บัลลังก์หมอยาเซียน / ยอดหมอยา ชายาอ๋องเจ้าเล่ห์ - บทที่ 1337 มีคนมาสั่งสอนเขา
โสวฝู่ฉู่ชะงัก จากนั้นก็เอ่ยอย่างจนใจ “ไม่ถึงขั้นนั้น”
“จะไม่ถึงขั้นนั้นอย่างไร? เขาเหลวไหลไปแล้ว!” ดวงตาเซียวเหยากงมีความเย็นชา
โสวฝู่เอ่ย “น้องสิบแปด เขาเป็นฮ่องเต้ จะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติไม่ได้ มิเช่นนั้นภายภาคหน้าจะสั่งขุนนางสู้หน้ากับทั่วหล้าได้อย่างไร?”
เซียวเหยากงเอ่ย “เรื่องนี้ไม่ได้ทำในราชสำนักสักหน่อย พวกเราแค่จัดการลับๆ เท่านั้น อย่างไรก็ต้องทำให้เขาเข้าใจ บัดนี้ไท่ซ่างหวงก็สะเทือนใจไม่ได้ นิดหน่อยก็กระอักเลือด เจ้ากับข้าอย่างไรก็เป็นขุนนาง บางเรื่องไม่สะดวกจะพูด ส่วนเขา สุขสบายจะแย่ แม้จะบอกว่าสองสามปีนี้ภายในน่าวิตก ภายนอกก็มีภัยไม่หยุดหย่อน แต่ข้างกายเขานอกจากพวกเราแล้วก็ไม่ขาดขุนนางเก่งสักหน่อย วิกฤตเพียงใดก็ผ่อนผันจนหมด วันเวลาสงบ ก็ไม่ระแวดระวัง ย่อมต้องทำตามใจตนอยู่แล้ว หากไม่ชี้แนะสักหน่อย ต่อไปเกรงแต่เจ้าห้าที่เป็นรัชทายาทคนนี้จะยิ่งเหนื่อย ยิ่งลำบาก ตอนนี้รู้ความผิด ต่อไปก็ยังเอาอีก สำหรับเขาประวัติศาสตร์ไม่มีความหมายใดๆ ในการอบรม ต้องเอากระบี่แขวนไว้บนหัวเขา ทุกครั้งที่เขาคิดจะแหงนหน้าขึ้นสูงก็จะโดนถูกกระบี่นี้”
โสวฝู่เงียบ ครู่หนึ่งแล้วจึงถามขึ้น “เจ้าหกรู้หรือไม่?”
เสียงไท่ซ่างหวงดังมาจากบนศีรษะเขา “ข้าฟังอยู่นี่ เจ้าว่ารู้หรือไม่เล่า?”
โสวฝู่อ้อเสียงหนึ่ง แหงนหน้าขึ้นหัวเราะ “ไม่ทันได้สังเกต!”
ไท่ซ่างหวงเอ่ยเรียบ “ข้าคิดว่าเขาพูดถูก”
โสวฝู่ฉู่เอ่ย “ในเมื่อพวกเจ้าต่างคิดเช่นนั้น เช่นนั้นก็เอาเถอะ”
เซียวเหยากงเอ่ย “จะได้เอาคืนแทนหวงกุ้ยเฟยด้วย อย่างไรเสีย สมัยก่อนแม่ทัพหรู่ก็เป็นผู้ที่ติดตามร่วมเป็นร่วมตายกับพี่เหว่ย บุตรีของเขาถูกรังแก จะปล่อยไปได้อย่างไร?”
แม่ทัพหรู่เป็นบิดาของเต๋อเฟย สมัยก่อนก็เป็นขุนศึกเกริกก้องทุกทิศ ตอนที่หวงกุ้ยเฟยแต่งเป็นชายารองของฮ่องเต้หมิงหยวน เซียวเหยากงยังเป็นเถ้าแก่ให้
ครั้นนั้นเซียวเหยากงบอกว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลหรู่มีบุคลิกแห่งตระกูลขุนศึก ภายภาคหน้าเมื่อองค์รัชทายาทได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ต้องช่วยเขาทำให้วังหลังสงบได้แน่ ไม่ต้องให้เขากังวลเรื่องข้างหลัง
หยวนชิงหลิงได้ยินคำพูดนี้แล้วก็ตะลึงงัน “หวงกุ้ยเฟย…ทำไมหรือ?”
