูหยินใหญ่ทำให้เขาดั่งบัวที่ขึ้นเหนือน้ำ รู้แจ้งทุกสิ่ง
แต่หากจะบอกว่าคำพูดเหล่านี้เป็นฮูหยินใหญ่กล่าว ที่จริงฮูหยินใหญ่มาสื่อความแทนไท่ซ่างหวงเท่านั้น ไท่ซ่างหวงยังไม่ละความพยายามในตัวเขา
ดวงตาเขาพลันเกิดหมอกขึ้นเรื่อยๆ ลุกขึ้นยืนพรวด “เตรียมเกี้ยวไปตำหนักฉินคุน!”
หนึ่งก้านธูปผ่านไป เขาคุกเข่าอยู่นอกตำหนักฉินคุน โขกศีรษะกับตำหนัก “หม่อมฉันมาขอรับพระอาญา หม่อมฉันทราบความผิดของตัวเองแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเสด็จพ่ออย่าทรงกริ้ว เสด็จพ่อโปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วย เสด็จพ่อโปรดกรุณาให้หม่อมฉันเข้าตำหนักเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”
ครู่หนึ่งในตำหนักก็มีเสียงหนักของไท่ซ่างหวงดังมา “ไปรอข้าที่ตำหนักข้าง!”
ฮ่องเต้หมิงหยวนลุกขึ้นยืน ดวงตายากจะกลั้นน้ำตาไหว มือหนึ่งปาดไป สาวเท้ายาวไปตำหนักข้าง อยู่รอด้านนอกครู่หนึ่ง คนในตำหนักก็ออกมาเชิญ ครั้นเขาผลักประตูเข้าไปแล้วก็ตรงดิ่งไปหาไท่ซ่างหวง ถลาคุกเข่าตรงหน้าเขา สะอื้นเอ่ย “เสด็จพ่อ หม่อมฉันผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่ซ่างหวงมองฮ่องเต้ที่คุกเข่าตรงหน้าตน มีความรู้สึกร้อยแปดปนเปอยู่ในใจ เป็นเขาที่ให้ฮูหยินใหญ่ไป และเป็นเขาที่ให้ฮูหยินใหญ่บอกเล่าคำพูดเหล่านั้น เขาคิดอยู่ในใจ หากเขาลงอาญาฮูหยินใหญ่ที่พูดเช่นนั้น เช่นนั้นระหว่างพ่อลูกก็มิต้องรักษาความสัมพันธ์ไว้อีก
แต่หากเขาคิดได้ เป็นประโยชน์ต่อเป่ยถัง เช่นนั้นเขาก็ยังเป็นฮ่องเต้ของเป่ยถัง
ครั้นฮ่องเต้หมิงหยวนหลั่งน้ำตาเจ็บปวดสะเทือนใจ ไม่รู้ดีชั่ว ไท่ซ่างหวงเคยมีความคิดปลดฮ่องเต้
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ!” ไท่ซ่างหวงกล่าวเนิบ
ฮ่องเต้หมิงหยวนปากสั่น มองไท่ซ่างหวง ไม่ยอมลุกขึ้นยืน ยังคงสะอื้นเอ่ย “เสด็จพ่อ หม่อมฉันผิดไปแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ผิดหนักหนาร้ายแรง หม่อมฉันทำให้ทรงผิดหวัง”
“เจ้าลองพูดมา เจ้าผิดตรงไหน?” ไท่ซ่างหวงมองเขา
หัวใจฮ่องเต้หมิงหยวนรวดร้าว นึกเสียใจนัก “หม่อมฉันผิดที่ไม่แบ่งแยกเรื่องบ้านเมืองกับเรื่องครอบครัว หม่อมฉันผิดที่ลำเอียงไม่คำนึงถึงส่วนรวม ผิดที่วางมาดเป็นฮ่องเต้กับลูกๆ ห่างเหินความเป็นครอบครัว แต่กลับลำเอียงทำท่าเป็นพ่อผู้เมตตากับเจ้าสิบ ไม่ให้เขารู้จักเกรงกลัวพระบิดา จนทำให้เขาทำตามอำเภอใจ ไม่รู้จักกลัว หม่อมฉันรู้ความผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ การเอาใจแต่ฮู่เฟยทำให้วังหลังไม่สามัคคี ทำร้ายจิตใจสนมที่อยู่เคียงข้างลูกมาหลายปี การเอนเอียงกับเจ้าสิบก็ทำให้นิสัยเขาบิดเบี้ยวโอหัง ทำให้สูญเสียความสมานฉันท์เชื่อฉันในหมู่พี่น้อง กระทั่งจะเป็นภัยกับเป่ยถังในอนาคตอีก”
นัยน์ตาไท่ซ่างหวงจับอยู่ที่ตัวเขา เอ่ยเสียงแหบ “หวังว่า เจ้าจะรู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหนจริงๆ”
“หม่อมฉันทราบพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไท่ซ่างหวง “หม่อมฉันเข้าใจคำพูดนั้นที่เมื่อก่อนทรงตรัสสักที เมื่อเป็นฮ่องเต้ ก็ไม่มีตัวของตัวเองอีก!”