บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1336 ข้าจะอยู่ที่นี่
เข้าประตูมาก็เห็นแม่นมดูแลตำหนักน้ำตาตกอยู่ที่หน้าระเบียงตำหนักฉางเหมิน หยวนชิงหลิงเร่งเท้าเดินเข้าไป ถามด้วยหน้าขาว “ท่านหญิงล่ะ?”
แม่นมดูแลตำหนักสะอื้นเอ่ย “พักอยู่ด้านในเพคะ พระชายารัชทายาทท่านรีบเข้าไปเถอะเพคะ”
หยวนชิงหลิงสูดหายใจเข้าลึก ความเหน็ดเหนื่อยไปมาตลอดหลายวันนี้ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อยอย่างที่ฮู่เฟยว่าอย่างนั้น
เมื่อย่างเข้าตำหนักก็ได้กลิ่นราผุพังทะลักเข้ามา เครื่องเรือนที่นี่ไม่มาก แต่ก็ขึ้นรางอกขนนานแล้ว บรรดาบ่าวไพร่เช็ดถูอยู่นาน แต่ก็ยังลบแต้มจุดที่สั่งสมมานานเหล่านั้นไม่ได้
แสงอึมครึม หยวนชิงหลิงเข้าตำหนัก ที่นี่ยังมีกลิ่นราเหมือนเดิม หวงกุ้ยเฟยนั่งอยู่หน้าเตียงที่เพิ่งปูเสร็จ จัดเสื้อผ้าตัวน้อยด้วยตนเอง เสื้อผ้าเหล่านี้เป็นของที่นางทำให้เด็กที่อยู่ในท้อง บัดนี้ย้ายมาย่อมต้องจัดเก็บให้ดี
พอเห็นหยวนชิงหลิงมา นางก็ยิ้ม “มาแล้วหรือ?”
น้ำเสียงเบาเรียบ ราวกับปกติ
“ย้ายออกไปเถอะเพคะ ประทับอยู่ที่นี่ไม่ได้!” หยวนชิงหลิงไอยกหนึ่ง กลิ่นฉุนจมูกมาก อากาศอย่างกับชื้นแฉะ
“ที่นี่ไม่เลว!” นางเอียงศีรษะมอง ยิ้ม ริ้วรอยที่หางตายกขึ้น ไม่ดูมีอายุ ทั้งยังให้รู้สึกสง่างามนิ่งสุขุม “จัดเก็บหน่อยก็เรียบร้อย เจ้านั่นแหละที่ไม่ควรมา!”
หยวนชิงหลิงแทบจะร้องไห้ “เป็นเพราะหม่อมฉัน จะให้หม่อมฉันเห็นท่านแม่ลำบากพระองค์เองได้อย่างไรเพคะ?”
หวงกุ้ยเฟยตบๆ ขอบเตียง เอ่ยเสียงนุ่ม “นั่งลงพูด อย่าตื่นไป”
หยวนชิงหลิงนั่งลง สูดลมหายใจ รู้สึกกลิ่นราแทรกเข้าจมูกอีก รู้สึกแย่นัก “ประทับอยู่ที่นี่ไม่ได้เพคะ ผุพังแล้ว โครงสร้างตำหนักก็ไม่รู้จะทลายลงมาเมื่อไร!”
“ดีสิ ดี!” หวงกุ้ยเฟยหัวเราะ ตบมือนาง “เช่นนั้นข้าก็ถือว่าได้อยู่ร่วมเป็นตายกับตำหนักนี้จริงๆ”
ขณะที่นางตบมือหยวนชิงหลิง ก็หันหน้าตรงกับนาง รอยนิ้วมือที่อยู่ใบหน้าด้านขวาจึงไม่ถูกปกปิดอีก
หยวนชิงหลิงเจ็บในใจ ดวงตาแดงก่ำ มองใบหน้านาง เอ่ยถามเสียงแหบ “เจ็บไหมเพคะ?”