พวกเขาอยู่ที่นี่ตลอด หรือจะรู้เรื่องที่หวงกุ้ยเฟยถูกตบหน้าและย้ายเข้าตำหนักฉางเหมินแล้ว?
เซียวเหยากงมองนาง “พระชายารัชทายาท ท่านไม่พูดก็ไม่มีคนพูดแล้วหรือ? เรื่องในวังหลวง ขอเพียงไท่ซ่างหวงประสงค์ทราบ ก็ไม่มีเรื่องที่รู้ไม่ได้ คนที่อยู่กับเขามายี่สิบกว่าปี บัดนี้อุ้มท้องให้เขา กลับถูกตบด้วยเรื่องคำพูดเดียว ถามเขาดูสิ สมัยก่อนสนมซูที่เคยทำผิดต่อเขา เขาเคยตบหน้าด้วยกับมือตัวเองหรือไม่? แล้วยังเสียนเฟยในตอนนั้นก่อเรื่องอะไรขึ้นมา เขายังอดกลั้นไว้ได้ นี่มิใช่เลือกบีบพลับนิ่มหรือ?”
หยวนชิงหลิงตะลึงงัน มิน่าล่ะ ตั้งแต่กลับมาทั้งสามในตำหนักก็ดูนิ่งงันมากเป็นพิเศษ ที่แท้ก็รู้เรื่องหวงกุ้ยเฟยแล้ว และในสายตาของไท่ซ่างหวง เรื่องของหวงกุ้ยเฟยก็คือเรื่องของนาง เพราะหวงกุ้ยเฟยถูกตบเพราะพูดเพื่อนาง
ด้วยเหตุนี้เซียวเหยากงจึงส่งพิราบสื่อสารไป และไม่รู้ว่าส่งไปให้ผู้ใด
เซียวเหยากงเอ่ยต่อ “เรื่องวังหลังเขา ไท่ซ่างหวงแทรกแซงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องให้คนอื่นมาจัดการ สัมพันธ์พ่อลูกจะได้ไม่แตกหัก”
หยวนชิงหลิงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนหวงกุ้ยเฟยจริงๆ ดังนั้นเมื่อเซียวเหยากงบอกว่าพวกเขารู้เรื่องแล้ว นางจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรก “เมื่อครู่ข้าไปตำหนักฉางเหมินมา ที่นั่นแทบไม่ใช่ที่พักอาศัย ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยกลิ่นรา แล้วยังติดกับตำหนักเย็น โดดเดี่ยววิเวก จะอยู่ได้อย่างไร?”
แม่นมสี่ยกโจ๊กมา เมื่อได้ยินแล้วจึงเอ่ย “ตำหนักฉางเหมินมืดชื้น ไม่เหมาะอยู่อาศัย อย่าว่าต่อหวงกุ้ยเฟยที่ทรงพระครรภ์อยู่ แม้นเป็นคนธรรมดาก็ไม่เหมาะ เพราะตำหนักฉางเหมินอยู่ติดภูเขา หมอกภูเขาหนา ด้านนอกยังมีคูเมือง ชื้นมาก อยู่อาศัยไม่ได้ รีบย้ายออกมาจะดีกว่าเพคะ”
เมื่อหยวนชิงหลิงได้รู้ว่าทุกคนยินดีออกหน้าให้หวงกุ้ยเฟยก็เพลาใจลง เพราะไท่ซ่างหวงไม่เหมาะไปหาฮ่องเต้ด้วยเรื่องวังหลัง ที่จริงนางก็ไม่เหมาะเช่นกัน นางเป็นสะใภ้ แล้วไม่ควรยุ่งเรื่องผู้หญิงวังหลังของพ่อสามี
ตอนนี้มีเรื่องเดียวที่หยวนชิงหลิงกังวลมากที่สุด นั่นก็คือดวงตาของโสวฝู่ นางสงสัยว่าโสวฝู่จะมองไม่เห็น
หากเป็นเรื่องจริง นั่นต้องเป็นฝันร้ายอีกแน่
ในตำหนักมีคนมาก ไม่เหมาะถาม หยวนชิงหลิงจึงเสนอแนะว่าตอนนี้โสวฝู่ก็ดีขึ้นบ้างแล้ว น่าจะให้เขาพักอยู่อีกที่หนึ่ง คนในตำหนักมากจะได้ไม่รบกวนการพักผ่อนของเขา
เกี่ยวพันถึงเรื่องการพักผ่อนของผู้ป่วย ไท่ซ่างหวงย่อมอนุญาตอยู่แล้ว จึงให้โสวฝู่พักอยู่ในตำหนักเมื่อก่อนหน้า อาการโสวฝู่ดีขึ้นแล้ว เขาก็พลอยโล่งอก หยอกล้อกับเซียวเหยากง “รังเกียจพวกเราอยู่เป็นก้าง คนเขาต้องการอยู่กับเสียวสี่แน่ะ”
เซียวเหยากงแสยะยิ้ม “พวกเราก็เป็นคนรู้ความหน่อยแล้วกัน อย่างไรก็ผ่านความเป็นคนตายมา คนเขาก็ต้องพูดความในใจกันบ้าง!”