“เจ็บ!” หวงกุ้ยเฟยก้มหน้า นิ้วมือวาดผ่านเสื้อผ้าตัวน้อยเบาๆ เอ่ยเสียงค่อย “เคยเจ็บ ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว”
“หม่อมฉันจะไปเข้าเฝ้า!” หยวนชิงหลิงแค้นจนไม่อยากเรียก ‘เสด็จพ่อ’ อีก นางจะให้หวงกุ้ยเฟยรับความอยุติธรรมเพราะนางไม่ได้
“อย่า!” หวงกุ้ยเฟยยื่นมือดึงข้อมือนางไว้ ดวงตาลึก “แบบนี้ก็ดี ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างสงบ เรื่องในวังหลังใครอยากจัดการก็จัดการไป ข้าเหนื่อยแล้ว”
“ท่านแม่” หยวนชิงหลิงสะอื้น คำพูดเหล่านี้ฟังแล้วทำให้หัวใจแตกสลาย “หากไม่อยากเสด็จกลับ เช่นนั้นก็ไปจวนอ๋องฉู่ ประทับอยู่กับหม่อมฉันกับเจ้าห้า พวกเราจะดูแลท่านเอง”
หวงกุ้ยเฟยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน แต่ไม่ต้องรีบ ไว้ข้าคลอดแล้วค่อยว่ากัน เด็กคนนี้ต้องเกิดในวัง”
หยวนชิงหลิงรู้ว่านางบอกปัด นางไม่ไปจวนอ๋องฉู่ เด็กคลอดที่จวนอ๋องฉู่ดีกว่าคลอดในที่ซอมซ่อเช่นนี้มาก
“อย่าทำแบบนี้ แม้แต่ข้าก็ไม่เสียใจแล้ว เจ้ายังจะเสียใจอะไรอีก? จริงสิ ฮู่เฟยเป็นอย่างไรบ้าง?”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจ “เด็กตายแล้วเพคะ แต่ทรงเป็นห่วงท่านแม่มาก”
ใบหน้าหวงกุ้ยเฟยเผยอารมณ์เศร้า มิใช่เพราะตัวเอง แต่เพราะเด็กในครรภ์ของฮู่เฟย “ถึงจะเตรียมใจไว้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ก็ยังรู้สึกเสียใจนัก ที่จริงข้าผิดต่อฮู่เฟย หากข้าหวังดีต่อนางจริง ก็ควรให้คนไปตามเจ้าแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ในใจข้าก็คำนึงถึงความสำคัญของบุคคลเช่นกัน ฮู่เฟยเชื่อถือข้ามาก แต่ข้ากลับทำให้นางผิดหวัง”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ฮู่เฟยไม่ได้โทษท่านแม่เพคะ อันที่จริงถึงหม่อมฉันจะไป ก็ไม่สามารถช่วยโอรสของฮู่เฟยได้ ฮู่เฟยทราบแก่ใจดีเพคะ”
หวงกุ้ยเฟยเอ่ย “ฮู่เฟยเป็นคนมีเหตุผล นางรู้ว่าฝ่าบาทให้ความสำคัญกับนาง แต่การเห็นเป็นสำคัญนี้กลับทำให้นางรู้สึกกดดันมาก เดิมนางก็ได้รับความโปรดปรานมากอยู่แล้ว คนในตำหนักนางควรได้เสพสุขกับวาสนานี้ด้วย แต่กลับตาลปัตร นิดเดียวก็ถูกลงทัณฑ์ หากฮู่เฟยบ่นความในใจสักคำ หรือไม่สบายเพียงเล็กน้อย ฝ่าบาทก็พานคนในตำหนักนาง ด้วยเหตุนี้ฮู่เฟยจึงไม่กล้าขุ่นเคืองใจ ทั้งยังใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง เห็นเช่นนี้แล้วข้าก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน ไม่กล้าให้คนไปเชิญเจ้ามา เกรงว่านางเกิดเรื่องแล้วสุดท้ายก็จะลงกับเจ้า”
หยวนชิงหลิงยิ้มเศร้า ความโปรดปราน นั่นเป็นความใฝ่ฝันของนางสนม แต่เมื่ออยู่กับคนที่มีนิสัยอย่างฮู่เฟยแล้ว นางกลับรับไม่ไหว
รักที่เป็นดั่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ วงล้อไฟโอบล้อมกลับทำให้คนตกใจมาก มิน่าล่ะ ฮู่เฟยถึงบอกว่าบางทีนางอาจผิดไป