แม่นมสี่มองเซียวเหยากงตาขวาง แต่ไม่เอ่ย
โสวฝู่ฉู่กินโจ๊ก รอยยิ้มที่ข้างปากเบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ แต่ดวงตายังคงมืดมิด
ครั้นกินโจ๊ก ดื่มน้ำเสร็จก็หามโสวฝู่กลับไปตำหนักเดิมที่เขาพัก
หยวนชิงหลิงเข้าไป ช่วยจัดการให้เขาพัก เรียบร้อยแล้วก็ให้แม่นมสี่ไปต้มน้ำให้โสวฝู่ รอจนในตำหนักไม่มีคนแล้ว หยวนชิงหลิงถึงได้ถามเขา “ท่านโสวฝู่ ท่านเห็นนิ้วมือที่ข้ายื่นออกมาไหม?”
มือของนางแกว่งอยู่ตรงหน้าเขาครู่หนึ่ง
โสวฝู่ไม่ได้มอง เพียงแต่ยิ้ม “พระชายารัชทายาท กระหม่อมมองไม่เห็นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่ยังไม่ต้องบอกพวกเขา ให้พวกเขาเบาใจ ได้พักกันหน่อยเถิด มิเช่นนั้นจะเต้นผางกันอีก อายุมากแล้ว รับความสะเทือนใจครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ได้”
หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบา “แม่นมต้องรู้แน่”
โสวฝู่เอ่ย “ปิดไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ อารมณ์ดีได้หนึ่งชั่วยามก็หนึ่งชั่วยาม นางห่วงกระหม่อมที่สุด หากรู้ว่าดวงตากระหม่อมมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าต้องหลั่งน้ำตาอีกสักเท่าใด”
หยวนชิงหลิงเอ่ย “ได้ เอาตามที่ท่านว่าแล้วกัน แต่ท่านก็อย่าเพิ่งท้อใจ นี่ไม่ใช่ว่าจะหวนคืนไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะบาดแผลที่หน้าผากท่านทำให้กะโหลกศีรษะมีเลือด ลิ่มเลือดกดทับประสาทการมองเห็น รอให้ลิ่มเลือดดูดซับหมดแล้วก็ดีเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ เชื่อพระองค์!”
“ต้องหาย!” หยวนชิงหลิงเน้นน้ำเสียง
“ต้องหายพ่ะย่ะค่ะ ต้องหาย!” เขาค่อยๆ หลับตาลง “เฮ้อ นอนเหนื่อยจริง”
หัวคิ้วหยวนชิงหลิงค่อยๆ ขมวดขึ้น จิตใจหนักอึ้ง
ดูเหมือนจะเปลี่ยนในทิศทางที่ดี ที่จริงอาจยังมีอันตรายรอบด้าน เลือดที่ออกจากกะโหลกศีรษะหนักเพียงใดนางก็หาได้รู้ไม่ ดูจากความดันเลือดแล้วน่าจะไม่มีเลือดออกอีก แต่ตอนนี้ลิ่มเลือดทับประสาทตา และอาจทับประสาทส่วนอื่นหรือเส้นเลือดก็เป็นได้ หากเช่นนั้นผลลัพธ์ก็จะร้ายแรงมาก อาจทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก หรือถึงแก่ความตาย
และหากลิ่มเลือดไม่อาจดูดซับ เช่นนั้นถึงไม่มีผลอื่นที่หนักหนาสาหัส อาการมองไม่เห็นก็จะดำเนินต่อ เช่นนั้นวิธีเดียวก็ยังเป็นการผ่าตัด เอาลิ่มเลือดในกะโหลกศีรษะออก