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกเขาแล้ว เจ้าไม่ต้องห่วงข้า และไม่ต้องให้รัชทายาทมาเกลี้ยกล่อมข้าด้วย ข้าอยากอยู่อย่างสงบสักระยะ กลับไปเถอะ” หวงกุ้ยเฟยเก็บอารมณ์ เค้นรอยยิ้มพูดกับนาง
หยวนชิงหลิงมองสภาพแวดล้อม จะยอมให้นางอยู่ได้อย่างไร? ตัดสินใจว่าต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้หมิงหยวนให้ได้
หวงกุ้ยเฟยรู้ทันความคิดนาง ถอนหายใจ “ไม่ต้องสนใจเรื่องข้า หากเจ้าไปเข้าเฝ้า ข้ามิต้องถูกตบเสียเปล่าหรือ? เจ้าอยู่ในฐานะลูกสะใภ้ จะแทรกแซงเรื่องของเราได้อย่างไร? อย่าหาเรื่องยุ่งใส่ตัวเลย ถึงเจ้าจะไปวิงวอนต่อทวยเทพ ข้าก็จะอยู่ที่นี่แน่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไปทูลขอต่อฝ่าบาท”
หยวนชิงหลิงสะอึก “เช่นนั้นท่านแม่ก็ถือเสียว่าหม่อมฉันไปวิงวอนต่อทวยเทพแล้วกันเพคะ”
หวงกุ้ยเฟยหัวเราะ “เด็กโง่ บางเรื่องพวกเราต่างรู้ดี วิงวอนทวยเทพก็ไม่เป็นผล หากได้ผล เช่นนั้นข้าก็จะขอสักครั้ง ขอให้พวกเข้าปลอดภัยราบรื่น รักใคร่ปรองดองก็พอ”
หยวนชิงหลิงมองท่าทางทั้งที่เจ็บปวดนัก แต่กลับฝืนแสร้งยิ้ม ในใจเต็มไปด้วยความจนปัญญา
เมื่อออกจากตำหนักฉางเหมินแล้วกลับตำหนักฉินคุน นางพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ไม่ให้คนในตำหนักเสียใจเพราะเรื่องภายนอกอีก
โสวฝู่ฟื้นขึ้นมา กินโจ๊กเล็กน้อย ดื่มยา แต่สติยังไม่ค่อยมี ดวงตาเหมือนลืมไม่ค่อยขึ้น ขณะที่หยวนชิงหลิงดันเข็มให้เขา เขาก็สะลึมสะลือพูดมาประโยคหนึ่งว่าเจ็บนิดหน่อย
หยวนชิงหลิงหัวเราะ ทุกคนก็หัวเราะด้วย รู้สึกเจ็บ ทั้งยังพูดได้ว่าเจ็บ อย่างไรก็ยังดี
เช้าวันถัดมาเขามีสติมากขึ้นชัดเจน ความดันเลือดหนึ่งร้อย แนวโน้มการเต้นของหัวใจก็ปกติ
ตอนที่หยวนชิงหลิงทำความสะอาดบาดแผลให้เขา เขาลืมตาขึ้น มือของแม่นมสี่จึงทาบเข้าไป “ตื่นแล้วหรือ หิวไหม?”
โสวฝู่มองหยวนชิงหลิง “หิว!”
แม่นมสี่โล่งอก “ข้าจะป้อนโจ๊กให้ท่านนะ!”
โสวฝู่ยังคงมองหยวนชิงหลิง “ได้!”
หยวนชิงหลิงทำแผลให้เขาอยู่หน้าเตียง ส่วนแม่นมสี่ยืนอยู่ข้างหลังหยวนชิงหลิง ทิศทางเดียวกัน แต่โสวฝู่กลับมองหยวนชิงหลิง
คนอื่นอาจดูไม่ออก แต่หัวใจหยวนชิงหลิงกับย่าหยวนตึกตักทันที มองตากันทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว แต่ก็นิ่งไม่ส่งเสียง
กระทั่งทำแผลเสร็จแล้ว เซียวเหยากงก็เข้ามาสนทนากับเขา “กลับมามีชีวิตอีกครั้ง รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
มุมปากโสวฝู่ปรากฏรอยยิ้มหนึ่ง “ต้องเหนื่อยอีกแล้ว!”
“ยังมีเวลาให้เหนื่อยนะ คิดจะทิ้งพวกเราหรือ? ไม่มีทาง!” ในที่สุดเซียวเหยากงก็กลับมามีเสียงดังกังวานอีกครั้ง หัวเราะไปหัวเราะมา จู่ๆ ก็ตาแดง แล้วขยับเข้ามาใกล้ “ข้าจะแอบบอกเจ้านะ ข้าส่งพิราบสื่อสารไปแล้ว คงอีกไม่กี่วันมีคนมาเอาคืนแทนพวกเราแล้วล่ะ”